จากนั้นเขาก็เอาเตียงซึ่งทำเองมาตั้งไว้ในถ้ำ เสร็จแล้วก็ปูหญ้าลงไปก่อนจะปูทับด้วยเบาะกับผ้าห่มที่ซื้อมาจากในเมือง คราวนี้ถึงอากาศจะเย็นลงก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้
กู้จิ้งมองเตียงที่เพิ่งปูเสร็จก่อนจะเอนกายลงนอนอย่างมีความสุข “ในที่สุดก็มีเตียงแล้ว”
เซียวเถี่ยเฟิงเอนกายลงบ้าง เขาคว้าร่างกู้จิ้งมากอดไว้แนบอก “ตอนนี้อากาศหนาว คงไม่ทันแล้ว รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เราจะสร้างกระท่อมไม้ขึ้นข้างๆ ถ้ำกัน”
กู้จิ้งจินตนาการภาพกระท่อมไม้ในป่าพลางนึกถึงเสียงนกและแมลงร้องที่จะได้ยินทุกวันหลังตื่นนอนในตอนเช้า ในใจก็มุ่งมาดปรารถนาเหลือเกิน
“เราจะใช้ชีวิตเยี่ยงเซียนอยู่ในป่านี้ไปตลอดชีวิต!”
“ตกลง” เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงที่ผู้คนพูดกันว่าคู่รักเซียน บางทีเขากับกู้จิ้งก็คงจะเป็นเช่นนี้สินะ?
กู้จิ้งซบศีรษะกับแผงอกแกร่งของเขา จากนั้นจึงหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้
“หากไม่มาที่นี่ ฉันคงไม่ได้พบกับนาย”
บางทีตอนแรก เธออาจจะแค่อยากหาที่พึ่งสักคน เพราะในป่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายดิบเถื่อนแห่งนี้ อ้อมแขนแข็งแรงของผู้ชายสักคนย่อมเป็นที่ปรารถนาเหลือเกิน แต่นานวันเข้า เธอก็ชอบผู้ชายข้างกายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเปรียบเสมือนภูเขาลูกย่อมๆ ซึ่งยืนอยู่ข้างกายเธอ เป็นหลักพึ่งพิงที่แสนมั่นคงของเธอ เขาพร้อมจะยื่นแขนมาปกป้องเธอเสมอ แม้กระทั่งในยามที่เธอทำตัวเอาแต่ใจ เขาก็ยังคอยสนับสนุนเธออยู่เงียบๆ
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นมองปลายคางแข็งแกร่งของเขาก่อนจะยื่นหน้าไปจุมพิตเบาๆ ริมฝีปากนุ่มเสียดสีกับปลายคางซึ่งมีไรหนวดครึ้มของชายหนุ่ม จากนั้นเธอก็อดพึมพำเบาๆ ไม่ได้ “ฉันชอบนายจังเลย…”
ชายหนุ่มหลับตาลงซึมซับความรู้สึกที่มีสัมผัสอ่อนนุ่มราวแพรไหมปัดผ่านปลายคางของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือราวกับเปล่งออกมาจากส่วนลึกของลำคอ “เสี่ยวจิ้งเอ๋อ ข้าก็เหมือนกัน”
จู่ๆ เขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขากอดเธอเอาไว้โดยให้เธอนั่งคร่อมอยู่บนอก ร่างของทั้งสองแนบชิดเข้าด้วยกัน
“นับแต่ได้พบเจ้าในคืนวันนั้น ข้าก็รู้สึกว่า… รู้สึกว่าข้าต้องการเจ้า”
เขาถึงกับรู้สึกว่าสวรรค์ลิขิตให้เขาเฝ้ารอมายี่สิบหกปี ก็เพื่อรอชั่วขณะที่นางปรากฏตัว
ต่อให้นางเป็นปีศาจในภูเขา เป็นยาพิษกร่อนกระดูก เขาก็เต็มใจ
“งั้นหรือ…” กู้จิ้งนึกถึงครั้งแรกที่พบกัน เธอเห็นเขาเป็นคนร้าย “มิน่าเล่า”
ดูท่าเรื่องนี้จะโทษเธอว่าเป็นโรคหวาดระแวงไม่ได้ ก็เขาเป็นคนร้ายจริงๆ นี่นา
แต่พอเซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงภาพตอนที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรก เขาก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เขากดศีรษะของเธอเอาไว้แล้วก้มลงจูบ
“เด็กดี บอกข้าหน่อย… วันนั้นตอนที่ข้าจากไป เจ้าใช้มือแตะปากแล้วโบกไปมา หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“นั่นน่ะหรือ…” กู้จิ้งนั่งอยู่บนตัวเขา แขนโอบรอบเอวแข็งแรงของเขาเอาไว้พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง”
“พิธีการ?”
“อืมๆ” กู้จิ้งกะพริบตาแล้วก็เริ่มแต่งเรื่องหลอกคนซื่อ “ความหมายก็คือ ฉันกับนายจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ไม่มีวันพรากจากกัน”
เซียวเถี่ยเฟิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมกอดนิ่ง
นางดูราวกับมีโฉมหน้านับพันโฉมหน้า ตอนที่เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า ใบหน้าของนางมักดูเย็นชา ตอนที่อุ้มทารกซึ่งกำลังป่วย ร่างของนางกลับเปล่งรัศมีแห่งความรักและอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มีแต่ตอนที่อยู่กับเขาเท่านั้นที่นางจะเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทุกรอยยิ้มทุกการเคลื่อนไหว ล้วนทำให้ผู้คนไม่อาจถอนสายตาได้เลย
แต่ตอนนี้นางกลับพูดว่าจะอยู่กับเขาตลอดชีวิต ไม่มีวันพรากจากกัน
เขากระชับอ้อมแขนกอดนางแน่นขึ้นพลางก้มลงขบลำคอของนางด้วยความตื่นเต้น “ข้าก็เหมือนกัน ข้าจะอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิต ไม่มีวันพรากจากกัน”
“ข้าถึงกับรู้สึกว่า การที่สวรรค์ลิขิตให้ข้ากลับมาที่เขาเว่ยอวิ๋น คงเพราะต้องการให้ข้ากลับมารอคอยเจ้า”
ระหว่างที่พูดเขาก็อุ้มนางขึ้น ไม่นานนักเตียงก็เริ่มโยกไปมา
“นางเป็นต้าเซียน ข้าเซียวซู่จิ้งสาบานว่าชีวิตนี้ต่อให้ตายก็จะศรัทธาต้าเซียน ถ้าใครกล้าว่าร้ายต้าเซียน ข้าเซียวซู่จิ้งจะแลกชีวิตกับมัน**!”**
“ต้าเซียน ถุย! นางปีศาจ! นางเป็นปีศาจที่ดีแต่ยั่วยวนผู้ชาย ทำร้ายลูกสาวของข้า!”
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ก็ทำท่าจะลงไม้ลงมือ
ในตอนนั้นเอง ห่างไปไม่ไกลนักมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังแบกเสื่อผืนหนึ่งวิ่งตรงมาทางด้านนี้
คนที่นอนอยู่บนเสื่อส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย! ข้าไม่ไหวแล้ว พวกท่านฆ่าข้าเถิด!”
ทันทีที่เสียงหวีดร้องน่าเวทนานี้ดังขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็หุบปากเงียบแล้วหันไปมองพร้อมกัน
พอได้เห็น ทุกคนต่างก็ต้องถอนใจออกมา
ที่แท้คนที่กำลังส่งเสียงร้องโอดครวญเป็นลูกชายคนที่หกของบ้านจ้าวซาน ปีนี้เพิ่งมีอายุสิบสามปี แต่บนขากลับมีฝีขนาดใหญ่งอกออกมา ทำให้ต้องเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ท่านหมอเหลิ่งเคยไปตรวจดูแล้ว ให้ยาก็ให้แล้ว แต่ฝีก็ยังเป็นๆ หายๆ ตอนนี้ยังถึงกับเริ่มเน่าเป็นหนอง ทำให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บปวดมาก
“ต้าเซียน ช่วยลูกของข้าด้วยเถิด!” เห็นลูกเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้ คนเป็นพ่อแม่ย่อมทนดูไม่ได้
เสี่ยวลิ่วจื่อผู้น่าสงสารเคยเจ็บจนต้องเอาหัวไปโขกกำแพงบ้าน ปากก็พูดแต่ว่าอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
“เจ้านี่ หัวรั้นหัวแข็งจริงๆ ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าให้มาหาต้าเซียน แต่เจ้าไม่ยอมมา เด็กก็เลยต้องทนเจ็บอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่รีบมาคุกเข่าขอร้องให้ต้าเซียนช่วยเสี่ยวลิ่วจื่อของเจ้าอีก!”
“นี่มันเรื่องตลกชัดๆ ให้ปีศาจรักษาโรคงั้นรึ? ระวังจะถูกรักษาจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนล่ะ!”
จ้าวซานลากเสี่ยวลิ่วจื่อซึ่งกำลังร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังทะเลาะกันมาถึงถนนหน้าถ้ำของพวกกู้จิ้งแล้วคุกเข่าลง
“สวรรค์ ต้าเซียน ช่วยลูกของข้าด้วยเถิด ข้าขอโขกศีรษะให้ท่าน!”
แต่ยามนี้ กู้จิ้งซึ่งอยู่ในถ้ำกำลังจะล้มหน้าคว่ำ โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงมือไวตาไว คว้าร่างเธอเอาไว้แล้วพลิกเอาตัวเองไปรองอยู่ด้านล่างได้ทัน เธอก็เลยไม่เป็นอะไร
กู้จิ้งตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่กลับถูกกดเอาไว้ ร่างของทั้งสองยังเชื่อมติดกัน
“นาย…” เธอตีเขา “เตียงอะไรเนี่ย ไม่ทนเอาเสียเลย!”
เขาก้มลงมองแก้มแดงเรื่อของเธอพลางกล่าวเสียงแหบ “ข้าอึดมากไปหน่อย!”
กู้จิ้งชะงัก แต่ชั่ววินาทีต่อมาก็เข้าใจ เธอยกมือขึ้นหยิกเขาอย่างแรง
“เจ้ายิ่งตี ข้าก็ยิ่งอึด” ว่าแล้วเขาก็แสดงให้ดูต่อว่าตัวเองอึดแค่ไหน
ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังมาจากด้านนอก “ต้าเซียน ช่วยด้วย!”
เซียวเถี่ยเฟิงชะงักก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าด้วยความจนใจ “ทำเรื่องของเราให้จบก่อน”
“อย่าเลย ข้ารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคนกำลังร้องโอดโอยใช่ไหม?”
เซียวเถี่ยเฟิงผู้น่าสงสารไม่มีทางเลือกก็เลยจำต้อง ‘เลิกอึด’ เขาลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อผ้ามาสวม ก่อนออกจากถ้ำก็ตรวจดูสีหน้า เสื้อผ้า ผมเผ้าของกู้จิ้งอีกรอบ เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติค่อยก้าวออกไป
กู้จิ้งจัดมวยผมช้าๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นเซียวเถี่ยเฟิงพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา เขามีอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี แต่มีใบหน้าซีดขาว เหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผาก แถมยังขดตัวแน่นด้วยความเจ็บปวด
เด็กหนุ่มคนนั้นคงจะรู้ว่าตัวเองถูกพาเข้ามาในถ้ำแล้ว เขาจึงฝืนลืมตาขึ้นพลางร้องบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว…”
กู้จิ้งรีบเดินเข้ามาดู “เจ็บตรงไหนหรือ?”
เพิ่งถามจบ เธอก็เข้าใจ บนขาของเด็กหนุ่มมีฝีขนาดใหญ่ แถมสภาพของมันยังเน่าเฟะจนดูไม่ได้
“นี่กี่วันแล้ว? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?” กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางรีบหันไปสั่งให้เซียวเถี่ยเฟิงต้มน้ำร้อน
ฝีมีขนาดใหญ่มาก ข้างในก็เต็มไปด้วยหนอง ต้องรีบกรีดหนองออกมา
เธอรีบล้างมือ เช็ดให้แห้ง ใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ จากนั้นก็หยิบมีดผ่าตัดออกมา ใช้สุราดีกรีสูงฆ่าเชื้อ เสร็จแล้วจึงลงมือกรีด เพียงกรีดครั้งเดียว หนองก็ไหลทะลักออกมา เด็กหนุ่มกรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด “เจ็บ! เจ็บ!”
กู้จิ้งกล่าวเสียงเบา “อดทนหน่อย มีแต่ต้องกรีด มันถึงจะหายสนิทได้ ไม่อย่างนั้นหนองจะคั่งอยู่ข้างใน”
กรีดฝีเสร็จ เธอก็ค่อยๆ บีบหนองออกมาอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งไม่มีหนองเหลืออยู่อีก มีแต่เลือดสีแดงไหลออกมา เธอถึงได้ยอมเลิกรา สุดท้ายเธอก็จัดการฆ่าเชื้อ เอายาเพนิซิลลินวีมาบดเป็นผงโรยไว้บนแผล จากนั้นจึงพันแผลให้เรียบร้อย
เสร็จแล้ว เธอก็เอายาเพนิซิลลินให้ผู้ป่วยกิน
“อดทนหน่อย คอยระวังเรื่องความสะอาดให้มาก ขอเพียงไม่ติดเชื้อก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากแค่ไหน เด็กหนุ่มก็ยังคงเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายอยู่ดี
เธอขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงยาสมุนไพรที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา ดังนั้นจึงบอกให้เซียวเถี่ยเฟิงนำยาสมุนไพรเหล่านั้นไปเคี่ยว
เด็กหนุ่มร้องครวญครางอยู่ถึงครึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดยาก็ถูกเคี่ยวเสร็จ เธอป้อนให้เขาเล็กน้อย ไม่นานนัก เสียงร้องโอดครวญของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เบาลง
“เป็นยังไง ดีขึ้นไหม?” เธอเอ่ยถาม เพราะอยากรู้ว่าประสิทธิผลของยานี้เป็นอย่างไร