“ต้าเซียน ถึงยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว” เด็กหนุ่มซึ่งมีคราบน้ำตาเต็มใบหน้านอนอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนแรง ปากเอ่ยตอบกู้จิ้งเสียงเบา
กู้จิ้งตรวจดูร่างกายของเขาพลางคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง
เธออยากช่วยผู้คนในสมัยโบราณ แต่หากอยากทำอะไรมากกว่านี้ เธอก็ต้องมียาชาซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาชาในยุคปัจจุบัน
แม้ยาชาที่มีอยู่ในตอนนี้จะใช้ได้ แต่ประสิทธิผลของมันก็ห่างจากที่เธอคาดหวังมาก
ควรทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้คนไม่รู้สึกเจ็บปวดได้นะ?
กู้จิ้งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นในสมอง
สเปรย์กันหมาป่าของเธอมีส่วนผสมของยาชาอยู่ไม่ใช่รึ?
กู้จิ้งรีบควักสเปรย์กันหมาป่าออกมาจากกระเป๋าแล้วพ่นลงไปในชามยาเล็กน้อย
เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งบังเอิญเข้ามาเห็นพอดีสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เจ้า…ทำอะไรหรือ?” เขามองเด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เด็กนั่นเพิ่งอายุสิบสามสิบสี่ปี นางก็ไม่ละเว้นอย่างนั้นหรือ?
ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในใจของเขา
“ฉันอยากจะรู้ว่าถ้าเอาตัวยาในนี้มาผสมกับยาชา จะได้ผลดีกว่าเดิมหรือเปล่า?”
“ตัวยา?”
“ใช่ ในนี้มียาชาขนานหนึ่ง…” กู้จิ้งหยุดคิด “ยาชา ก็คือยาที่ใช้แล้วทำให้คนหมดสติ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง”
เธอโบกไม้โบกมือพลางอธิบาย
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้มลงมองเวทศาสตรา ‘พ่น’ นั่นอีกครั้ง
“สิ่งที่อยู่ในนั้น คือยาชาที่เจ้าพูดถึงอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว!” กู้จิ้งมองสีหน้าแปลกๆ ของเซียวเถี่ยเฟิง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเคยพ่นมันใส่เขา ดังนั้นจึงอดยิ้มไม่ได้ “ตอนนั้นฉันคิดว่านายเป็นคนร้ายก็เลยพ่นมันใส่นาย สุดท้ายนายก็หมดสติไปจริงๆ”
เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วสีหน้ายิ่งบูดบึ้งกว่าเดิม
นึกถึงความเข้าใจผิดต่างๆ ที่ตนเองมีต่อยาชา เขาคิดว่ามันเป็นเวทศาสตรา แถมยังเป็นเวทศาสตราสำหรับดูดไอหยางอีกด้วย…
“ทำไมหรือ?” กู้จิ้งขยับเข้าไปใกล้ “นายคงไม่ได้ผูกใจเจ็บเพราะเรื่องนี้อยู่หรอกนะ?”
เซียวเถี่ยเฟิงกัดฟัน ส่ายหน้า แล้วก็ส่ายหน้า จากนั้นจึงถามว่า “คืนที่ฮัสกี้เกือบจะกัดเจ้า เจ้าก็คิดจะพ่นยาชาใส่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“นั่นน่ะหรือ?” กู้จิ้งได้ยินว่าเขาเข้าใจผิดเช่นนี้ก็ตะลึงงันไป ยิ่งนึกถึงภาพที่เขาพยายามห้ามไม่ให้เธอพ่นยุงอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอก็เกือบจะหัวเราะออกมา
สเปรย์กันหมาป่าทำเอง… ยากันยุง…ดูเผินๆ ก็คล้ายกันมากจริงๆ ล้วนเป็นกระป๋องพ่นเหมือนกัน
“นั่นคือ…” กู้จิ้งพยายามกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ “นั่นเป็นยาฆ่ายุง ฆ่าแมลงวัน พ่นๆๆ ไม่กี่ที ทั้งยุงทั้งแมลงวันก็ตายเรียบ!”
เห็นเขาทำหน้าเหมือนคนท้องผูก ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมา “ที่แท้นายเข้าใจผิดอะไรกันแน่ คิดว่าฉันจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ? คิดว่าฉันจะทำให้นายชางั้นรึ? ไม่ใช่ๆ นายไม่รู้ว่ามันเป็นยาชา ที่แท้นายคิดอะไรกันแน่?”
แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับหันกายเดินออกไปข้างนอกพลางกล่าวเสียงแข็งกร้าวว่า “ข้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดทั้งนั้น!”
จนกระทั่งเดินไปถึงบริเวณที่เงียบสงบนอกถ้ำ เซียวเถี่ยเฟิงถึงได้ทรุดกายลงนั่งยองๆ ตรงริมลำธารพลางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
นี่มันเรื่องเข้าใจผิดบ้าบออะไรกัน!
เวทศาสตรา เวทศาสตรา! ปีศาจน้อยที่แม้แต่ปรุงยาก็ยังไม่เป็น จะมีเวทศาสตราได้อย่างไร!
ส่วนเรื่องดูดไอหยาง… มีแต่ภูตผีเท่านั้นถึงจะรู้ว่า ปีศาจน้อยที่ไม่เอาไหนอย่างนางใช้อาคมขั้นสูงแบบนั้นเป็นหรือเปล่า!
เซียวเถี่ยเฟิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูท่าคืนนี้คงต้องถามเรื่องดูดไอหยางจากนางเสียแล้ว
หรือที่เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรง เหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดทุกวัน แม้กระทั่งเตียงใหม่ก็ยังถล่ม จริงๆ แล้วล้วนเป็นความพยายามที่สูญเปล่าทั้งนั้น?
กู้จิ้งหัวเราะจนพอแล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรในถ้ำก็ยังมีเด็กหนุ่มอยู่อีกทั้งคน หลังจากเอาสเปรย์กันหมาป่ากับยาชามาผสมเข้าด้วยกันเป็น**‘ยาชาสูตรพิเศษ’ เธอก็ตักขึ้นมาให้เด็กหนุ่มดื่มเล็กน้อย**
ความเจ็บปวดรุนแรงที่ได้รับเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มหมดสติไป แต่พอถูกกู้จิ้งปลุกให้ตื่น เขาก็ยังยอมดื่มยาลงไปแต่โดยดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้จิ้งก็อดถามไม่ได้ “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
เด็กหนุ่มเอาแต่นอนมองกู้จิ้งอย่างอ่อนแรง ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
กู้จิ้งเดินไปจับแขนของเขา เห็นแขนข้างนั้นอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง
“รู้สึกไม่มีแรงใช่ไหม? ถ้าใช่ กะพริบตาครั้งหนึ่ง”
เด็กหนุ่มกะพริบตา
“รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มไม่ได้กะพริบตา
กู้จิ้งตรวจดูร่างกายของเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ เธอรู้ว่าสเปรย์กันหมาป่าของตัวเองไม่ได้มีประสิทธิภาพดีเช่นนี้ ดูท่าหลังจากนำไปผสมกับยาชาที่เคี่ยวขึ้นมาแล้ว จะได้ผลดีอย่างคาดไม่ถึงสินะ
เธอแอบวางแผนอยู่ในใจเงียบๆ สเปรย์กันหมาป่านี่มาจากยุคปัจจุบัน สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ส่วนยาชานี่เป็นของในยุคโบราณ สามารถหาส่วนผสมได้ไม่ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็มียาชาให้ใช้ไม่ขาดมือแล้ว
เมื่อมียาชา ต่อไปเธอก็สามารถทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วยได้
แน่นอน เธอยังจำเป็นต้องมียาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ได้แรงกว่านี้ อาศัยแค่ยาเพนิซิลลินวีเกรงว่าจะไม่พอ
กู้จิ้งตรวจดูแผลของเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ยื่นยาเพนิซิลลินจำนวนหนึ่งให้เขา “อาการของเธอไม่เป็นอะไรมากแล้ว เพียงแต่ในช่วงระยะเวลาสามชั่วยามนี้ เธอจะรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง ไม่เจ็บไม่ปวด เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ หลังจากสามชั่วยามผ่านไป เธอจะรู้สึกเจ็บ แต่ความรู้สึกเจ็บในตอนนั้นน่าจะเบากว่าตอนนี้มาก ทนอีกแค่ไม่กี่วัน แผลก็หายเป็นปกติแล้ว”
เด็กหนุ่มมองเธอด้วยสายตาเคารพเลื่อมใสแกมหวาดหวั่น จากนั้นจึงกะพริบตาครั้งหนึ่ง
กู้จิ้งร้องเรียกเซียวเถี่ยเฟิงให้มาหามเด็กหนุ่มออกไป
ที่นอกถ้ำ คนกลุ่มหนึ่งยืนกรานจะจับปีศาจ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งยืนกรานจะปกป้องต้าเซียน พวกเขาจึงยังทะเลาะกันไม่เลิก
เห็นเด็กหนุ่มถูกนำตัวเข้าไปพักใหญ่ ยังไม่ออกมาเสียที แม่ของชุนเถาก็ร้องเสียดสีเสียงดัง “คงไม่ได้เอาชีวิตลูกไปทิ้งหรอกนะ!”
ในตอนนั้นเอง เซียวเถี่ยเฟิงก็ส่งเสี่ยวลิ่วจื่อออกมา
พ่อแม่ของเสี่ยวลิ่วจื่อรีบโผเข้าไปหา “เสี่ยวลิ่วจื่อ เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
เสี่ยวลิ่วจื่อกะพริบตา ไม่พูดอะไร
พ่อแม่ของเสี่ยวลิ่วจื่อตะลึงงัน “นี่…นี่เป็นอะไรไปหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พิษในร่างของเสี่ยวลิ่วจื่อแทบจะลุกลามไปทั่วร่างอยู่แล้ว หากช้าอีกนิดก็คงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เมื่อครู่ต้าเซียนเพิ่งใช้อิทธิฤทธิ์พันปี ใช้ปราณขับพิษในร่างของเสี่ยวลิ่วจื่อออกไปจนหมด แต่อิทธิฤทธิ์ของต้าเซียนจะทำให้เซียวลิ่วจื่อหมดแรงไปชั่วคราว รออีกสามชั่วยาม เขาจะหายเป็นปกติเอง”
เสี่ยวลิ่วจื่อซึ่งพอจะมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้างพยายามพยักหน้าพลางกะพริบตาด้วยความตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้เจ็บปวดจนต้องเอาหัวโขกกำแพง แต่ตอนนี้กลับไม่เจ็บแล้ว! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!
พ่อแม่ของเสี่ยวลิ่วจื่อย่อมเชื่อหมดใจ พวกเขาคุกเข่าลงโขกศีรษะน้ำตาไหลพราก “ต้าเซียน ต้าเซียน ช่างมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งยิ่งนัก! ข้าจ้าวซานจะสร้างศาลให้ต้าเซียน ให้ต้าเซียนได้รับการกราบไหว้จากผู้คนตลอดไป!”
ผู้คนรอบด้านเห็นเช่นนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่ทอดถอนใจว่าต้าเซียนช่างมีอาคมสูงส่งเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะอิทธิฤทธิ์พันปี ใช้ปราณขับพิษอะไรนั่นยิ่งไม่เคยเห็น แม้แต่ได้ยินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
“ต้าเซียนบำเพ็ญเพียรอยู่ในภูเขามานับพันปี ตอนนี้ท่านออกมาโปรดพวกเราแล้ว!”
“ใช่ๆๆ นี่มันพระโพธิสัตว์ซึ่งลงมาโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากชัดๆ!”
ท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอที่มีต่อต้าเซียนพันปีกู้จิ้ง ใครบางคนเริ่มตำหนิแม่ของชุนเถา “พวกเจ้ากล้ามารบกวนต้าเซียนแบบนี้ มีเจตนาอะไรกันแน่? หากไม่ใช่ต้าเซียน พิษในร่างของเสี่ยวลิ่วจื่อจะถูกขับออกไปได้หรือ?”
บางคนชี้หน้าเหล่านักพรตด้วยความไม่พอใจ “พวกสิบแปดมงกุฎ ยังกล้ามาจับปีศาจอีกหรือ? ข้าขอถามหน่อยเถิด พวกเจ้ารักษาโรคเป็นหรือไม่?”
“ใช่ๆๆๆ ต้าเซียนรักษาโรคได้ แล้วพวกเจ้ารักษาโรคให้เด็กได้ไหม?”
นักพรตเหล่านั้นงุนงงมาก พวกเขายันต์ก็เขียนเสร็จหมดแล้ว คาถาก็ท่องจนขึ้นใจแล้ว รอแค่บุกเข้าไปจับปีศาจในถ้ำเท่านั้น ทำไมอยู่ดีๆ คนพวกนี้ก็มาเรียกร้องให้พวกเขารักษาโรค?
“นี่ๆ…ประสกท่านนี้ พวกข้าจับปีศาจเป็นเท่านั้น รักษาโรคไม่ได้”
“รักษาโรคไม่ได้แล้วพวกเจ้ามาทำไม?”
“รักษาโรคไม่ได้ มาดูเรื่องสนุกงั้นรึ? พวกเจ้าเห็นไหมว่าเมื่อครู่เด็กคนนี้ทรมานมากแค่ไหน? นักบวชต้องมีใจเมตตาไม่ใช่หรือ แต่พวกเจ้ากลับไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ?”
เหล่านักพรตผู้น่าสงสารทำเป็นแค่ท่องคาถา รักษาโรคไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกชาวบ้านรุมก่นด่าจนต้องเผ่นหนีไป
มีเพียงแม่ของชุนเถาที่แอบแค่นเสียงฮึดฮัดอยู่เงียบๆ “ปีศาจพันปีใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นตะพาบหมื่นปี! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครปราบเจ้าได้! นางปีศาจ คอยดูไปเถิด!”
วันนี้ เซียวเถี่ยเฟิงลงเขาไปรับเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่สั่งตัดเอาไว้ กู้จิ้งอยู่ในถ้ำว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงศึกษายาชาซึ่งต้องอาศัยส่วนผสมของยาในยุคปัจจุบันและอดีตมาผสมผสานกันต่อ ก่อนหน้านี้เธอให้เซียวเถี่ยเฟิงจับกระรอกมาให้หลายตัว กระรอกน้อยที่น่าสงสารเหล่านี้จึงกลายเป็นสัตว์ทดลองของเธอไปโดยปริยาย