การสังหารคนไม่ได้ง่ายเฉกเช่นการฆ่าไก่สองสามตัว อย่างน้อย เขาก็ได้รู้อย่างรวดเร็วว่าคนที่ตนส่งไป ไม่ได้ผลลัพธ์ดั่งที่หวังไว้ ดังนั้น เช้าตรู่วันต่อมา หัวหน้าตระกูลไป๋จึงมาขอเข้าพบด้วยตัวเอง
ตระกูลไป๋เป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลขุนนางกลุ่มแรกของเมืองหลวงซีหลิง ตำแหน่งในซีหลิงเทียบเท่ากับตำแหน่งของตระกูลสวีในต้าฉู่ เพียงแต่ตระกูลสวีไม่ชอบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองเท่าไรนัก เน้นเล่าเรียนเป็นหลัก ทว่าตระกูลไป๋กลับกัน นับตั้งแต่ซีหลิงสถาปนาแคว้น ทั้งตระกูลต่างเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน แม้แต่สตรีในตระกูลไป๋หลายคนก็ได้เป็นสนมของฮ่องเต้ซีหลิง ที่ผ่านมาตระกูลไป๋ได้ผลิตฮองเฮาหลายพระองค์และพระสนมมากกว่าสิบพระองค์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นตระกูลแห่งฮองเฮาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามตั้งแต่เจิ้นหนานอ๋อง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เข้ามามีอำนาจ แต่ฮองเฮาก็ยังคงเป็นบุตรสาวของตระกูลไป๋ แม้แต่ซูจุ้ยเตี๋ย ที่มีสมญานามว่าชิงหรงกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ท่ามกลางสตรีกว่าสามพันคน นางก็ได้เข้ามาในวังภายใต้ชื่อสกุลไป๋เช่นกัน แม้ว่าตระกูลไป๋กับเจิ้นหนานอ๋องจะลอบติดต่อสัมพันธ์กันมากมาย แต่กระนั้นก็ยังมีข้อหนึ่งที่ว่าฮองเฮาทรงไม่มีพระโอรส ส่วนพระชายาของเจิ้งหนานอ๋องที่เสียชีวิตไปนานแล้วรวมถึงชายาเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อคนนี้ ก็ล้วนไม่ได้แซ่ไป๋ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้อำนาจของตระกูลไป๋ตกลงไปมาก
เหลยเจิ้นถิง เขาผู้นี้เป็นคนมีความทะเยอทะยาน คิดการใหญ่ ซึ่งฮ่องเต้แห่งซีหลิงผู้ขี้ขลาดไม่อาจทัดเทียมได้ ดังนั้นต่อให้เขาจะใช้งานตระกูลไป๋ และไม่ได้กีดกันอำนาจของพวกเขาเพียงเพราะพวกเขามีเชื้อสายเดียวกับฮองเฮา แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้อำนาจของตระกูลไป๋รุ่งเรืองเฉกเช่นเก่าก่อนอีกต่อไป ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่พูดถึงพระราชวังและตำหนักเจิ้นหนานอ๋อง บุตรสาวตระกูลไป๋แทบไม่ได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ไปนานวันเข้า ตระกูลไป๋จะไม่รู้ว่าเจิ้นหนานอ๋องมีความตั้งใจที่จะปราบปรามตัวเองได้อย่างไร ตระกูลไป๋ ไม่ถูกเรียกว่าเป็นขุนนางผู้ให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีต่อแว่นแคว้นมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพวกเขาการสืบทายาท ความมั่งคั่งและอำนาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นเมื่อกองทัพตระกูลม่อมาถึงที่ด้านล่างของเมือง พวกเขาก็วางแผนเส้นทางในอนาคตไว้แล้ว และตระกูลสวีแห่งต้าฉู่…ก็เป็นแบบอย่างให้พวกเขาทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย
หลานฝ่ายตาของตระกูลสวีแต่งงานกับติ้งอ๋อง อำนาจของตระกูลสวีในตำหนักติ้งอ๋องในตอนนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ไร้ผู้ทัดเทียม ตระกูลไป๋ไม่ได้คิดจะมาแทนที่พระชายาติ้งอ๋อง แต่ขอเพียงติ้งอ๋องถูกใจบุตรสาวคนใดในตระกูลไป๋ สถานะของตระกูลไป๋ในเมืองหลวงซีหลิง จะแตกต่างจากตระกูลขุนนางอื่นๆ ในซีหลิงอย่างมาก ดังนั้นในบรรดาชายหญิงแปดคนที่ให้บ่าวส่งมา จึงมีคุณหนูและคุณชายที่เกิดจากอนุของตระกูลไป๋ เพียงแต่คนเหล่านี้เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้วก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย เพราะกองทัพตระกูลม่อมาที่นี่เพื่อทำสงคราม ดังนั้นจึงไม่ได้พาสาวใช้ออกมาด้วย ภายในโรงเตี๊ยมนอกจากม่อซิวเหยา เยี่ยและคนสนิทแล้ว คนที่ทำงานใช้แรงงานส่วนมากก็ยังเป็นคนซีหลิง ชนชั้นสูงของซีหลิงเหล่านี้เรื่องอื่นทำไม่ได้ แต่เรื่องการสืบข่าวนั้นกลับทำได้ดี พื้นที่ภายในโรงเตี๊ยมไม่ได้กว้างขวางอะไร แต่กลับไม่มีข่าวเกี่ยวกับคนเหล่านั้นเลย เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้หัวหน้าตระกูลไป๋อยู่นิ่งได้อย่างไร
“หัวหน้าตระกูลไป๋ ท่านอ๋องเชิญเข้าพบ” หัวหน้าตระกูลไป๋ที่ถูกปล่อยให้ดื่มชารอมากว่าครึ่งชั่วยาม รู้สึกร้อนใจและไม่สบอารมณ์ ทว่าไม่แสดงผ่านสีหน้าเลยแม้แต่น้อย กับเห็นหลินหานที่มาส่งข่าว เขาก็ไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งของหัวหน้าตระกูลขุนนางแต่อย่างใด พยักหน้าพลางยิ้มอย่างมีมารยาท “ขอบคุณคุณชายมาก รบกวนนำทางไปที”
สถานที่ที่ม่อซิวเหยาพบหัวหน้าตระกูลไป๋ยังคงเป็นสวนเล็กๆ ด้านในโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมแห่งนี้เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่นัก ภายในตัวเรือนเป็นสถานที่ที่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาพักอาศัย สองสามวันมานี้ เยี่ยหลีอารมณ์ไม่ดี ม่อซิวเหยาย่อมไม่ให้คนนอกเข้าไปกวนใจนาง โดยปกติงานราชการต่างจัดการที่ห้องหนังสือนอกเรือน เมื่อหลินหานพาหัวหน้าตระกูลไป๋มาถึงสวน ม่อซิวเหยาที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังค่อยๆ แกะสลักอะไรบางอย่างอยู่ในมือ หัวหน้าตระกูลไป๋เผลอมอง กลับเห็นเป็นปิ่นที่แกะสลักเรียบร้อยแล้ว แม้จะมองไม่ออกว่าเป็นลักษณะใดในทีแรก ทว่าเมื่อเห็นม่อซิวเหยาตั้งใจแกะสลักอย่างระมัดระวัง ก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก อีกทั้งสิ่งนั้นยังทำมาจากหยก…หัวหน้าตระกูลไป๋หัวใจกระตุก นั่นคือหยกขาวขุ่นที่ดีที่สุดก้อนหนึ่ง หยกขาวขุ่นเช่นนี้แม้แต่พื้นที่ทั้งซีหลิงยังหาได้ยาก ปัจจุบันมีเพียงชิ้นเดียวในเมืองหลวงของซีหลิง ตอนแรกตระกูลไป๋ก็คิดละโมบอยากได้มากเช่นกัน แต่สุดท้ายตระกูลซุนก็ซื้อไป มิหนำซ้ำ สมบัติหายากที่วางแผนจะเชิญให้อาจารย์แกะสลักหยกมาแกะสลักให้นั้น กลับกลายเป็นปิ่นต่ำต้อยในมือของติ้งอ๋อง หัวหน้าตระกูลไป๋พลันเคียดแค้นชิงชังไปชั่วขณะหนึ่ง
ม่อซิวเหยาไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย มือข้างหนึ่งถือมีดแกะสลัก อีกข้างถือปิ่นหยก พลางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่ได้ฝึกฝีมือมานานเกินไป ไม่คุ้นมือเอาเสียเลย…
“ข้าน้อยไป๋อวิ่นเฉิง มาจากตระกูลไป๋แห่งซีหลิง คารวะติ้งอ๋อง” หัวหน้าตระกูลไป๋รู้ว่า หากตนเองไม่ส่งเสียง เกรงว่าต่อให้ยืนอยู่ที่นี่หนึ่งถึงสองชั่วยาม ติ้งอ๋องก็คงไม่สนใจเขา แม้ภายในใจจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองเท่าไรนัก แต่เมื่อลองนึกถึงภาพที่บรรดาบ่าวไพร่สาธยายถึงตำหนักติ้งอ๋องให้เขาฟัง หัวหน้าตระกูลไป๋กลับรู้สึกว่าตนนั้นอดทนได้
ม่อซิวเหยาวางหยกที่แกะสลักในมือตนลงในตลับไม้จันทร์ข้างกายด้วยความระมัดระวัง แล้วถึงเงยหน้าไปมองไป๋อวิ่นเฉิงแวบหนึ่ง พยักหน้าพลางเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าตระกูลไป๋นี่เอง ยินดีที่ได้พบ เชิญนั่ง” ไป๋อวิ่นเฉิงปากกระตุก มองไปโดยรอบ จึงได้แต่เอ่ย “ขอบคุณในความหวังดีของท่านอ๋อง ข้าน้อยยืนได้พ่ะย่ะค่ะ” จากระยะที่สายตามองเห็นไม่มีเก้าอี้หรือแม้แต่ม้านั่งหินอยู่เลย ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนก้อนหินข้างภูเขาเทียม และดูไม่ได้มีท่าทีจะไปหยิบเก้าอี้มาให้เขานั่งด้วย
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วคมอย่างไม่แยแส “หัวหน้าตระกูลไป๋พอใจเช่นนั้นก็แล้วแต่เถิด”
ไป๋อวิ่นเฉิงอดกระอักเลือดในใจไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เขาพอใจหรือ อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงหัวหน้าตระกูลขุนนางที่มีอายุอานามมาประมาณหนึ่งแล้ว จะให้ไปนั่งลงบนพื้นตามอำเภอใจได้อย่างไร
“หัวหน้าตระกูลไป๋มาถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือ” ม่อซิวเหยาถามอย่างไม่สนใจใยดี ไป๋อวิ่นเฉิงตอบอย่างนอบน้อม “ติ้งอ๋องและพระชายามาเมืองหลวงครั้งแรก ข้าน้อยก็ถือว่าเป็นเจ้าบ้าน อยากต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ จึงอยากมาเชื้อเชิญติ้งอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ตอบอย่างจนปัญญา “ไม่ใช่เพราะข้าไม่ให้เกียรติตระกูลไป๋หรอกนะ ทว่าสองสามวันนี้พระชายาไม่ค่อยสบาย เกรงว่าคงได้แต่น้อมรับความหวังดีของหัวหน้าตระกูลไป๋แล้ว”
ไป๋อวิ่นเฉิงพลันดีใจ เหตุผลที่เขาเชิญพระชายาไปด้วยเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น ตระกูลไป๋ต้องการส่งคนเข้าตำหนักติ้งอ๋อง แต่พวกเขาไม่ต้องการทำให้พระชายาติ้งอ๋องขุ่นเคือง แน่นอนว่าหากพระชายาติ้งอ๋องไม่อยู่จะดีที่สุด
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านอ๋อง…” ไป๋อวิ่นเฉิงถามอย่างลองเชิง
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า พลางเอ่ย “พระชายาไม่สบาย ข้าก็ไม่สบายใจที่จะออกไปข้างนอก”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไป๋อวิ่นเฉิงจึงได้แต่ยิ้มตาม ติ้งอ๋องปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใยเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก มิฉะนั้นเหตุการณ์คงจะกลับตาลปัตรกันพอดี คิดไปคิดมา ไป๋อวิ่นเฉิงก็พยายามเปลี่ยนไปเป็นหัวข้อที่ติ้งอ๋องสนใจ “อีกหนึ่งเดือนกว่า ฮ่องเต้จะย้ายเมืองหลวงแล้ว ไม่ทราบว่าติ้งอ๋องจะตัดสินใจย้ายเมืองหลวง…มาที่นี่ชั่วคราวหรือไม่”
แม้ไป๋อวิ่นเฉิงจะไม่เคยไปซีเป่ย ทว่าก็พอรู้จักเมืองหลีอยู่บ้าง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน เมืองหลีนั้นเทียบชั้นไม่ติดจริงๆ ไม่ใช่ว่าเมืองหลีไม่เจริญรุ่งเรือง ในความเป็นจริงหลังจากการปกครองของตำหนักติ้งอ๋องตลอดหลายปีมานี้ ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลีก็ไม่แพ้เมืองหลวงแห่งซีหลิงและฉู่จิงเลย ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ก็มีประสิทธิผลเช่นนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่าวิธีการปกครองของติ้งอ๋องนั้นก็ทรงพลังเช่นกัน แต่สถานที่สำคัญที่สุดในเมืองหลี ซึ่งก็คือตำหนักติ้งอ๋องนั้นเทียบชั้นกับพระราชวังของฉู่จิงและซีหลิงไม่ได้เลยสักนิด ผ่านมาหลายปีแล้วยังเป็นเพียงตำหนักที่กว้างใหญ่และโอ่อ่ากว่าจวนอื่นๆ เท่านั้น ดังนั้นในมุมมองของไป๋อวิ่นเฉิง แทบจะได้ข้อสรุปว่า ม่อซิวเหยาจะย้ายใจกลางการปกครองมาที่เมืองหลวงแห่งซีหลิง