กลืนโอสถแยกวิญญาณ

ยามเมื่อการปรุงยาเริ่มต้น ห้องทั้งห้องก็เงียบสงบ

 

หวังชูเหรินเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเฉียบคม อีกทั้งยังเคลื่อนไหวด้วยความแม่นยำและเอาใจใส่ เธอระมัดระวังอย่างถึงที่สุดกับวัตถุดิบที่นำใส่ลงในเตาปรุงยา ทำราวกับว่าพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่าอันบอบบาง ในเมื่อเพียงการมอดไหม้ของวัตถุดิบเพียงชนิดเดียวก็หมายถึงจุดจบของการปรุงยาครั้งนี้

 

ซูหยางช่วยเธอด้วยการควบคุมความร้อนของเตาปรุงยาในตอนนี้ดังนั้นเธอสามารถใส่ใจกับส่วนผสมภายในเตา ทำให้เธอง่ายขึ้น

 

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงพวกเขาก็ถึงจุดสำคัญของการปรุงยา ซูหยางหยุดควบคุมเพลิงและนำเอาอาวุธระดับอำพรที่เขาได้มาจากสุสานมรดก แมงป่องดำ และบาดเป็นแผลเล็กๆที่ปลายนิ้วโป้ง

 

แม้ว่าแมงป่องดำจะแพร่พิษให้กับสิ่งที่เข้ามาสัมผัสมัน แต่ซูหยางเป็นเจ้าของแมงป่องดำมีความสามารถในการผนึกพิษภายในมีดสั้นดังนั้นเขาจึงไม่ถูกพิษจนตาย

 

“ข้าจักโอนการควบคุมให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าวกับหวังชูเหรินก่อนที่เขาจะหยุดการสนับสนุนเพลิงปรุงยา

 

ครั้นเมื่อมีรอยแผลบนนิ้วของเขา ซูหยางก็เริ่มพึมพัมบทสวดอันลึกล้ำจนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ภายในร่างของเขาตอบสนองอย่างบ้าคลั่งและพุ่งตรงไปยังรอยแผลขนาดเล็กบนนิ้ว

 

สองสามวินาทีถัดไป ซูหยางเปิดฝาเตาปรุงยาและหยดเลือดลงไปหนึ่งหยดเพื่อผสมเข้ากับส่วนผสม

 

ทันทีที่เลือดของเขาผสมเข้ากับวัตถุดิบ หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ลึกล้ำยากอธิบายเกิดขึ้นกับส่วนผสม และพลังงานภายในร่างของหวังชูเหรินเริ่มระบายออกไปด้วยอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น

 

“ก-เกิดอะไรขึ้น” หวังชูเหรินแตกตื่นเมื่อเตาปรุงยาเริ่มดูดซับพลังของเธอด้วยอัตราเร็วที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน ราวกับว่าเตาปรุงยาพลันกลายเป็นหลุมดำที่กระหายต่อพลังโดยไม่รู้จบ

 

“ตั้งใจอยู่กับเตาปรุงยา” เสียงซูหยางบังคับหวังชูเหรินให้หลุดออกจากความงงงัน

 

“ข-ข้าขอโทษ” หัวใจของหวังชูเหรินเต้นรัว ถ้าเธองงงันต่อไปอีกไม่กี่วินาที เช่นนั้นทุกสิ่งภายในเตาต้องเผาไหม้จนกรอบ

 

และในขณะที่หวังชูเหรินคิดว่าจะจบแค่นี้ ซูหยางพลันใช้แมงป่องดำเฉือนแผลบนนิ้วอื่นอีก

 

หลังจากที่เขาสวดคาถาอันลึกล้ำอีกสองสามบท ซูหยางก็หยดเลือดลงไปอีกสี่หยดไปในเตาปรุงยาโดยเว้นระยะทุกสองสามวินาทีระหว่างหยด

 

และทุกหยดที่เพิ่มเข้าไปผสมภายในเตาปรุงยา หวังชูเหรินก็สามารถรู้สึกถึงอำนาจอันลึกลับที่ดูดกลืนพลังของเธอรุนแรงมากยิ่งขึ้น

 

โชคดีที่ขณะที่หวังชูเหรินเกือบหมดเรี่ยวแรง ซูหยางก็เสร็จสิ้นส่วนของเขาและกลับมารับช่วงควบคุมการปรุงยา

 

“ข้าจักรับช่วงต่อจนจบ ขอบคุณ” ซูหยางพูดกับเธอพร้อมรอยยิ้ม

 

หวังชูเหรินนอนแผ่ลงไปบนพื้นขณะที่หายใจหอบ ชุดของเธอโชกไปด้วยเหงื่อ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ปรุงยาต่อเนื่องมาหลายวันโดยไม่ได้พัก มันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน

 

ครั้นเมื่อเธอพักเพียงพอแล้ว หวังชูเหรินก็มองดูซูหยางปรุงยาด้วยดวงตากลมโต

 

“อยู่ได้นานเช่นนี้โดยไม่มีเหงื่อสักหยดบนร่างเขา ปราณไร้ลักษณ์ของเขามีมากมายเพียงใดกันแน่” เธอคิดสงสัยในใจในเมื่อเธอไม่คิดรบกวนเขา

 

“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเข้ารับช่วงต่อการควบคุมเตาปรุงของข้าอย่างสบายๆได้อย่างไร…”

 

ปกติแล้วผู้หนึ่งผู้ใดไม่อาจจะเข้าแทนที่ผู้ที่กำลังปรุงยาอยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในเมื่อนักปรุงยาแต่ละคนมีวิชาและเคล็ดลับเฉพาะตัว ทว่าซูหยางก็สามารถเข้าแทนที่หวังชูเหรินและปรุงยาต่อไปโดยไม่มีแม้กระทั่งการหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยระหว่างนั้น ราวกับว่าหวังชูเหรินไม่ได้จากไปไหน เป็นสิ่งที่หวังชูเหรินเองไม่อาจเข้าใจได้

 

เกินสิบนาทีไปเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ซูหยางเข้าไปแทนที่หวังชูเหริน ซูหยางก็เสร็จสิ้นการปรุงยาและเปิดฝาเตา นำเอายาเม็ดสีแดงเลือดภายในเตาออกมา

 

แม้ว่าเธอไม่อาจเข้าใจในความรู้สึก แต่เมื่อหวังชูเหรินเห็นโอสถแยกวิญญาณในครั้งแรก เธอรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งลึกภายในจิตสำนึกของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น

 

“นั่นเป็นโอสถแยกวิญญาณรึ มันดูช่างธรรมดาทว่าช่าง…ลึกล้ำ…”

 

อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ตอบเธอแต่กลับโยนโอสถแยกวิญญาณเข้าไปในปากทันทีหลังจากนำมันออกมาจากเตา สร้างความมึนงงให้กับหวังชูเหริน

 

“ท่านกลืนมันเข้าไปในตอนนี้เลยรึ” เธอตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

หลังจากที่กลืนโอสถแยกวิญญาณ ซูหยางนั่งลงและหลับตาลงเพื่อฝึกฝน

 

เมื่อหวังชูเหรินเห็นเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเขา เธอรีบออกไปจากห้อง

 

“อาจารย์ ในที่สุดท่านก็ทำสำเร็จแล้วรึ” เซียวยาเหวินถามหวังชูเหรินทันทีที่อีกฝ่ายออกมาจากห้อง ราวกับว่าเธอยืนอยู่ที่นั่นรออีกฝ่ายมาตลอดเวลา

 

“ใช่แล้ว” หวังชูเหรินพยักหน้า “ทำไมเจ้าจึงมีใบหน้าท่าทางเช่นนั้น”

 

เธอพลันถามเซียวยาเหวินเมื่อเห็นหน้าตาเป็นกังวลของอีกฝ่าย

 

“สาเหตุคือ…บางคนพบกองอะไรบางอย่างที่ดูราวกับว่าเป็นเถ้าในเขตศิษย์ใน และพบว่ามันคือเถ้ากระดูกมนุษย์…”

 

“อะไรกัน ใครกันที่มิเคารพต่อผู้อื่น พวกเขารู้ไหมว่าขี้เถ้านี้เป็นของใคร” หวังชูเหรินรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยจากการกระทำของคนคนนี้

 

“เอ่อ…ยังไม่มีคำแถลงการณ์จากนิกายเลย แต่มีคำร่ำลือไปทั่วว่านี่เป็นเถ้าของ…หวังหมิง ญาติของท่านอาจารย์” เซียวยาเหวินพูดด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยม ในเมื่อมันเป็นเพียงข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน

 

“ว่ากระไร หวังหมิง เขาตายได้อย่างไรในเมื่อข้าเพิ่งเห็นเขาก่อนที่จะเริ่มขายโอสถดอกบัวเพลิง ข้าจักไปดูเขาหน่อยตอนนี้”

 

“เดี๋ยวก่อน” เซียวยาเหวินหยุดอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ยากสักหน่อย ในเมื่อหวังหมิงหายตัวไปตั้งแต่เช้าวันนี้”

 

หวังชูเหรินเบิกตากว้างด้วยความตระหนก หรือว่าหวังหมิงตายไปแล้วจริงๆ ถ้านั่นเป็นความจริง เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร ทำไมเขาจึงสิ้นชีวิตอย่างฉับพลัน แม้ว่าเธอจะมองเขาเป็นความอัปยศของตระกูลหวังเพราะการกระทำของเขา สุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นคนในตระกูล และถ้ามีคนฆ่าเขา เธอก็ต้องหาคำตอบ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเองแต่เพื่อพ่อแม่ของหวังหมิง