เฟอร์นิเจอร์ในบ้านของจางซ่งค่อนข้างเก่า แต่การจัดวางตำแหน่งก็เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
นาฬิกาแขวน ถ้วยเหล็ก ผ้าพันคอสีแดง…
ทุกอย่างดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
หลินฟานรู้สึกผ่อนคลายมาก เขาดื่มชาอย่างสบายใจ
“ฉับบๆๆ!”
ในตอนนี้ มีเสียงทำอาหารดังมาจากห้องครัว
ทันใดนั้น กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจาย และค่อยๆลอยออกมา
ในตอนแรก หลินฟานได้พูดปฏิเสธไปแล้ว
เพราะเขาเพิ่งจะกินข้าวไปเมื่อตอนเที่ยง
แต่อย่างไรก็ตาม เฉินหลี่แม่ของจางซ่งก็ยืนยันที่จะทำอาหารให้หลินฟานกิน
และเธอยังบอกด้วยว่า ถึงไม่กินก็อยู่นั่งพักก่อน
เนื่องจากเฉินหลี่ดื้อรั้นมาก หลินฟานจึงยอมอยู่ต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหลี่กับจางฮุ่ยหลิงก็นำจานมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวในห้องนั่งเล่น
หมูหยองพริกหยวก ซุปไข่สาหร่าย แฮมแตงกวา มะเขือเทศ และไข่…
“หลินฟาน มานั่งตรงนี้สิ” เฉินหลี่เดินกะเผลกไปที่โต๊ะและพูด
หลินฟานตอบ “ครับ!”
ถึงแม้ว่าเขาจะกินอาหารกลางวันมาแล้ว
แต่เมื่อเขาได้กลิ่นอาหารบนโต๊ะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหิวและกินมันอีกครั้ง
ซึ่งอาหารพวกนี้ก็อร่อยจนทำให้หลินไม่สามารถหยุดกินได้เลย เขากินจนไม่สามารถกินอะไรได้อีกแล้ว… จากนั้นเขาก็ค่อยๆวางชามและตะเกียบลง
หลินฟานพูดอย่างจริงใจ “คุณป้า คุณทำอาหารอร่อยมาก!”
เฉินหลี่พูดอย่างมีความสุข “งั้นวันหลังก็แวะมากินอีกสิ!”
“ได้หรอครับป้า ขอบคุณมากเลยครับ” หลินฟานกล่าว
หลังจากที่รับประทานอาหารและดื่มชา พวกเขาก็พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศในตอนนี้อบอุ่นและกลมกลืนอย่างมาก ราวกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้เลย
ซึ่งในเวลานี้ หลินฟานก็ได้ถามออกมา “ขาของคุณป้าเป็นอะไรหรอครับ?”
เฉินหลี่ถอนหายใจและพูด “กระดูกของฉันหักเมื่อสองสามปีก่อน และฉันก็ไม่สามารถออกแรงตรงส่วนนั้นได้เลย…”
เมื่อพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บรรยากาศในบ้านก็จะอึมครึมขึ้นทันที
ความรู้สึกเศร้าได้เกิดขึ้นในใจของทุกคน
จากนั้นหลินฟานก็กล่าวว่า “ขาของคุณป้าหักนั่นเอง … ใช่สิ คุณป้า ผมเพิ่งได้ยามาขวดนึงมา และผมก็ได้ยินมาว่าผลของมันดีมาก คุณป้าลองเอาไปดื่มดูสิ”
หลังจากพูดจบ หลินฟานก็ใช้เงิน 10 ล้านหยวนเพื่อซื้อน้ำยาทางการแพทย์ในทันที
เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากมายสำหรับหลินฟาน
และจางซ่งเองเก็เป็นเพื่อนที่ดีของเขา เขาคอยช่วยหลินฟานตอนอยู่ที่โรงเรียนตลอด
แถมอาหารของคุณป้าก็อร่อยมากด้วย
ดังนั้น หลินฟานจึงอยากจะช่วยเหลือ
เฉินหลี่เห็นว่ามันเป็นยาขวดเล็กๆ และขาของเธอก็ได้รับบาดเจ็บมานานหลายปีแล้ว เธอเลยคิดว่ามันคงไม่สามารถช่วยอะไรได้
แต่เธอเห็นว่านี่เป็นความปรารถนาดีของหลินฟาน เธอจึงยอมรับขวดยามา
“หลินฟาน ขอบคุณ”
จากนั้นเธอก็ถาม “ยานี่… ป้าต้องดื่มยังไงหรอ”
“คุณป้าครับ ยกดื่มตรงๆไปเลยครับ” หลินฟานพูด
“โอเค” เฉินหลี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเลใดๆ และยกขึ้นดื่มทันที
จากนั้น พวกเขาก็เริ่มสนทนากันอีกครั้ง
“ตึกกกๆๆ!”
ในเวลานี้มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
จากนั้น รปภ.หลายคนก็เดินเข้ามา
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสุดชื่อโจวไคเว่ย เขายิ้มและพูดว่า “โอ้ ทั้งครอบครัวอยู่ที่นี่พร้อมกันพอดีเลย”
ทันทีที่เขาพูด บรรยากาศในห้องก็เงียบลงทันที
ใบหน้าของเฉินหลี่ดูรังเกลียดขึ้นมาและพูด “หัวหน้าโจว วันนี้เรามีแขกรับเชิญอยู่ ถ้าไม่มีอะไรก็ค่อยมาวันหลังนะ”
เมื่อโจวไคเว่ยได้ยิน เขาก็ไม่ได้กลับไปแต่อย่างใด ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อยและพูด “ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะกลับให้อย่างแน่นอน”
“แต่ฉันมาที่นี่เพื่ออ่านเอกสารของโรงงานให้เธอฟัง และดำเนินการตามคำสั่งของโรงงาน”
หลังจากหยุดไปชั่วคราว โจวไคเว่ยก็หยิบเอกสารออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น “โรงงานของเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และจำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ที่พักของพนักงานของเราขาดแคลนเป็นอย่างมาก…”
“จากการคิดทบทวนและการตัดสินใจของหัวหน้าโรงงาน ได้ตัดสินว่าควรนำหอพักพนักงานของจางหย่งเหลียงกลับคืนโรงงาน และขอให้บุคลที่อยู่ในหอพักออกไปทันที…”
โจวไคเว่ยพูด “้เฉินหลี่ เธอพูดเมื่อครั้งที่แล้วใช่ไหม ว่าถ้าไม่มีเอกสารของโรงงานเธอก็จะไม่ยอมย้ายออกไป แต่ตอนนี้เราเอาเอกสารมาถึงที่นี่แล้ว ได้เวลาพวกเธอย้ายออกไปแล้วล่ะ”
เฉินหลี่พูดอย่างโกรธเคือง “นี่คือบ้านที่โรงงานจัดสรรให้กับครอบครัวของเรา! และสาเหตุที่จางหย่งเหลียงเสียชีวิตก็เพราะทำงานที่นี่!”
“หัวหน้าโจว คุณไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยหรอ?”
สามีเสียชีวิตจากการทำงานและตอนนี้ทางโรงงานยังจะมาพรากบ้านไปอีก!
เลวมาก!
ยิ่งเฉินหลี่นึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมามากขึ้นเท่านั้น
โจวไคเว่ยยังคงพูดอย่างสบายๆ “ตอนที่จางหย่งเหลียงเสียชีวิตก่อนหน้านี้ เธอก็ได้รับค่าชดเชยและเงินทำขวัญแล้วไม่ใช่รึไง”
“จริงๆเธอควรจะต้องย้ายออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ แต่มันเป็นเพราะฉันเห็นอกเห็นใจเธอเฉยๆ เลยยอมปล่อยให้เธออยู่มาถึงตอนนี้”
“แต่ทุกวันนี้ในโรงงานมีที่พักอาศัยไม่เพียงพอแล้ว มันเลยถึงเวลาที่เธอจะต้องออกไป”
เฉินหลี่โกรธมากยิ่งขึ้น เธอเริ่มพูดคำรุนแรงออกมา
จางฮุ่ยหลิงสนับสนุนเฉินหลี่และพูด “แม่ไม่เป็นไรนะ?”
จากนั้นจางซ่งก็ตะโกนออกมา “ให้ย้ายออกไปหมายความว่าไง ครอบครัวของเราเคยเซ็นสัญญาเช่าบ้านกับโรงงานนะ!”
ขณะพูด เขาก็หยิบเอกสารสีเหลืองออกมา
เมื่อโจวไคเว่ยเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขารู้อยู่แล้วว่ามีสัญญาดังกล่าว แต่ตอนที่เขามาก่อนหน้านี้สองสามครั้ง เฉินหลี่ไม่ได้แสดงออกมาให้เขาเห็นเลย
ดังนั้น โจวไคเว่ยจึงคิดว่ามันหายไปแล้ว
แต่หลังจากที่เขาเห็นเนื้อหาในสัญญา เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ใช่ นี่เป็นสัญญาที่ลงนามโดยโรงงานของเรา แต่คุณจะเห็นได้ว่านี่เป็นสัญญาเช่า 20 ปีเท่านั้น! และตอนนี้ก็ผ่านไป 20 ปีแล้วด้วย สัญญานี้มันหมดอายุไปแล้ว” โจวไคเว่ยพูด
เนื่องจากในปีนั้นโรงงานเพิ่งทำการก่อสร้างหอพักพนักงาน เลยไม่มีใบรับรองที่เกี่ยวข้อง
แต่ตามระเบียบของประเทศ ระยะเวลาการเช่าที่ยาวที่สุดคือ 20 ปี ซึ่งเป็นที่มาของสัญญานี้
และในเวลานี้ เฉินหลี่ก็ได้ยืดตัวแล้วตะโกนว่า “ตอนที่เราเซ็นสัญญา ผู้นำได้ชี้แจงกับเราอย่างชัดเจนว่าจะเลื่อนสัญญาออกไปให้โดยอัตโนมัติเมื่อหมดสัญญาเช่า!”
โจวไคเว่ยพูดอย่างจริงจัง “เฉินหลี่ ตอนนี้สังคมอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม ถ้าหากคุณคิดว่านี่เป็นความผิดของทางเรา คุณก็หาหลักฐานที่บอกว่าเราเป็นฝ่ายผิดมาสิ!”
“หากมีหลักฐานว่าทางเราเคยพูดอย่างนั้น ฉันจะหันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย…”
“ฉันพูดทุกอย่างหมดแล้วนะเฉินหลี่ รีบย้ายออกไปได้แล้ว อย่าทำให้ฉันต้องพูดอีกเลย”
เฉินหลี่กล่าวอย่างหนักแน่น “นี่คือบ้านของฉัน ฉันจะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น!”
“ถ้าเธอพูดอย่างนั้น ทางเราก็คงต้อง’ใช้ไม้แข็งเหมือนกัน” โจวไคเว่ยพูดอย่างเคร่งขรึม
หลังจากพูดจบ รปภ.ที่อยู่ข้างๆก็เดินไปข้างหน้าราวกับว่าเป็นกลุ่มปีศาจร้าย
“รอเดี๋ยวก่อน!”
ตอนนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก