ม่อซิวเหยาส่ายหน้า พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เมืองหลวงของซีหลิงไม่เหมาะที่จะดำรงอยู่ในฐานะเมืองหลวง” เมืองหลวงของซีหลิงนั้นโอ่อ่ากว้างใหญ่ แต่ก็อยู่ห่างจากจงหยวนมากเกินไป ไม่ว่าเป็นประมุขที่ต้องการจะครอบครองจงหยวนคนใด ก็ไม่มีทางเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นเมืองหลวง ในเมื่อ อุดมคติของวีรบุรุษที่เติบโตมาในวัฒนธรรมจงหยวน คือการรวมแผ่นดินจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียวมากกว่าการยึดครองพื้นที่ภูมิภาคทางตะวันตก เหตุผลส่วนใหญ่ที่บรรพชนผู้สถาปนาซีหลิงเลือกสถานที่แห่งนี้ เป็นเพราะในเวลานั้นต้าฉู่มีอำนาจมากเกินไป
ไป๋อวิ่นเฉิงก็ไม่ใช่บุคคลที่มีความสามารถพื้นๆ ธรรมดาเช่นกัน สิ่งที่ม่อซิวเหยาพูด เขาไตร่ตรองในใจเพียงแค่ชั่วครู่ก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ในใจจึงอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ สายตาที่มองม่อซิวเหยาก็ดูมีความเคารพและหวาดกลัวขึ้นหลายส่วน การที่อยู่ๆ ม่อซิวเหยาโจมตีซีหลิงจะเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วนั้น มีคนลอบถกเถียงกันอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อมองไปที่ท่านอ๋อง ชายหนุ่มในชุดขาวตรงหน้า ไป๋อวิ่นเฉิงก็นึกเชื่อว่า ม่อซิวเหยาได้วางแผนไว้ก่อนแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แสงสว่างฉายวาบในดวงตาของไป่อวิ่นเฉิง และยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
“ท่านอ๋องช่างสายตากว้างไกล ข้าน้อยขอคารวะ ตระกูลไป๋ขอยอมเป็นม้ารับใช้ให้กับท่านอ๋อง หวังว่าท่านอ๋องจะไม่ทอดทิ้งขอรับ” ไป๋อวิ่นเฉิงเอ่ยพลางทำความเคารพ
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนอย่างใจเย็น แต่ไป๋อวิ่นเฉิงราวกับรู้สึกถึงความกดดันแปลกๆ ที่ถาโถมเข้ามาใส่ ถ้าเขาไม่ระวัง เกรงว่าคงได้คุกเข่าลงไปตรงนี้ นี่คือคนที่มีบารมีอย่างแท้จริง เขาเคยเผชิญหน้ากับเจิ้นหนานอ๋องก็ยังไม่เคยเป็นเช่นนี้ ไป๋อวิ่นเฉิงค้างการคารวะไว้อย่างนั้น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อแทรกซึมออกมาบนหน้าผาก ผ่านไปนาน ถึงจะได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเย็นชา “หัวหน้าตระกูลไป๋ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทถึงเพียงนี้ อีกไม่กี่วันข้าก็จะกลับเมืองหลีแล้ว งานต่างๆ ในเมืองนี้ต้องให้ฝากหัวหน้าตระกูลไป๋ช่วยเหลือต่างหาก”
ไป๋อวิ่นเฉิงดีใจ จึงรีบขานรับ “ขอบพระคุณท่านอ๋องมาก ตระกูลไป๋มิกล้าทำให้ท่านอ๋องผิดหวัง”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าจั๋วจิ้งที่อยู่ด้านนอกเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง หัวหน้าตระกูลซุนมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจไป๋อวิ่นเฉิงพลันตึงเครียด อันที่จริงเดิมทีตระกูลไป๋และตระกูลซุน ฝ่ายหนึ่งอยู่ในราชสำนัก อีกฝ่ายหนึ่งโลดแล่นอยู่ข้างนอก ตระกูลหนึ่งรับราชการ อีกตระกูลหนึ่งทำการค้า ไม่ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว ทั้งสองตระกูลไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่ในสมัยนั้นที่เจิ้นหนานอ๋องขึ้นมามีอำนาจ ตระกูลซุนถึงแม้จะไม่ใช้ผู้ที่ภักดีจนตัวตายของราชวงศ์ แต่กลับไม่รู้สึกชอบใจอะไรในเจิ้นหนานอ๋องนัก ยามเจิ้นหนานอ๋องออกศึกหลายครั้ง ทองและเงินจำนวนมากของตระกูลซุนก็ถูกยึดไปด้วยฝีมือของตระกูลไป๋ ครั้นตระกูลไป๋ตระหนักได้ว่าเจิ้นหนานอ๋องต้องการปลุกปั่นความบาดหมางในตระกูลขุนนางของพวกเขา แต่ความโกรธแค้นกลับก่อตัวขึ้นแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตระกูลซุนและตระกูลไป๋ได้ต่อสู้กันทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ทว่าเจิ้นหนานอ๋องกลับไม่เคยช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันไปเอง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี้ยวพล้ำ เขาถึงค่อยเข้าไปสนับสนุน ส่งผลให้ความแค้นระหว่างทั้งสองตระกูลฝังรากลึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ไม่มีใครมีใจจะแก้ไขปมแค้นนั้นอีกแล้ว
ไป๋อวิ่นเฉิงเพิ่งจะเข้าไปฝ่ายตำหนักติ้งอ๋อง ย่อมไม่คาดหวังให้ตระกูลซุนมีอำนาจเหนือตน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขากลับไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจหากม่อซิวเหยาเห็นแก่หยกขาวขุ่นชั้นยอดนั่น คงต้องพบคนของตระกูลซุนเป็นแน่
ดังคาด ครั้นได้ยินจั๋วจิ้งเอ่ย ม่อซิวเหยาก็เลิกคิ้วพลางเอ่ย “เชิญเขาเข้ามา”
ผ่านไปไม่นาน หัวหน้าตระกูลซุนก็เดินฉับๆ เข้ามาในนี้ หัวหน้าตระกูลซุนกับหัวหน้าตระกูลไป๋นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หัวหน้าตระกูลซุนไม่เหมือนกับไป๋อวิ่นเฉิงที่อายุเกินห้าสิบปี แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเธอยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ในปีนี้หัวหน้าตระกูลซุนยังอายุไม่ถึงสามสิบปี แม้รูปลักษณ์หน้าตาอาจไม่โดดเด่น แต่ก็จัดว่าใช้ได้ หว่างคิ้วเผยความกล้าหาญและปราดเปรียวอย่างที่หาไม่ได้ในผู้หญิงทั่วไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนเปิดเผยและเอาแต่ใจ ไม่แปลกใจที่จะกล้ารังแกองค์หญิงหลิงอวิ๋น นางเป็นภรรยาของหัวหน้าตระกูลซุนคนก่อน หัวหน้าตระกูลซุนคนก่อนป่วยออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ซุนฮูหยินแต่งเข้ามาในตระกูลซุน นางต่างเป็นคนจัดการเรื่องเล็กใหญ่ในตระกูลทั้งหมด สามปีก่อนหัวหน้าตระกูลซุนล้มป่วยเสียชีวิต ซุนฮูหยินที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว กลับใช้ความเป็นผู้หญิงทำให้เส้นสายแห่งความมั่งคั่งที่ตระกูลซุนใฝ่ฝันมาโดยตลอดมั่นคง และใช้สถานะแม่หม้ายเป็นหัวหน้าตระกูลซุน เพื่อรอให้ลูกสาวเพียงคนเดียวบรรลุนิติภาวะ และหาลูกเขยเข้ามาสืบทายาทตระกูลซุนต่อไป แม้ซีหลิงจะไม่เคร่งครัดกับสตรีเทียบเท่าต้าฉู่ ทว่าซุนฮูหยิน ใช้สถานะแม่หม้ายสามารถตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในเมืองหลวงที่ล้อมรอบไปด้วยศัตรูอันทรงพลัง ความรู้ความสามารถของนางต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“ข้าน้อยซุนซื่อ นามฮุ่ยเหนียง คารวะติ้งอ๋อง” ซุนฮูหยินแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป ที่ไม่แทนตนเองอย่างต่ำต้อยว่าหม่อมฉัน แต่กลับใช้ข้าน้อยเสมือนผู้ชายทั่วไป ท่วงท่าสง่างาม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกดี
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ย “ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าหัวหน้าตระกูลซุนนั้นเก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย วันนี้ได้พบช่างสมคำเล่าลือเสียจริง ซุนฮูหยิน เชิญนั่ง”
ซุนฮูหยินอมยิ้มพลางขอบคุณ และไม่รังเกียจที่จะนั่งบนก้อนหินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด้านข้างของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาหันตัวไปเอ่ยกับหลินหานที่อยู่ด้านหลัง “ไปดูทีว่าพระชายาว่างอยู่หรือไม่ วันก่อนนางไม่ได้บอกว่าอยากเจอซุนฮูหยินหรอกหรือ” ซุนฮูหยินรีบเอ่ย “มิบังอาจ ข้าน้อยควรไปพบพระชายาถึงจะถูก”
ม่อซิวเหยาโบกมือเบาๆ “อาหลีไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” อีกอย่างที่นี่กว้างขวางไม่เท่าตำหนักอ๋อง ไม่ว่าเยี่ยหลีหรือม่อซิวเหยาต่างไม่ยินดีที่จะให้คนนอกย่างกรายเข้าไปในพื้นที่พักอาศัยภายในตัวเรือน
หลินหานรับคำสั่งก่อนจะออกไป ม่อซิวเหยาถึงได้หันมายิ้มบางๆ พลางเอ่ย “หัวหน้าตระกูลไป๋กับซุนฮูหยินคงเป็นสหายเก่ากันใช่หรือไม่”
จากสายตาของเขา ต่อให้ไม่รู้เรื่องมาก่อน ก็ต้องดูออกว่าทั้งสองตระกูลไม่ลงรอยกัน ทว่าทั้งซุนฮูหยินและไป๋อวิ่นเฉิงต่างไม่มีใครกล้าแสดงออกมาต่อหน้าเขา ทั้งสองคนต่างเป็นผู้อาวุโส ล้วนเข้าใจความคิดของติ้งอ๋อง ในฐานะผู้อาวุโส เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเวลาส่วนใหญ่มาประนีประนอมความขัดแย้งของผู้ใต้บังคับบัญชา และยิ่งเป็นไปไม่ได้หากจะบอกว่า เนื่องจากทั้งสองตระกูลไม่ลงรอยกันจึงละทิ้งตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ขอแค่ไม่เป็นอุปสรรคต่อจวนติ้งอ๋อง ติ้งอ๋องย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางของทั้งสองตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าพวกเขาก็อย่าเอาความขัดแย้งของตระกูลมารบกวนใจติ้งอ๋องก็แล้วกัน
ซุนฮูหยินยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ติ้งอ๋องพูดถูก ตระกูลซุนและตระกูลไป๋ต่างอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานาน ย่อมต้องรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว มีโอกาสได้เจอหัวหน้าตระกูลไป๋ในตอนนี้ ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ไป๋อวิ่นเฉิงแสยะริมฝีปาก ยิ้มพลางเอ่ย “ซุนฮูหยินถ่อมตัวเกินไปแล้ว ซุนฮูหยินยุ่งเพียงนี้ ไม่ได้เจอกันนาน ยังคงสง่างามเหมือนเดิมเลยนะ” นัยน์ตาของซุนฮูหยินฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง ทว่าริมฝีปากยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าตระกูลไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” ในฐานะที่เป็นแม่หม้าย ต่อให้เป็นซุนฮูหยิน จะทำสิ่งใดยังต้องระวังตัว สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นพูดถึงรูปร่างหน้าตาของนาง ประการแรกนางไม่สามารถแต่งตัวให้สดสวยเกินไปได้ เนื่องจากต้องไว้ทุกข์ อีกประการหนึ่งหากมีคนบอกว่านางดูเปล่งปลั่ง ถ้ามีใครคิดเกินเลยเกรงจะมองว่านางไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมสตรีได้
“พระชายามาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงขององครักษ์หน้าประตู ม่อซิวเหยาจึงปล่อยให้หัวหน้าตระกูลไป๋และหัวหน้าตระกูลซุนพูดคุยกันสองคน ส่วนตนออกไปรับเยี่ยหลีหันที ไป๋อวิ่นเฉิงและซุนฮูหยินต่างมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากเห็นว่าพระชายาติ้งอ๋องผู้มีชื่อเสียงสะเทือนแผ่นดินที่ทำให้ติ้งอ๋องหลงรักได้เพียงนี้ จะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร วันนี้เยี่ยหลีสวมเพียงชุดครามอ่อนลายปักเท่านั้น รวบผมขึ้นหลวมๆ และปักปิ่นในแนวเฉียง หยกข้างหูที่สั่นไหวเบาๆ จากแรงลมเพียงน้อยนิด แต่เมื่อเดินเข้ามาถึงได้เห็นว่าสีหน้าของนางนั้นดูซีดเซียว หว่างคิ้วเกิดรอยหมองคล้ำ ดูเหมือนคำพูดของติ้งอ๋องที่บอกว่าพระชายาไม่ค่อยสบาย จะไม่ใช่คำบอกปัด เพียงแต่ ชื่อเสียงที่ดังก้องไปทั่วใต้หล้าของพระชายาติ้งอ๋องไม่ได้มาจากรูปร่างหน้าตา แต่มาจากความสามารถและวิทยายุทธ์ เนื่องจากวันที่เข้าเมืองทั้งสองคนต่างไม่ได้เห็น พอได้มาเห็นในตอนนี้กลับไม่อยากจะเชื่อ พระชายาติ้งอ๋องที่ว่ากันว่าเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ ไฉนถึงได้เป็นหญิงสาวบอบบางเช่นนี้