ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 1 พ่อลูกพบหน้าครั้งแรก (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ต้นฤดูใบไม้ผลิ เมืองหลวงแคว้นติ้งถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ

ท่ามกลางฝูงชนบนถนนมีชายหญิงสภาพสะบักสะบอมจากการเดินทางไกลคู่หนึ่งเดินมา คือซูหลีและเจียงหยวนที่ตามหาหลางฉ่างมาเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ที่หลางฉ่างหายตัวไปจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว นางพาทูตทั้งสี่สืบหาเบาะแสของเขาจากเมืองเหลียวเฉิงมาจนถึงแคว้นติ้ง ใช้กำลังคนเกือบทั้งหมดของเฉินเหมิน แต่ก็ยังคงไร้ร่องรอยของหลางฉ่าง คนกลุ่มหนึ่งราวกับหายตัวไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น! ซูหลีตัดสินใจแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ให้เซี่ยงหลีกับหวั่นซินอยู่สืบหาเบาะแสของเขาที่เขตชายแดนต่อ นางกับเจียงหยวนและฉินเหิงมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงแคว้นติ้ง ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่า บางทีหลางฉ่างอาจรอดพ้นจากอันตราย และกลับมายังเมืองหลวงแคว้นติ้งโดยที่พวกนางไม่รู้ก็เป็นได้

หลังจากเข้าเมืองมา ทั้งสามก็แยกย้ายกันออกตามหา ฉินเหิงไปสืบข่าวที่โรงเตี๊ยม นางกับเจียงหยวนเดินสำรวจตลาดก่อน เพื่อดูว่าจะมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่

เทียบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของเมืองหลวงแคว้นเฉิง และภูมิทัศน์ต่างชนเผ่าในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เมืองโบราณอายุร้อยปีที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่งและความสะดวกสบายตรงหน้า เหมือนภาพวาดพู่กันอันงดงาม เห็นเพียงกำแพงขาวกระเบื้องเทา สะพานเล็กๆ พาดผ่านลำธาร ศาลาพลับพลางดงามประณีต ทิวทัศน์ตระการตาเหมือนอยู่ในภาพวาดทั่วทุกมุม

หากมองลงมาจากกลางอากาศ เมืองหลวงแคว้นติ้งเหมือนปลาจิ๋นหลี่ (ปลาคาร์ฟ) ตัวหนึ่ง นอกสะพานจินเหมินซึ่งอยู่ด้านซ้ายของคูเมือง คือคลองติ้งชวนที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก ไหลลงสู่ทิศใต้ไปรวมกับแม่น้ำสายใหญ่ปี้หู ช่วงที่มีงานชุมนุมไป่จี๋ เรือพ่อค้าที่มาจากแดนไกลมีนับหมื่น จอดเทียบอย่างเป็นระเบียบที่ท่าเทียบเรือทางด้านซ้ายของสะพานจินเหมิน จากตรงนี้ แม่น้ำสายหลักสายหนึ่งไหลจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก พาดผ่านคูเมือง แบ่งเมืองหลวงให้กลายเป็นสองส่วน

พระราชวังตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสายหลัก สองฝั่งแบ่งเป็นเขตสำนักหลวงและที่พักของข้าราชสำนัก ทิศใต้โดยหลักแล้วเป็นชุมชนชาวบ้านและย่านการค้า เมืองหลวงแคว้นติ้งห้อมล้อมไปด้วยแม่น้ำทั้งสี่ทิศ กลางเมืองมีแม่น้ำพาดผ่านมากมาย ทุกสามถึงห้าก้าวจะเจอสะพานหนึ่งแห่ง สมกับชื่อเสียงเมืองหลวงแห่งสายน้ำอย่างแท้จริง

ร้านค้าหลากสีบนสองฝั่งถนนสายหลักมีมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดานั้นร้านขายแพรพรรณและร้านขายเสื้อผ้ามีจำนวนมากที่สุด เจริญรุ่งเรืองจนแม้แต่เมืองหลวงของแคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยนก็ไม่อาจเทียบได้ กลุ่มลูกค้าจับกลุ่มยืนเลือกสินค้าอยู่ในร้าน เครื่องแต่งกายงดงามประณีต ไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนชื่นมื่นรื่นรมย์ ต่อรองราคากับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง

ขณะเดินผ่านหอน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มีเสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือดดังออกมาจากด้านหลังบานหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่บนชั้นสอง ครั้นเงี่ยหูฟังดีๆ ก็พบว่าเป็นเสียงของเหล่าบัณฑิตหนุ่มที่กำลังเจรจาปราศรัยกันเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ ผ่านไปไม่นานหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องในราชสำนัก บทสนทนาเต็มไปด้วยวาจาคมปลาบเชือดเฉือน ชี้ชัดถึงข้อผิดพลาดเพื่อให้แก้ไข แต่กลับแสดงความเลื่อมใสต่อ ‘หลางฉ่าง’ รัชทายาทพระองค์ปัจจุบันเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย

เจียงหยวนอดอุทานไม่ได้ “เลื่องลือกันว่าเมืองหลวงแคว้นติ้งนั้นงดงามตระการตา การค้ารุ่งเรือง ประชาชนเปิดกว้าง วันนี้ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง สมดังคำล่ำลือจริงๆ”

ซูหลีเองก็พยักหน้ากล่าวว่า “ใต้ฟ้ามีผู้มากความสามารถนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่ล้วนถือกำเนิดจากแคว้นติ้ง ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น” ขณะกล่าว นางชะลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว บนแผงลอยขนาดเล็กที่ห่างออกไปประมาณสิบฉื่อ มีของเล่นที่ทำจากไม้วางอยู่เต็มไปหมด มีตั้งแต่กลเก้าห่วง สลักกลข่งหมิง ไปจนถึงรูปสัตว์ต่างๆ สินค้าทุกชิ้นฝีมือประณีต เป็นที่ดึงดูดสายตา

เจ้าของแผงลอยเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี ท่าทางแข็งกร้าว นั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตาจับจ้องไปยังฝูงชนที่เดินดูของบนแผงลอยคนแล้วคนเล่า เขาไม่ตะโกนเรียกลูกค้า คล้ายไม่สนใจว่าการค้าขายจะได้กำไรหรือขาดทุน ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของซูหลี เขาก็เงยหน้าด้วยความระแวดระวัง

หัวใจซูหลีสั่นไหว ดวงตาเป็นประกายกระจ่างชัดคู่นั้น ดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกและอายุของเขาอย่างเห็นได้ชัด สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง สบตาเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ ชายคนนั้นก็เบนสายตาออกไปอย่างเฉยชา

ผมเผ้าของเขาค่อนข้างยุ่งเหยิง ผิวตรงขมับสองด้านขรุขระไม่เรียบเนียน น่าจะผ่านการแปลงโฉมมา เพียงแต่ทักษะการแปลงโฉมไม่ได้สูงมากนัก ซูหลีสังเกตเห็น ก็เพียงก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย นางกวาดตามองไปรอบๆ ไม่นานก็สะดุดตากับกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง นางเดินเข้าไปหยิบกระบี่สั้นขึ้นมาหมุนควงในมือ

กระบี่สั้นยาวประมาณหนึ่งฉื่อ กว้างสามนิ้ว ฝักกระบี่เป็นสีดำสนิท ลวดลายที่สลักบนด้ามกระบี่เรียบง่ายธรรมดา แต่กลับละเอียดอ่อนไร้ที่ติ ครั้นชั่งน้ำหนักด้วยมือ พบว่าเบากว่ากระบี่สั้นทั่วไปมาก ไม่รู้ว่าทำขึ้นจากวัสดุพิเศษชนิดใด

“คุณหนูมิใช่อยากซื้อกระบี่เป็นของขวัญให้ท่านโหวสักเล่มหรือเจ้าคะ? เล่มนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ?”

เสียงของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ซูหลีได้ยินก็หันไปมอง เห็นสตรีใบหน้างดงามสวมอาภรณ์สีม่วงกำลังยืนจ้องแผงลอยแผงนี้อยู่ นางแต่งกายหรูหรา ท่าทางเย่อหยิ่ง ด้านหลังมีสาวรับใช้และองครักษ์ติดตามมาด้วยหลายคน เห็นได้ชัดว่าฐานะร่ำรวยไม่ธรรมดา

สตรีชุดม่วงขมวดคิ้ว ชำเลืองมองกระบี่สั้นในมือซูหลีคล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนจะแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ก็แค่เศษเหล็กไร้คุณภาพ จะคู่ควรกับฐานะอันสูงส่งของท่านได้เช่นไร”

หญิงงามที่มีใบหน้าสวยสดงดงามถึงเพียงนี้ กลับไม่มีบุคลิกและมารยาทที่เหมาะสมกับหน้าตา ซูหลีอดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหน้า นางค่อยๆ ดึงกระบี่ออกมา ตัวกระบี่เปล่งประกายเจิดจรัส ดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ตรงปลายด้ามจับมีอัญมณีสีเขียวเม็ดเล็กๆ ฝังอยู่ ซูหลีสะดุดใจ จึงกดเบาๆ กระบี่สั้นในมือพลันสั่นสะท้าน ประกายสีเงินสว่างวาบ ไอกระบี่อันเยือกเย็นและป่วนพล่านแผ่สะท้านออกมาทันใด!

เส้นผมสีดำข้างขมับสองข้างพลิ้วไปตามแรงลม ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงพื้น! กลับถูกไอกระบี่ตัดขาด ฝูงชนเพ่งมองมาทันที ปลายกระบี่สั้นกลับมีตัวกระบี่ยาวอีกหนึ่งฉื่อถูกดีดออกมา

ทุกคนตื่นตะลึง!

เสียงของกระบี่ยังคงดังสะท้อนอยู่ในห้วงอากาศ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ เงียบหายไป

ซูหลีตื่นตะลึง พลันบังเกิดความชมชอบขึ้นมาหลายส่วน ประกายกระบี่อันสว่างไสวดั่งสายน้ำนี้ ทำให้นางนึกถึงกระบี่ประกายแสง กระบี่ไร้เทียมทานที่ตงฟางเจ๋อมักพกติดตัวไว้เสมอ กระบี่สองเล่มนี้ เล่มหนึ่งผสานความแข็งแกร่งและอ่อนโยนอย่างลงตัว เล่มหนึ่งยืดหดได้ตามใจสั่ง ล้วนเป็นกระบี่ซ่อนคม มีความลับซ่อนอยู่ ราวกับเกิดมาคู่กัน!

ซูหลีอดกล่าวชื่นชมไม่ได้ “เป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!” นับตั้งแต่ฝึกวรยุทธ์มา นางยังไม่เจออาวุธที่เหมาะสม แต่เมื่อถือกระบี่เล่มนี้ไว้ในมือนางกลับรู้สึกถูกใจยิ่งนัก น้ำหนักเบากำลังพอดี ราวกับถูกสร้างมาเพื่อนางอย่างไรอย่างนั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถูกอกถูกใจยิ่งนัก

ชายหนุ่มชุดเทาคล้ายไม่คาดคิดว่าสตรีนางนี้จะค้นพบความลับของกระบี่สั้น! พลันแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก รีบลุกขึ้นยืนทันที

เจียงหยวนเอ่ยปากถาม “กระบี่เล่มนี้ขายอย่างไร?”

“ช้าก่อน! กระบี่เล่มนี้ ข้าจะเอา!” สตรีชุดม่วงรีบเข้ามาขัดขวาง นางเพิ่งเคยเห็นกระบี่สั้นที่มีกลไกซ่อนอยู่เช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ไม่มีความรู้เรื่องอาวุธมากนัก แต่ก็รู้ว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ใช่กระบี่ทั่วไปอย่างแน่นอน นางโบกมือ องครักษ์ของนางก็รีบโยนถุงเงินหนักๆ ลงบนพื้นข้างเท้าของชายหนุ่มชุดเทา แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ในนี้มีทองคำสิบชั่ง ล้วนเป็นของเจ้าแล้ว”

ชายหนุ่มชุดเทาตื่นตะลึง พลันได้สติทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “กระบี่เล่มนี้ไม่ขาย!”

สตรีชุดม่วงเริ่มไม่พอใจ นางขมวดคิ้วกล่าวว่า “สิบชั่งน้อยไปหรือ? เช่นนั้นเจ้าบอกราคามา”

ชายชุดเทากล่าวเสียงแข็ง “เท่าไรก็ไม่ขาย!”

สตรีชุดม่วงหน้าบึ้ง “ของที่ข้าหมายตา ไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดคำว่าไม่สักครั้ง!”

ชายหนุ่มชุดเทาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “แม่นางช่างไร้เหตุผลนัก!”

สองฝ่ายโต้เถียงกันไปมา ไม่มีใครยอมใคร ซูหลีถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเถ้าแก่บอกว่าไม่ขาย คุณหนูท่านนี้จะบีบบังคับคนไปทำไมกันเล่า? เรื่องเล็กน้อยกลับมีปากเสียงกันถึงเพียงนี้ พาให้ใบหน้าแต่ละคนไม่น่ามอง ซ้ำยังทำให้เสียชื่ออีกต่างหาก”

“เจ้าเป็นใครกัน? ถึงได้กล้ามาสั่งสอนข้า?” สตรีชุดม่วงมีนิสัยเอาแต่ใจมาโดยตลอด วันนี้กลับถูกหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล ความอับอายจึงพลันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว นางโบกมือ องครักษ์สองคนก้าวเข้ามา เอื้อมมือหมายจะแย่งชิงกระบี่สั้นในมือซูหลี!

ซูหลีถอยหลังหนึ่งก้าว นางรู้ว่าไอกระบี่ของกระบี่เล่มนี้ร้ายกาจ เกรงว่าคมกระบี่จะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปด้วย จึงพลิกข้อมือ เบี่ยงคมกระบี่หลบ ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วกดอัญมณีสีเขียวเม็ดเล็กๆ ตรงปลายด้ามจับ ประกายสีเงินถูกเก็บงำอย่างไร้ซุ่มเสียง

เจียงหยวนโฉบเข้ามายืนบังด้านหน้าซูหลี เพียงไม่กี่กระบวนท่า องครักษ์สองคนก็ล้มลงไป ร้องโอดครวญอยู่ครึ่งวันก็ยังลุกไม่ขึ้น เขากล่าวเสียงเย็นชา “เป็นผู้ลากมากดีกลับทำตัวไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ แม้แต่มารยาทพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่มี ช่างทำให้ผู้คนเปิดโลกทัศน์ยิ่งนัก!”

สตรีชุดม่วงหน้าเปลี่ยนสีทันที นางผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก ชายหญิงคู่นี้กลับเป็นวรยุทธ์ด้วย?

ซูหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ หมายจะเอ่ยปาก หางตากลับเหลือบเห็นประกายสีขาวตรงเอวกำลังร่วงตกพื้น

หยกห้อยเอวมังกรผานหลงของหลางฉ่าง!

ซูหลีตกใจ เสี้ยววินาทีที่หยกห้อยเอวใกล้ตกถึงพื้น นางรีบเอื้อมมือรับไว้ทันที! นึกไม่ถึงว่าเมื่อครู่ตอนตวัดคมกระบี่กลับเข้ามา กลับเฉือนถูกถุงห้อยเอวของนางโดยไม่ตั้งใจ ครั้นสังเกตอย่างละเอียดและพบว่าหยกห้อยเอวไร้รอยขีดข่วน หัวใจของนางจึงสงบลง

การกระทำของซูหลีดึงดูความสนใจของสตรีชุดม่วง ครั้นมองเห็นของที่อยู่ในมือนางอย่างชัดเจน สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไปทันที นางจ้องมองหยกห้อยเอวชิ้นนั้น แล้วตะโกนเสียงหลง “หยกห้อยเอวมังกรผานหลงของพี่ชายรัชทายาท!”

………………………………………