[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 560 : หนูจะแต่งงานกับเขา!
“ฉันรู้แล้ว!” อาปิงตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาเป็นคนที่ไม่พูดพร่ำเพรื่อ และจะพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ถังเมิ่งจัดการแบ่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงยิ้ม และพูดต่อว่า “ความจริงเมื่อครั้งที่แล้วที่พวกเรานัดกัน ฉันเองก็ได้ชวนพี่หยุนให้มาร่วมสนุกด้วยกัน แต่บังเอิญเขาติดธุระก็เลยมาไม่ได้ แต่ไว้พวกนายคอยดูวันที่พี่หยุนเล่นพนันก็แล้วกัน พวกนายจะได้เปิดหูเปิดตา!”
แต่ดูเหมือนเจ้าหนูจะไม่ค่อยเชื่อ เขามองถังเมิ่งด้วยแววตาสังเวชพร้อมกับขยิบตาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ถังเมิ่ง.. ฉันว่าพักหลังนายดูผิดปกติไปนะ! ต่อให้หลิงหยุนจะเป็นหมอที่เก่งกาจขนาดใหน แต่พวกเราก็ล้วนแล้วแต่ยังหนุ่มยังแน่นแล้วก็แข็งแรง ไม่เห็นจำเป็นต้องพาพวกเราไปรู้จักกับเขาเลย ฉันว่านายทำงานรับใช้เขาไปคนเดียวจะดีกว่า..”
“นายดูตัวเองสิ.. เกือบหนึ่งเดือนที่นายวุ่นวายอยู่กับเรื่องของหลิงหยุน ทำตัวเหมือนสุนัขรับใช้ พวกเราโทรชวนให้ออกมาเที่ยวเล่น นายก็บอกแต่ว่ายุ่งๆ ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาดื่มกับพวกเรา..”
ถังเมิ่งที่เอาแต่เล่าเรื่องทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนให้เพื่อนซี้ทั้งห้าคนฟัง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่
“ถ้างั้นนายก็ทำให้ฉันหุบปากสิ! ถ้านายมีปัญญา!” ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหพร้อมกับชี้หน้าเจ้าหนู และพูดต่อว่า
“นายจะรู้อะไร! พี่หยุนเป็นเสมือนพี่ชายของฉัน คำพูดของนายเมื่อครู่นี้ ครั้งนี้ฉันจะไม่ถือสา แต่ถ้ายังมีครั้งต่อไป ก็อย่าโทษว่าฉันไม่นับนายเป็นพี่น้องก็แล้วกัน!”
พี่เฟยเห็นสีหน้าถังเมิ่งไม่สู้ดี และดูท่าจะโกรธมากจริงๆ จึงรีบตบแขนเจ้าหนูเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าหนู.. ฉันว่านายก็พูดจารุนแรงเกินไป! พวกเราตอนนี้ก็อายุสิบแปดกันแล้วนะ ถึงเวลาที่จะต้องทำเรื่องดีๆมีประโยชน์กันบ้าง ถังเมิ่งให้โอกาสพวกเราได้รู้จักกับพี่หยุน ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ดีของพวกเราก็ได้! นายก็ขอโทษถังเมิ่งซะ!”
เจ้าหนูเป็นคนที่พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี! เมื่อเห็นว่าถังเมิ่งโกรธมาก เขาถึงกับหน้าเสียทันที..
“นี่.. พ่อเซียนพนันรุ่นเล็ก อย่าโกรธฉันเลย เอาเป็นว่าฉันผิดเอง! ไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวพี่หยุนเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน!”
คำพูดที่ออกจากปากชายหนุ่มผู้นี้ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นเรื่องของการกิน..
ถังเมิ่งยังคงไม่หายโกรธ เขาพูดเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจนัก “นายพูดอะไรออกมาก็ไม่พ้นเรื่องกิน! นายดูถูกพี่หยุนแบบนี้ เรื่องกินข้าวยังจำเป็นอยู่เหรอ!”
“เจ้าหนู.. ถ้านายคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันป่วยก็ไม่เป็นไร แต่พ่อแม่ของนายล่ะ? ปู่ย่าตายายล่ะ? นายมั่นใจได้ยังไงว่าญาติพี่น้องของนายจะสุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาว?!”
“ไว้วันหนึ่งที่พวกเขาล้มป่วยขึ้นมา ฉันจะดูว่านายจะร้องไห้คร่ำครวญขนาดใหน?”
หนุ่มเพลย์บอยที่ไม่เคยซีเรียสกับเรื่องอะไรเลยอย่างตันตัน ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกม ทางด้านของอาปิงก็นั่งดูดบุหรี่พร้อมกับมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น เมื่อรอจนไฟโทสะของถังเมิ่งค่อยๆดับลงแล้ว เขาจึงพูดขึ้นยิ้มๆ
“เอาล่ะ! เจ้าหนูก็รู้ตัวแล้วว่าพูดจาไม่ดี ถังเมิ่ง.. ฉันเองก็ไม่เคยพบหลิงหยุนมาก่อน ความเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ ไว้หลังจากได้พบกันพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นเอง..”
ในที่สุดถังเมิ่งก็นั่งลง เขาเหลือบมองเจ้าหนูพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คืนนี้นายเป็นเจ้ามือเลย!”
ดูเหมือนถังเมิ่งจะได้รับอิทธิพลมาจากหลิงหยุนเต็มๆ และเริ่มเรียนรู้ที่จะรู้จักรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
“ได้เลย.. ฉันเป็นเจ้ามือก็ได้! ถ้างั้นฉันก็จะกินให้หนักเลย บ๋อย.. สั่งอาหาร!” เจ้ามือพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
……….
ที่บ้านของเฉิงเทียนในอ่าวจิงฉู..
เฉิงเมี่ยนสวมชุดนอนผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้ง ท่าทางของเธอคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ลังเล
“เมี่ยน.. ลูกมีเรื่องอะไรรึเปล่า?” แม่ของเฉิงเมี่ยน – จ้าวฝัวหมี่ เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของลูกสาวจึงได้แต่ร้องถามออกไป
“แม่.. หนูคิดไม่ตก! พรุ่งนี้หลิงหยุนจะเปิดคลินิก แม่ว่าพวกเราควรไปร่วมแสดงความยินดีมั๊ยคะ? แล้วจะให้อะไรเป็นของขวัญกับเขาดี?” เฉิงเมี่ยนตอบแม่ของเธอไปตามตรง
สีหน้าของจ้าวฝัวหมี่ดูกระอักกระอ่วนอย่างมาก เธอได้แต่นิ่งอึ้งไปพร้อมกับหันไปทางเฉิงเทียนที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร เธอจึงได้แต่ถอนหายใจและพูดกับลูกสาวคนเล็กว่า
“เอ่อ.. เรื่องนี้ลูกก็ให้พ่อเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน ตอนนี้ที่บ้านเกิดเรื่องมากมาย แม่ไม่มีแก่ใจจะมาคิดเรื่องอะไรพวกนี้หรอก!”
เฉิงเม่ยเฟิงถูกแม่ชีมี่ยื่อแห่งอารามจิงซินพาตัวไป และก่อนที่จะจากไปนั้น ก็ได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับตระกูลเฉิง ก็เท่ากับเป็นศัตรูของอารามจิ้งซินด้วยเช่นกัน
แม้คำพูดของแม่ชีมี่ยื่อจะสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนแม้แต่ตัวของเฉิงเทียนเอง และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของเขาอีกเลย แต่ก็ใช่ว่าตระกูลเฉิงจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริง
เพราะตระกูลซันเองก็แอบแก้แค้นตระกูลเฉิงอยู่เงียบๆ แม้ว่าคนของตระกูลซันจะไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ใช้อำนาจอิทธิพลที่มีในมือกดดันผ่านการทำธุรกิจของเฉิงเทียน ทำให้เขาต้องเผชิญกับลมฝน และแม้กระทั่งพายุเฮอริเคนทางด้านธุรกิจ
แม้ว่าตระกูลซันจะไม่สามารถจัดการกับกลุ่มบริษัทของเฉิงเทียนที่มีฐานอยู่ในมณฑลเจียงหนานได้โดยตรง แต่ก็ได้ใช้วิธีกดดันผ่านเส้นทางอื่น เช่นทำให้เฉิงเทียนไม่สามารถกู้เงินกับธนาคารได้ และนี่เป็นเรื่องที่เฉิงเทียนเองก็ยากที่จะต้านทานได้
เฉิงเทียนจึงหันไปพึ่งพาตระกูลเสีย เพราะตอนนี้ตระกูลเสียนั้นนับว่าดีกว่าเขา เฉิงเทียนยังคงเป็นห่วงธุรกิจของตัวเองเช่นเคย?
เฉิงเทียนโกรธมากที่เฉิงเมี่ยนไม่เคยเป็นห่วงเรื่องธุรกิจของเขาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่เป็นห่วงหลิงหยุน เที่ยวคอยตามหา และสอบถามข่าวคราวของเขาไม่เว้นแต่ละวัน
“พ่อคะ.. นี่พ่อได้ยินที่หนูถามมั๊ยคะ?” เฉิงเมี่ยนเห็นเฉิงเทียนนั่งนิ่งไม่ตอบ จึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ
“ได้ยิน!” เฉิงเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ถ้างั้นพ่อก็ตอบมาสิคะว่าจะให้ของขวัญอะไรกับหลิงหยุนดี?” เฉิงเมี่ยนยังคงกดดันพ่อของเธอโดยไม่สนใจอะไร
หลิงหยุนไม่เคยสนใจเฉิงเมี่ยนแม้แต่น้อย และเฉิงเมี่ยนเองก็รู้ดี แต่เธอไม่สนใจ! เธอเคยขอร้องให้หนิงหลิงยู่ช่วยเรื่องหลิงหยุน แต่ก็ถูกหนิงหลิงยู่ปฏิเสธกลับมา
และตอนนี้กว่าที่เฉิงเมี่ยนจะหาข่าวมาได้อย่างยากเย็นว่า หลิงหยุนจะเปิดคลินิกในวันพรุ่งนี้ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเธอ และเธอจะไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆนี้อย่างแน่นอน
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้แกยังจะกวนใจฉันอีกเหรอ? ทุกวันนี้ฉันก็ให้เงินค่าขนมแกตั้งมากมาย แกก็ไปหาซื้ออะไรให้เขาเองสิ?” เฉิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับโบกมือไล่เฉิงเมี่ยนอย่างรำคาญ
ความยากลำบากที่เฉิงเทียนต้องประสบอยู่ไม่น้อยนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นเพราะไปเกี่ยวข้องกับหลิงหยุน หลิงหยุนสังหารคนนับร้อยที่บ้านของเขาทั้งสองหลังยังไม่พอ หนำซ้ำคนที่หลิงหยุนฆ่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลซันแทบทั้งสิ้น และทำให้เขาต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ถึงเพียงนี้
ถึงแม้ว่าตระกูลซันจะไม่สามารถจัดการกับหลิงหยุนได้ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็สามารถจัดการเฉิงเทียนให้ถึงตายได้ เฉิงเทียนจึงไม่ชอบหลิงหยุนอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวคนโตของเขาเฉิงเม่ยเฟิง ที่ถึงแม้จะลืมหลิงหยุนจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ถูกพาตัวไป จนแม้กระทั่งซันเทียนเปียวถูกหลิงหยุนสังหารไปแล้ว ลูกสาวคนโตของเขาก็ยังไม่กลับมาอีกเลย
“ซื้ออะไรก็ได้งั้นเหรอคะ? พ่อรู้มั๊ย.. ตอนนี้หลิงหยุนร่ำรวยแล้วก็เก่งแค่ใหน? แม้แต่เงินหนึ่งล้านยังไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย..” เฉิงเมี่ยนตอบ
เฉิงเทียนถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ “อะไรนะ?! เงินหนึ่งล้านยังไม่อยู่ในสายตา? นี่เขาทำธุรกิจอะไรกันแน่?”
“พ่อไม่รู้อะไร.. ตอนนี้คนทั้งโรงเรียนต่างก็ลือกันว่า แก๊งมังกรเขียวได้ตกเป็นของหลิงหยุนไปแล้ว! เขาเก่งแค่ใหนพ่อก็คิดเอาเองก็แล้วกัน!”
“จริงเหรอนี่..!?”
เฉิงทียนถึงกับตกใจแทบช็อค เขาได้แต่พึมพำพร้อมกับคิดว่ามันเป็นไปได้จริงๆหรือ?!
แต่เพราะเฉิงเทียนเองก็ได้เคยเห็นหลิงหยุนฆ่าคนมาก่อนแล้ว จึงรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาดีว่าเหนือกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้
“แล้วผู้หญิงที่ลอยลงมาจากฟ้าในคืนนั้น ก็เป็นน้าหญิงของหลิงหยุนเอง! เธอเป็นคนของตระกูลฉินที่ไม่ได้เก่งน้อยไปกว่าตระกูลซันเลย!”
เฉิงเมี่ยนคิดถึงหลิงหยุนมาก ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนมานี้ เธอก็เอาแต่ไปสอบถามเรื่องของหลิงหยุนจากเพื่อนนักเรียนในห้องเดียวกับเขาบ้าง ไปถามจากหนิงหลิงยู่บ้าง ถังเมิ่งบ้าง หรือแม้แต่ตี้เสี่ยวอู๋ แต่ถึงแม้จะไม่มีใครยอมบอกอะไรมากนัก แต่เธอก็ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับหลิงหยุนมาไม่น้อยเลยทีเดียว
และเพราะจิตใจของเฉิงเมี่ยนมัวแต่พะวักพะวนเกี่ยวกับเรื่องของหลิงหยุน การเรียนของเธอจึงเริ่มตกต่ำ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าคงยากที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าได้
-ฉินตงเฉี่วยแห่งตระกูลฉิน!-
ฉินตงเฉี่วยประกาศต่อหน้าทุกคนในค่ำคืนนั้น ซึ่งเฉิงเทียนเองก็ได้ยิน และยังคงจดจำได้อย่างแม่นยำ
เฉิงเทียนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง..
หลิงหยุนบุกเข้ามาตระกูลเฉิงเพื่อช่วยลูกสาวคนโตของเขาถึงสองครั้งสองครา ตัวเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความผูกพันระหว่างหลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงดีว่าถึงขั้นตายแทนกันได้
อีกทั้งในคืนนั้นเขาก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างหลิงหยุนกับถังเทียนห่าว และหากเขาสามารถผูกสัมพันธไมตรีกับหลิงหยุนได้..
เขาเองก็จะอยู่ในกลุ่มของผู้มีอำนาจในเมืองจิงฉู ใหนจะยังมีตระกูลฉิน และแก๊งมังกรเขียวที่หนุนหลังหลิงหยุนอยู่อีก
หากเป็นเช่นนี้.. ไม่แน่ว่าอาจทำให้ธุรกิจของตระกูลเฉิงปลอดภัยไปด้วย!
เฉิงเทียนเป็นนักธุรกิจ เมื่อครั้งที่เห็นหลิงหยุนยังตัวเปล่าไม่มีอะไร เขากลับปฏิเสธหลิงหยุนทันที แต่ตอนนี้เขากลับนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลิงหยุนกับลูกสาวคนโตขึ้นมาทันที
เฉิงเทียนเองก็ค่อนข้างสับสน เพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกลับกลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจอิทธิพลจนสามารถปกป้องตระกูลเฉิงได้!
“คราวนี้พ่อจะฟังหนูได้หรือยัง?” เฉิงเมี่ยนมองพ่อของเธอที่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงพร้อมกับร้องถาม
“ได้.. ได้.. แกว่ามา!”
เฉิงเมี่ยนหันไปมองแม่ของเธอราวกับจะให้แม่ของเธอเป็นพยาน แล้วจึงหันไปพพูดกับพ่อของเธอต่อ
“หนูให้พ่อเลือกสองข้อ..”
“ข้อแรก.. ให้พ่อยกบริษัทยาในเครือให้หลิงหยุน ข้อที่สอง.. แบ่งหุ้นบริษัทให้กับหลิงหยุนถือครึ่งหนึ่ง..!”
“หยุด.. หยุด..!” เฉิงเทียนได้ฟังจึงรีบร้องตะโกนพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาทันที
“เมี่ยน.. นี่แกไข้ขึ้นหรือยังไง? ยกบริษัทยาในเครือให้? แบ่งหุ้นให้ถือครึ่งหนึ่ง? แกไม่รู้หรือยังไงว่าบริษัทในเครือของฉันแต่ละบริษัทมีมูลค่าเท่าไหร่? เป็นพันๆล้าน! ผลกำไรต่อปีนี่สามสิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ!”
“หุ้นของฉันหากขายในตลาด มูลค่าของมันก็เป็นพันล้านเหมือนกัน แต่แกบอกให้ฉันยกให้กับหลิงหยุนครึ่งหนึ่ง?!”
“หลิงหยุนเพิ่งจะเปิดแค่คลีนิคเล็กๆ!”
เฉิงเทียนร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห ให้ขนาดนี้ไม่เรียกว่าของขวัญแล้ว เรียกว่าสบายไปทั้งชีวิตเสียมากกว่า!
“นี่พ่อ.. ยังไงวันหนึ่งของพวกนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว เพราะหนูจะแต่งงานกับเขาแน่นอน.. ไม่ช้าก็เร็ว!”
เฉิงเมี่ยนโพล่งออกมา ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างก็นิ่งอึ้งกันไปหมด!