บทที่ 559 : หนุ่มเพลย์บอยแห่งจิงฉู!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 559 : หนุ่มเพลย์บอยแห่งจิงฉู!

หากการคาดเดาของถังเทียนห่าวแม่นยำ.. อีกสองสามปีข้างหน้า หรืออาจจะเพียงแค่หนึ่งปี หากหลิงหยุนเห็นด้วยและตอบตกลง การประชุมสุดยอดทางการแพทย์ของโลกที่จะมาถึงนี้ อาจจะต้องจัดขึ้นที่เมืองจิงฉูนี้อย่างแน่นอน!

ถังเทียนห่าวนับถือในวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และสติปัญญาที่ล้ำเลิศของหลี่ยี่เฟิงอย่างแท้จริง!

หลี่ยี่เฟิงดูดเอาบุหรี่เข้าปอด และค่อยๆพ่นมันออกมาช้าๆ เขาปล่อยให้ควันบุหรี่ค่อยๆจางหายไป แล้วจึงหันไปมองถังเทียนห่าวที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ก่อนจะพูดยิ้มๆต่อว่า

“ครั้งแรกที่ฉันได้รับรู้เรื่องความสามารถทางการแพทย์ของหลิงหยุนก็คือ.. เมื่อครั้งที่เขารักษาอาการป่วยให้กับลูกชายของฉัน โรคหัวใจแต่กำเนิดของยี่เฟิงนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้แต่ท่านเสี่ยวหมอเทวดายังหาวิธีรักษาไม่ได้ แต่หลิงหยุนกลับทำได้! มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ และเหลือเชื่ออย่างมาก! อีกทั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนหลังการรักษา ยี่เฟิงก็ไม่เคยมีปัญหาโรคหัวใจกำเริบอีกเลย!”

“ครั้งที่สอง.. ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจยิ่งขึ้น! เรื่องนี้แม้แต่ตัวนายเองก็รู้ดีกว่าใคร ช่วงเวลาที่นายกับฉันตกต่ำ ฉันกับนายต่างก็ถูกสอบวินัยและกักขังบริเวณ ส่วนลูกชายของนาย – ถังเมิ่ง ก็ถูกเสียเจิ้นเหยินทำร้ายร่างกายจนแขกขาหัก หัวแตก แทบจะพิการ!”

“แต่เพียงแค่หลิงหยุนกลับมา เขาก็จัดการจนเมืองจิงฉูปั่นป่วนไปทั้งเมือง ถังเมิ่งเองก็ได้หลิงหยุนรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสให้จนอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาด้วยซ้ำไป!”

“โรคหัวใจของหลี่จิ้งเฉินที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด หลิงหยุนก็สามารถรักษาจนหายเป็นปกติ ถังเมิ่งบาดเจ็บสาหัส หัวแตก แขนขาหักแทบพิการ หลิงหยุนก็รักษาจนหายได้ในทันที ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของแผลเป็น!”

 “นายลองคิดดูสิ..! ต้องมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศขั้นใหนถึงจะทำได้แบบนั้น! หากความสามารถทางการแพทย์ของหลิงหยุนถูกเผยแพร่ออกไป ไม่เพียงวงการแพทย์ในประเทศจีนจะต้องสั่นสะเทือน แม้แต่วงการแพทย์ทั่วโลกเองก็ต้องสั่นสะเทือนด้วยอย่างแน่นอน!”

“แต่ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ เรียกว่าสั่นสะเทือนอาจจะยังเบาไป อาจถึงขั้นเขย่ารุนแรงราวกับแผ่นดินไหวเลยทีเดียว และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการแพทย์ทั่วโลก! จากนี้ไปจะต้องเกิดบันทึกหน้าใหม่ขึ้นในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์!”

หลี่ยี่เฟิงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น เขาลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาขณะเล่าพร้อมกับโบกมือ และพูดต่อว่า

“นายลองคิดดูว่าความสามารถทางการแพทย์ที่สูงส่ง และหาใครเปรียบไม่ได้เช่นนี้ หากถูกเผยแพร่ออกไป ผู้บริหารเมืองจิงฉูคงจะได้หน้าอย่างมหาศาลเลยทีเดียว?!”

“ตราบใดที่มีหลิงหยุนอยู่ด้วย อย่าว่าแต่ที่ดินเพียงแค่หนึ่งร้อยไร่เลย ต่อให้เป็นพันไร่ ฉันก็ยินดีที่จะยกให้กับเขา!”

ถังเทียนห่าวนิ่งฟังคำพูดของหลี่ยี่เฟิง..

“นี่พี่หลี่.. ฉันคิดว่าพี่มัวแต่วุ่นวายกับงานบริหารจัดการในเมืองจิงฉู คงจะไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องพพวกนี้แน่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพี่จะสามารถคิดได้ล้ำลึกแบบนี้!”

หลี่ยี่เฟิงยังคงตื่นเต้นอย่างมากจนต้องสูดลมหายใจเข้าไปสองสามเฮือกใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดิม แล้วจึงพูดต่ออย่างมั่นอกมั่นใจ

“ที่ผ่านมายังไม่เหมาะที่จะบอกเรื่องนี้กับนาย ตอนนี้หลิงหยุนเปิดคลินิกแล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ฉันถึงได้บอกกับนายยังไงล่ะ!”

ถังเทียนห่าวเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า “แต่วิชาการแพทย์ของหลิงหยุนนั้น ในสายตาของผู้คนธรรมดาทั่วไป อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องลี้ลับน่าหวาดกลัว หรือเรื่องเหนือธรรมชาติก็เป็นได้!”

หลี่ยี่เฟิงนิ่งฟัง และแสยะยิ้มอย่างเหยีดหยัน “เรื่องลี้ลับ.. เรื่องเหนือธรรมชาติงั้นเหรอ? คำพูดเหล่านี้ออกจากปากคนอื่นได้ แต่ไม่ควรออกจากปากนาย..”

“เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะรู้สึกหวาดกลัว และจินตนาการในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ เรื่องที่มนุษย์ไม่รู้จึงมักกลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป แต่ความจริงแล้ว.. สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ หรือไม่เคยเห็น ก็จำเป็นต้องเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเสมอไป!”

 “เมื่อสี่ร้อยปีก่อน นิโคลาส โคเปอร์นิคัส ได้เสนอทฤษฎีที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ผู้คนในยุคนั้นต่างพากันประณามเขาว่าเป็นพวกนอกรีต จึงจับเขามัดและเผาทั้งเป็น! แล้วดูตอนนี้สิ!”

“คนในยุคนี้สามารถเดินทางไปดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขาน และเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แล้วดูตอนนี้สิ!”

“ฉันเชื่อมาตลอดว่า สิ่งที่มนุษย์เราทำไม่ได้นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรเลย เพียงแต่มนุษย์เรายังมีพลังอำนาจไม่เพียงพอเท่านั้นเอง”

วันนี้ดูเหมืนหลี่ยี่เฟิงจะพูดมากเป็นพิเศษ เขาพูดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“พวกเราทำงานอยู่ในระดับสูง ได้พบเห็นและล่วงรู้ความลับบางอย่าง อีกทั้งตัวนายเองก็เคยอยู่หน่วยสืบสวนอาชญากรรมมาหลายปี ต้องเคยเห็นเคสแปลกประหลาดมากมาย หรือต้องเคยพบเห็นเรื่องเหลือเชื่อ แล้วนายอธิบายเรื่องเหล่านี้ต่อสาธารณชนยังไง?”

“เรื่องที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกนำตัวกลับไปที่อารามจิ้งซิน  และหลังจากที่เกาเฉินเฉินกลับไปปักกิ่งก็เงียบหาย และไม่มีข่าวคราวอีกเลย อ่อ.. ยังมีหญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวเม่ยเม่ยอีกคนที่หายตัวไปในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ออกมา แต่ฉันก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างหลิงหยุนจะนิ่งเฉยไม่ดูดาย!”

“หากฉันเดาไม่ผิด.. หลิงหยุนคงจะรอให้สอบเอนทรานซ์เสร็จก่อน และหลังจากนั้นเขาคงเดินทางออกจากเมืองจิงฉูแน่นอน!”

“และเมื่อถึงเวลาที่การสอบเอนทรานซ์สิ้นสุดลง.. ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราอยากเก็บหลิงหยุนไว้ที่จิงฉู ก็ยากที่จะเหนี่ยวรั้งหรือกักขังหลิงหยุนที่เปรียบเหมือนมังกรที่ใหญ่โตและทรงพลังไว้ได้! และอารามเล็กๆนั่นก็คงยากที่จะต้านทานเทพอย่างเขาได้เช่นกัน!”

พูดจบ.. หลี่ยี่เฟิงก็นิ่งไป ดวงตาของเขาหรี่เล็กลง ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง และบี้ก้นบุหรี่ในมือลงบนโต๊ะ..

ถังเทียนห่าวพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับร้องออกไปว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ทำตามนั้นก็แล้วกัน!”

และเรื่องนี้ ถังเทียนห่าวก็สนับสนุนหลี่ยี่เฟิงอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ!

เพราะหลิงหยุนไม่เพียงแค่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับถังเมิ่ง แต่ยังช่วยเขาจัดการกับหลัวจ้ง จนทำให้ตระกูลเสียต้องถูกโดดเดี่ยวในเมืองจิงฉู หลี่ยี่เฟิงได้อำนาจกลับคืนมา และถังเทียนห่าวยังได้เลื่อนตำแหน่ง มีหรือที่เขาจะไม่ตอบแทน!

หลี่ยี่เฟิงตกใจกับเมื่อถังเทียนห่าวพูดเสียงดัง “อย่าเอะอะไป?!”

“พรุ่งนี้ 8.30 น. จะมีการประชุมเรื่องใช้พื้นที่หนึ่งร้อยไร่นี้ และจะมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมทั้งหมดสิบเอ็ดคน ฉันได้เสียงทั้งหมดแปดเสียงแล้ว และพรุ่งนี้จะมีการโหวตอย่างเป็นทางการ”

“ถ้าอย่างนั้น.. พรุ่งนี้เช้าเก้าโมงครึ่ง เราค่อยออกเดินทางไปที่คลีนิคของหลิงหยุนเพื่อร่วมพิธีเปิด!”

“ตกลง!”

ถังเทียนห่าวยื่นมืออกไปจับมือกับหลี่ยี่เฟิง!

…….

ภายในห้องส่วนตัวหรูหราของโรงแรมห้าดาวในเขตจิงฉี..

ขวดไวน์วางเรียงรายกลิ้งเกลือกอยู่บนโต๊ะ ถังเมิ่งจ้องมองเพื่อนๆทั้งแปดคนของเขาที่นั่งล้อมรอบพร้อมกับพูดออกไปว่า

“เอาล่ะ.. เรื่องทักษะทางการแพทย์ของพี่หยุนฉันจะยังไม่เล่าให้พวกนายฟังตอนนี้ เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะให้พวกนายได้เห็นเองกับตา!”

เพื่อนทั้งแปดคนของถังเมิ่งที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่นั้น มีเพื่อนสนิทของเขาห้าคน และสาวสวยอีกสามคน

สองพ่อลูกนี่ช่างเหมือนกันจริงๆ ถังเทียนห่าวก็ไปปรึกษากับหลี่ยี่เฟิงเรื่องของขวัญที่จะนำไปให้หลิงหยุน ส่วนถังเมิ่งก็มาคุยกับเพื่อนๆเรื่องพิธีเปิดคลีนิคในวันพรุ่งนี้

“ตันตัน.. ฉันไม่สนใจหรอกนะว่านายกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ เลิกเล่นได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะปาโทรศัพท์ของนายทิ้ง!” ถังเมิ่งตะโกนสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มอายุสิบแปดปี

ชายหนุ่มสวมแว่นตาผู้นี้มีชื่อตันตัน.. เขาสวมเสื้อยืดลำลอง ด้านล่างเป็นกางเกงตัวโคร่ง และสวมรองเท้าแตะ ผมยุ่งเป็นรังนก หากดูผิวเผินตันตันจะดูคล้ายกับพวกเด็กผู้ชายที่เรียกกันว่าโอตาคุ

ตันตันเป็นพวกเกมเมอร์ที่เก่งกาจ และตลอดทั้งวันจะไม่ยอมออกจากบ้านไปใหน และครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะถังเมิ่งเรียกให้ออกมา เขาก็คงไม่ออกมา!

“ฉันรู้แล้ว..” ตันตันที่ถือโทรศัพท์มือถือซัมซุงหน้าจอกว้างอยู่ในมือ และกำลังเล่นเกมร้องออกมาทันที

“เจ้าหนู.. พี่เฟย.. พวกนายสองคนก็เหมือนกัน คนหนึ่งชอบกิน อีกคนก็ชอบดื่ม ถ้างั้นพรุ่งนี้ให้พวกนายสองคนรับผิดชอบ และประสานงานเรื่องการจัดเลี้ยงกับโรงแรมแชงกรีล่า”

‘หนู’ เป็นชื่อเล่นของชายหนุ่มที่ชื่นชอบการกินอาหารทุกชนิด เจ้าหนูเป็นคนขี้เกียจ อุดมคติของเขาคือการกินให้ทั่วทั้งจิงฉู เจียงหนาน และประเทศจีน แต่ที่น่าอัศจรรย์คือเจ้าหนูกินอาหารเยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่อ้วน และยังคงผอมแห้งมาตลอด

ส่วนพี่เฟยเป็นชายหนุ่มร่างสูงพอๆกับถังเมิ่ง ชื่นชอบการดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ และขวดไวน์บนโต๊ะเจ็ดแปดขวดนั้น ครึ่งหนึ่งก็เป็นฝีมือเขา แต่ถึงอย่างนั้นพี่เฟยก็เพียงแค่หน้าแดงไม่ถึงกับเมา

“เสี่ยวจี๋ พรุ่งนี้นายมีหน้าที่ส่งงานให้นักข่าว จำไว้ว่า.. พรุ่งนี้ต่อให้นายประสบอุบัติเหตุนายก็ต้องไปที่งานให้ได้!” ถังเมิ่งชี้ไปที่เด็กวัยรุ่นผิวขาวซีดในขณะที่มองหมายภารกิจให้

เสี่ยวจี๋นั้นแซ่จี๋ ชื่อว่าจี๋เสี่ยวชุน ถังเมิ่งชอบเรียกเขาว่า เสี่ยวจี๋!

ครอบครัวของเสี่ยวจี๋นั้นมีฐานะร่ำรวย และตัวเขาเองก็เป็นหนุ่มเพลย์บอยในเมืองจิงฉูคนหนึ่ง ไม่ค่อยชอบไปโรงเรียนแต่เช้า แต่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูหนังเรทเกี่ยวกับผู้หญิง ชอบเที่ยวกลางคืน และควงผู้หญิงคราวละสองคน

“อาปิง.. พรุ่งนี้นายมีหน้าที่เดินตามฉัน ถ้าฉันยุ่งมากจนไม่มีเวลา นายจะได้ช่วยฉันรับแขกได้..” ถังเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองอาปิงที่นั่งสูบบุหรี่ยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม

อาปิงและถังเมิ่งนั้นต่างก็เป็นลูกคนใหญ่คนโต เขาเป็นทายาทของตระกูลนายทหาร ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีวาทศิลป์ดี แต่กลับไม่ค่อยพูด และชอบทำธุรกิจเช่นเดียวกับถังเมิ่ง และตอนนี้ก็เป็นเจ้าของบริษัทเรียลเอสเตท

ชายหนุ่มทั้งห้าคนรวมถังเมิ่งและหลี่จิ้งเฉินเป็นเจ็ดคนนั้น ได้ฉายาว่าเป็นเจ็ดเพลย์บอยแห่งจิงฉู ที่ทั้งกิน ดื่ม และการพนัน ครบทุกอย่าง