ตอนที่ 64 นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

รอจนกระทั่งเซียวเถี่ยเฟิงจ่ายเงินเสร็จแล้วพากู้จิ้งเดินออกไป คุณชายคนนั้นถึงได้ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “คนคนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

ชายมีอายุทั้งสองต่างชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอก เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ประดับผมด้วยปิ่นไม้ธรรมดา นอกจากผู้ชายคนนั้นดูสูงใหญ่น่าเกรงขาม ผู้หญิงคนนั้นสูงเพรียวกว่าสตรีทั่วไปแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ พวกเขาจึงอดส่ายหน้าไม่ได้

“แค่ก็ชาวบ้านป่าธรรมดา ต่อให้ได้ยินก็คงไม่เข้าใจหรอก”

คุณชายได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะยังสงสัย แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจอีก

ฝ่ายกู้จิ้ง หลังจากได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มนั้น ในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ชื่อจอกหยกมรกตหลิงหลงคุ้นหูเธอมาก เพราะมันเป็นของชิ้นหนึ่งซึ่งถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพชนตระกูลเซียว

มันก็เหมือนกับสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าซึ่งหายสาบสูญไประหว่างการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ แต่สุดท้ายก็ถูกลูกหลานตระกูลเซียวตามกลับมาได้ ในที่สุดก็ตกทอดมาถึงมือของลูกชายคนโตของตระกูลเซียวรุ่นปัจจุบัน น้าชายคนโตตัวอ้วนดำของเธอ

“คิดอะไรอยู่หรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอใจลอยก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“พี่ล่ำ เมื่อครู่พวกเขาพูดถึงจอกหยกมรกตอะไรกัน นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?” กู้จิ้งลองหยั่งเชิง

เธอไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก ถ้าจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเซียว แล้วมันกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวในยุคไหนสมัยไหนกันแน่?

เธอเคยเห็นจารึกของตระกูลเซียว แต่เสียดายที่มันเขียนด้วยตัวอักษรตัวเต็มแถมยังเขียนในแนวตั้ง แค่มองดูก็ปวดหัว เธอขี้เกียจก็เลยไม่ได้ตั้งใจอ่าน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจอกหยกมรกตหลิงหลงกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรื่องนี้…” เซียวเถี่ยเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงจะเป็นของในบ้านคนมีเงินล่ะมั้ง”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที

ดูท่าในยุคสมัยนี้จอกหยกมรกตหลิงหลงยังไม่ได้เป็นสมบัติของตระกูลเซียว ต้องผ่านไปอีกสักระยะ บางทีลูกหลานรุ่นหลังอาจจะได้มันมาไว้ในมือ จากนั้นก็ตกทอดต่อไปเรื่อยๆ

“เจ้าชอบของพวกนั้นหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยสนใจพวกเครื่องทองเครื่องหยกสักนิด แต่เขาไม่รู้ว่าปีศาจอย่างกู้จิ้งชอบหรือไม่

“ก็ไม่ใช่…” กู้จิ้งพูดกลบเกลื่อน “จริงๆ แล้ว… จริงๆ แล้วจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉัน”

“สมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้า?” เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีครอบครัว แถมยังมีสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซ้ำสมบัติชิ้นนี้ยังอยู่ในโลกมนุษย์อีกด้วย

กู้จิ้งพูดโกหกก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เห็นเซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจเช่นนี้ก็จำต้องแต่งเรื่องต่อ

“ใช่ ครอบครัวฉันมีจอกหยกมรกตหลิงหลงที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่จนใจที่มันหายสาบสูญไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของอู่อ๋องอะไรนั่น”

กล่าวจบก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาคงจับไม่ได้ว่าเธอโกหกหรอกนะ?

จริงๆ กู้จิ้งมีแผนการอยู่ในใจ เธอคิดว่าในเมื่อช้าเร็วมันก็ต้องเป็นสมบัติของตระกูลเซียว ในฐานะบรรพบุรุษ เซียวเถี่ยเฟิงก็น่าจะใส่ใจให้มาก ถึงจะแย่งมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีของชิ้นนี้อยู่ ลูกหลานรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจมากนัก

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับมองเธอด้วยความสงสัย ประเด็นที่เขาสนใจก็เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง

“ที่บ้านเจ้ายังมีใครอยู่บ้าง?”

“บ้านฉัน?” กู้จิ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ เธอจึงตอบแบบขอไปทีว่า “มีสิ ยายฉัน แม่ฉัน แล้วก็น้าชายอีกโขยงหนึ่ง…”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วประหลาดใจมาก เขาจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอ

“เจ้าออกมาแบบนี้ ไม่คิดถึงพวกเขาหรือ?”

คำพูดนี้แทงใจดำเข้าพอดี

กู้จิ้งหลับตาลงพลางถอนใจ “จริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้จากโลกที่เคยอยู่มาที่นี่ แต่ตอนนี้เกรงว่า…เกรงว่าคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว”

กลับไปไม่ได้แล้ว?

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองสีหน้าเซื่องซึมของกู้จิ้ง ความรู้สึกสงสารผุดขึ้นในหัวใจ เขาเอื้อมมือไปรั้งเธอมากอดเอาไว้เบาๆ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ในเมื่อกลับไปไม่ได้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

“อืม ฉันรู้”

กู้จิ้งยกมือขึ้นกอดเขาบ้าง

เธอซบหน้าแนบกับแผงอกหนา เธอย่อมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีที่ไปที่อื่น มีแต่ต้องพึ่งพาเขาเท่านั้น

“จอกหยกมรกตหลิงหลงนั่นเป็นสมบัติของครอบครัวเจ้ามาก่อนหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ใจอดคิดไม่ได้ว่า หรือมันจะเป็นเวทศาสตราในโลกปีศาจ แต่พลัดหลงเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมืออนุของอู่อ๋อง?

“ใช่” กู้จิ้งถอนใจอีก “แต่ไม่เป็นไร ช้าเร็วต้องมีสักวันที่มันจะกลับมาอยู่ในมือของคนตระกูลฉัน ไม่ต้องรีบร้อน”

นี่เป็นเรื่องของวงศ์ตระกูล ปู่ทำไม่ได้ก็ให้ลูกทำ ลูกทำไม่ได้ก็ให้หลานทำ สรุปแล้ว หลังจากผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า หลังจากนี้หนึ่งพันปี มันต้องตกอยู่ในมือของคนตระกูลเซียวแห่งเขาเว่ยอวิ๋นแน่

แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเธอ เขาคิดว่าเธอถอนใจเพราะเสียใจที่สมบัติของตระกูลตกไปอยู่ในมือคนนอก เอากลับคืนมาไม่ได้

เขากุมมือเธอเอาไว้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

คืนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปเดินเล่นในตลาดนัดกลางคืนของเมืองจูเฉิง

ในตลาดกลางคืนมีการแสดงปาหี่และข้าวของให้ซื้อหามากมาย ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก กู้จิ้งเดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนั้น เดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนี้ เซียวเถี่ยเฟิงก็ซื้อๆๆ ให้ทั้งหมด

สุดท้ายเซียวเถี่ยเฟิงยังพากู้จิ้งไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยาสมุนไพรที่เธอต้องการ เช่น ต้นหยางจื๋อจู๋, รากดอกมะลิ, ตังกุย, ต้นชางผู ฯลฯ

กู้จิ้งกังวลอยู่บ้าง “เราคงไม่ได้ใช้เงินจนหมดหรอกนะ ประหยัดหน่อยดีไหม?”

ถึงเธอจะไม่ได้เป็นคนมองการณ์ไกล แต่พอนึกถึงคุณยาย เธอก็รู้สึกว่าสมควรเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานบ้าง

เซียวเถี่ยเฟิงตบศีรษะเธอเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ “เราเพิ่งขายของได้เงินมาไม่ใช่หรือ?”

“ถ้าใช้หมดล่ะ?”

“ใช้หมดก็หาใหม่”

กู้จิ้งคิดดูรู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก

คืนนั้นทั้งสองไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขา แต่ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมซึ่งเคยมาพักเมื่อครั้งก่อน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพาพวกเขาไปยังห้องที่เคยพักด้วยท่าทางนอบน้อม แถมยังนำชาและอาหารชั้นดีมาต้อนรับโดยไม่คิดเงินอีกด้วย

ทั้งคู่คลุกวงในกันอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืน สุดท้ายกู้จิ้งก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนแรง

ความคิดสุดท้ายในสมองก่อนที่จะหลับไปคือ นับวันพี่ล่ำก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้น แถมยังเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

ขนาดคือต้นทุนของการปฏิวัติ หากมีพร้อมทั้งขนาด + เทคนิค ย่อมไร้ผู้ต้านทาน

วันรุ่งขึ้น ทั้งสองกลับขึ้นไปบนเขา เพิ่งเดินไปถึงถ้ำก็ได้ยินเสียงทะเลาะดุเดือดดังมาจากด้านหน้า ทั้งสองสบตากันด้วยความงุนงง พอเดินเข้าไปใกล้แล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้ผู้ป่วยหนักเมื่อหลายวันก่อนหายดีเป็นปกติแล้ว พ่อแม่ของเขาก็เลยนำเครื่องเซ่นไหว้สามอย่างรวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ ตีฆ้องร้องป่าว เดินหนึ่งก้าวโขกศีรษะหนึ่งครั้งมาขอบคุณต้าเซียนที่ช่วยชีวิตลูกของพวกเขาเอาไว้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พ่อแม่ของชุนเถาก็พาคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมชุดนักพรต ถือแส้กับยันต์ไว้ในมือมาถึง บอกว่าจะมาจับปีศาจ

คนสองกลุ่มมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างพูดเหตุผลของตัวเอง ไปๆ มาๆ ก็ทะเลาะกันอย่างดุเดือด

“ตอนนั้นลูกของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้กระทั่งท่านหมอเหลิ่งก็จนปัญญา หากไม่ใช่ต้าเซียนช่วยชีวิตลูกของข้าเอาไว้ ลูกของข้าก็คงตายไปแล้ว เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าท่านเป็นปีศาจ ไม่ใช่ต้าเซียน? หากเป็นปีศาจ จะช่วยชีวิตผู้คนเช่นนี้หรือ? แถมจะว่าไป ต่อให้เป็นปีศาจแล้วจะทำไม ปีศาจที่ช่วยคนก็นับว่าเป็นปีศาจที่ดี!”

คำพูดที่หนักแน่นเต็มไปด้วยเหตุผลเช่นนี้ทำให้ผู้คนรอบด้านพากันปรบมือเสียงดัง

“ผายลมชัดๆ! ดูชุนเถาของข้าสิ ตกใจจนมีสภาพอย่างไรไปแล้ว? ชุนเถาของข้าเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี กำลังจะแต่งงานได้แล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าถูกนางปีศาจนั่นข่มขู่ครั้งเดียวก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ พูดจาเหลวไหลเหมือนคนบ้าแบบนี้! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางปีศาจนั่น พวกเจ้าบอกว่านางเป็นต้าเซียน ต้าเซียนจะทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ? ลูกของพวกเจ้ารอดชีวิต แล้วลูกสาวของข้าล่ะ ข้าจะไปเอาเรื่องกับใครได้!”

ระหว่างที่พูดก็ปาดน้ำตาไปด้วย

คนที่แม่ของชุนเถาพามาเห็นเช่นนี้ บ้างก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ บ้างก็โกรธแค้นนัก “ปีศาจเช่นนี้จะเก็บไว้ทำไม!”

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้เซียวเถี่ยเฟิงอย่างระมัดระวัง “นี่ จะทำอย่างไรดี?”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นจึงจับมือของกู้จิ้งเอาไว้แล้วพูดว่า “จุ๊ๆ ให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าอ้อมไปอีกทางหนึ่ง”

ไม่นานนักทั้งสองก็กลับไปถึงถ้ำ หลังจากพักดื่มน้ำแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือจัดถ้ำเสียใหม่

ตอนนี้อากาศกำลังเย็นลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะหนาวตายได้ เซียวเถี่ยเฟิงจึงทำประตูไม้ปิดปากถ้ำเอาไว้ จากนั้นก็ยัดหญ้าแห้งใส่ร่องเหนือประตูจนเต็ม ทำให้พอจะกันลมหนาวได้บ้าง