แม้ครั้งก่อนที่ลองใช้จะได้ผลไม่เลว แต่เธอก็อยากรู้ปริมาณยาชาที่เหมาะสมมากที่สุด เช่นนี้ต่อไปเธอก็จะสามารถทำการผ่าตัด หรืออาจถึงขั้นผ่าท้องทำคลอดให้สตรีที่คลอดยากได้

ในขณะเดียวกัน เธอยังเริ่มทบทวนความรู้ในสมองของตัวเองใหม่แล้วลองศึกษายาสมุนไพรให้มากขึ้น

เพราะหากรักษาโรคโดยอาศัยแต่ยาที่ติดตัวมาจากยุคปัจจุบัน มันก็จะเป็นแค่ความพยายามของเธอเพียงคนเดียว กำลังของคนเพียงคนเดียวเล็กน้อยมาก เธอจะทำอะไรเพื่อโลกใบนี้ได้สักเท่าไหร่?

ดังนั้น หากอยากช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น อยากให้คนที่เป็นฝีอย่างเสี่ยวลิ่วจื่อไม่ต้องทุกข์ทรมาน วิธีที่ดีกว่านั้นคือ ต้องพยายามรักษาผู้คนด้วยยาที่มีอยู่ในยุคสมัยนี้ เช่นนี้เธอก็จะสามารถถ่ายทอดวิธีรักษาให้หมอคนอื่นๆ ได้

เช่น สูตรยาปากู่ซ่าน หลังจากเธอสอนให้ท่านหมอเหลิ่ง บางทีท่านหมอเหลิ่งก็อาจนำไปถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานและลูกศิษย์ นับแต่นี้ไปยาสูตรนี้ก็จะถูกถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ ในยุคสมัยนี้

ก่อนอื่น กู้จิ้งนึกถึงสิ่งที่จะนำมาใช้แทนเพนิซิลลิน

สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือหญ้าอ้ายเฉ่า

ผู้หญิงซึ่งลูกมีอาการสี่หกคนนั้นบอกว่า ปกติพวกเขาจะใช้หญ้าอ้ายเฉ่ารักษาอาการสี่หกกัน

จริงๆ แล้วหญ้าอ้ายเฉ่าคือยาปฏิชีวนะในสมัยโบราณ มันมีสมญานามว่าราชาแห่งร้อยสมุนไพร มีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแก้อักเสบ และช่วยให้บาดแผลสมานตัวได้เร็วขึ้น ยาที่ท่านหมอเหลิ่งใช้ในวันนั้นก็มีกลิ่นของหญ้าอ้ายเฉ่าผสมอยู่

แต่เห็นได้ชัดว่ายาของท่านหมอเหลิ่งมีสรรพคุณในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร อย่างน้อยสำหรับผู้ป่วยหนักมันก็ไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ ตามที่กู้จิ้งรู้ ในสมัยโบราณของจีนจะใช้วิธีการรักษาที่ผสมผสานกันระหว่างหญ้าอ้ายเฉ่ากับจุดชีพจรและเส้นลมปราณมาโดยตลอด

เธอพยายามเค้นสมองคิดว่า ในบรรดาตำรับยาสมุนไพรที่รู้จัก มีวิธีไหนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแก้อักเสบของหญ้าอ้ายเฉ่าได้บ้าง?

คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังหาคำตอบไม่ได้ กู้จิ้งจึงเข้าไปในกระเป๋าหนังสีดำของตัวเองแล้วลงมือจัดระเบียบแยกประเภทยาที่มีอยู่ในกระเป๋าอีกครั้ง หวังจะจุดประกายความคิดบางอย่าง แต่ในตอนนั้นเอง เธอกลับพบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง

ยาเพนิซิลลินวีของเธอ หลังจากมอบให้เสี่ยวลิ่วจื่อไปก็เท่ากับว่าใช้หมดแล้ว เธอจึงโยนแผงพลาสติกทิ้งไป

ตามหลักหลังจากใช้ยาหมด ในกระเป๋าของเธอก็น่าจะมียาเพนิซิลลินวีแบบเดียวกันแผงใหม่ปรากฏขึ้นมา

แต่ครั้งนี้ ยาที่เธอพบในกระเป๋ากลับเป็นแผงยาเพนิซิลลินวีที่ขาดไปสองเม็ด

ขาดไปสองเม็ด…

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางจ้องกระเป๋าด้วยความงุนงง หรือความสามารถในการก๊อบปี้ของมันจะมีข้อบกพร่อง? ทำงานมากไปก็เลยเริ่มทำแบบขอไปที?

แต่ไม่นานนัก เธอก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง

เป็นไปได้หรือไม่ว่าในบรรดาคนที่เธอมอบยาเพนิซิลลินให้ไปจะมีคนกินยาไม่หมดแล้วแอบเก็บเอาไว้สองเม็ด? พอคิดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกว่าเป็นไปได้มากๆ หากคนคนนั้นคิดว่ามันเป็นยาวิเศษ ประกอบกับคิดว่าตัวเองหายดีแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเก็บ ‘ยาวิเศษ’ สองเม็ดเอาไว้ทำอย่างอื่นก็ได้

แม้ยาเพนิซิลลินแค่สองเม็ดจะเอาไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรไม่ได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ มันก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในวันหน้าได้

“ดูท่าต่อไปต้องควบคุมปริมาณให้ดี คนไข้คนไหนจำเป็นต้องกินยานี้ ฉันก็ต้องให้เขากินลงไปต่อหน้า”

กำลังคิดอยู่ เซียวเถี่ยเฟิงก็กลับมาพร้อมด้วยห่อผ้าขนาดใหญ่ในมือ

“มากขนาดนี้เลยหรือ?”

“อืม เสื้อคลุมของเจ้าทำเสร็จแล้ว”

พูดจบเซียวเถี่ยเฟิงก็แกะห่อผ้าออกแล้วหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา ในนั้นมีเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูหนาวของเซียวเถี่ยเฟิงหลายตัว ส่วนที่เหลือเป็นของกู้จิ้ง รวมทั้งเสื้อคลุมหนังหมาป่าตัวนั้นด้วย

กู้จิ้งหยิบเสื้อคลุมหนังหมาป่าตัวนั้นขึ้นมาเทียบกับตัวดู ขนาดของมันพอดี หนังหมาป่าทั้งเงางามทั้งอบอุ่น พอสวมลงบนร่างก็ดูสง่าน่าเกรงขามมาก

เธอยิ้ม “สวมเสื้อคลุมหนังหมาป่าแบบนี้ ฉันชักจะดูเหมือนต้าเซียนจริงๆ ซะแล้ว”

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาบ้าง จากนั้นเขาก็หยิบของอีกชิ้นหนึ่งออกมา “เจ้าดูนี่สิ”

พอกู้จิ้งเห็น ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายเจิดจ้า

“นี่… สร้อยคอเขี้ยวหมาป่า!” เธอรับมาด้วยความตื่นเต้นแกมไม่อยากเชื่อ

สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้เป็นเส้นเดียวกับสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเซียวซึ่งถูกเก็บไว้ที่ต่างประเทศจริงๆ แม้กระทั่งลวดลายที่ถูกแกะสลักไว้บนเขี้ยวหมาป่าก็ยังเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!

“นี่ให้ฉันหรือ?” สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้เป็นของตระกูลเซียว แถมยังถูกส่งต่อให้ลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า ตามหลักย่อมไม่น่าเป็นของเธอ

“แน่นอน” เซียวเถี่ยเฟิงรับมันไปก่อนจะสวมมันลงบนลำคอของเธอ “สวมคู่กับเสื้อคลุมหนังหมาป่าแบบนี้ เจ้ายิ่งดูเหมือนต้าเซียนเข้าไปใหญ่”

กู้จิ้งก้มลงมองสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าซึ่งสวมอยู่บนลำคอของตัวเอง มองดูลวดลายแกะสลักประณีตงดงามแล้ว เธอก็นึกชอบมันเหลือเกิน

แม้สุดท้ายสร้อยเส้นนี้จะไม่ได้เป็นของเธอ แต่ตอนนี้มีโอกาสสวมก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน

กู้จิ้งลูบสร้อยด้วยความปลาบปลื้ม

“ขอบคุณพี่ล่ำ!” เธอยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาแล้วยื่นหน้าไปจูบแก้มอย่างดีอกดีใจ

“ขอบคุณข้าแค่นี้เองหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงบีบจมูกเธอเบาๆ พลางเลิกคิ้วถาม

“แล้วนายจะเอายังไง?” เดี๋ยวนี้กู้จิ้งรู้จักท่านบรรพบุรุษดี แค่เห็นแววตาที่มืดลงของเขา เธอก็เข้าใจความหมายของเขาแล้ว

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงกระซิบตรงข้างหูเธอเบาๆ

กู้จิ้งเลิกคิ้วพลางแค่นเสียงฮึคำหนึ่ง จากนั้นก็ปฏิเสธออกมาตรงๆ “ไม่เอา!”

ครั้งก่อนที่ทำแบบนี้เป็นที่ริมลำธาร ตอนนั้นเธอต้องบ้วนปากอยู่ตั้งนาน เพราะเธอไม่ชอบกลิ่นดอกสือหนานฮวาสักนิด!

เห็นเธอเบือนหน้าหนีพลางปฏิเสธเสียงฮึดฮัด เซียวเถี่ยเฟิงกลับยิ่งนึกชอบ

ท่าทางเย้ายวนเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อาจตัดใจได้เลย

เขาคว้าเธอมากอดแนบร่างพลางปลอบเสียงเบา “เด็กดี พี่ล่ำจะให้เจ้าดูดไอหยางนะ”

“พรืด!” คำพูดนี้ทำให้กู้จิ้งแทบจะหัวเราะออกมา

เมื่อคืนเขาเพิ่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง เธอถึงได้รู้ว่าที่แท้เขามีเรื่องเข้าใจผิดมากมายถึงเพียงนั้น

ดูดไอหยางอะไร? เวทศาสตราอะไร? จินตนาการบรรเจิดมากเกินไปแล้ว!

กู้จิ้งรีบแสดงให้เขาดูการใช้สเปรย์กันหมาป่า ‘ดูดไอหยางของฮัสกี้’ ฮัสกี้ก็รีบล้มลงตามบท สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแกมคับแค้น

“เห็นหรือยังว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่?”

“เห็นแล้ว”

“ยังจะพูดเรื่องดูดไอหยาง เวทศาสตราอะไรนั่นอีกไหม?”

“ไม่พูดแล้ว”

หลังจากเป็นฝ่ายชนะ กู้จิ้งค่อยแนะนำให้เซียวเถี่ยเฟิงรู้จัก ‘เวทศาสตรา’ ชนิดต่างๆ ของเธออย่างละเอียด

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับชี้ไปที่กระเป๋าหนังสีดำใบนั้นแล้วกล่าวว่า “ไอ้นี่คืออะไรหรือ?”

กู้จิ้งชะงัก ใจคิดว่าควรอธิบายอย่างไรดี?

เซียวเถี่ยเฟิงถามอีก “พวกปีศาจอย่างเจ้าล้วนไม่ต้องดูดไอหยางหรือ?”

กู้จิ้งชะงักอีก ใจคิดว่ายังจะพูดถึงปีศาจๆๆ อีก เขายังเห็นเธอเป็นปีศาจอีกงั้นรึ?

แต่หากเธอบอกเขาว่าเธอไม่ใช่ปีศาจ แล้วจะอธิบายความเป็นมาของตัวเองอย่างไร บอกเขาไปตรงๆ ว่าเธอเป็นหลานสาวที่ลูกสาวของหลาน…ของหลานๆๆๆๆๆๆ เขาเก็บมาเลี้ยงงั้นรึ?

จะทำให้เขาตกใจจนไอ้นั่นหดไปเลยหรือเปล่า?

กู้จิ้งนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร

เซียวเถี่ยเฟิงเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ “เจ้ามาจากที่ไหน? บ้านที่เจ้าพูดถึงไม่ได้อยู่บนเขาเว่ยอวิ๋นเหมือนกันหรอกหรือ? หากไม่ใช่โลกปีศาจบนเขาเว่ยอวิ๋น ทำไมพวกข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน? ทำไมเจ้าถึงมีความสามารถที่ไม่เหมือนใคร แถมยังมีของวิเศษพวกนี้? ภาษาที่เจ้าพูด หากไม่ใช่ภาษาของโลกปีศาจแล้วมันเป็นภาษาถิ่นของที่ไหน? ข้าเคยเดินทางไปทั่วแผ่นดิน แต่ไม่เคยได้ยินภาษาที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย”

คำถามของเขาทำให้กู้จิ้งถึงกับพูดไม่ออก

จริงๆ กู้จิ้งค้นพบมานานแล้วว่า เซียวเถี่ยเฟิงดูไม่เหมือนนายพรานซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขาทั่วๆ ไป เขามีวิสัยทัศน์ มีความน่าเกรงขาม อ่านหนังสือออก วรยุทธ์สูงส่ง ซ้ำยังมีความคิดเฉียบไว ฉลาดหลักแหลม เจ้าแผนการอีกด้วย

ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่คำถามที่เขาถามออกมาตอนนี้ เกรงว่าคนทั่วไปคงจะคิดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

เขารู้ว่าเธอเองก็อยู่บนเขาเว่ยอวิ๋น แต่กลับไม่เคยพบมาก่อน ดังนั้นจึงเริ่มเกิดแนวคิดเกี่ยวกับโลกคู่ขนานขึ้นมา

เพียงแต่เขาคิดว่าเธอมาจากโลกคู่ขนานที่เป็น ‘โลกของปีศาจ’ แต่จริงๆ แล้วเธอมาจาก ‘อนาคต’ ต่างหาก

สำหรับคนในสมัยโบราณ แค่นี้ก็นับว่าหาได้ยากมากแล้ว

กู้จิ้งไม่คิดจะพูดถึง ‘โลกอนาคต’ เพราะกลัวว่าหากตัวเองพูดมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้น หลังจากนิ่งเงียบไปนาน เธอก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ถูกแล้ว ฉันเป็นปีศาจ มาจากโลกปีศาจ”

จริงๆ… พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดเหมือนกัน

เธอมาจากอีกกาลเวลาหนึ่ง มาจากโลกที่แตกต่างจากโลกของเซียวเถี่ยเฟิงโดยสิ้นเชิง ดังนั้นก็คิดเสียว่ามันเป็น ‘โลกปีศาจ’ ก็แล้วกัน

“เจ้า…เจ้าเป็นปีศาจจริงๆ” เซียวเถี่ยเฟิงกำข้อมือของเธอแน่นโดยไม่รู้ตัว “จริงแล้วๆ นับแต่เห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นปีศาจที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าลึก”