ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 2 พ่อลูกพบหน้าครั้งแรก (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลีตกตะลึง รีบถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงรู้จักหยกห้อยเอวชิ้นนี้?”

สาวรับใช้ข้างกายสตรีชุดม่วงรีบตอบแทน “ดูก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนต่างถิ่น คนในเมืองหลวงแคว้นติ้งมีผู้ใดบ้างไม่รู้จักธิดาแห่งจวนฉางผิงโหว?!”

ซูหลีตะลึงงันเล็กน้อย ที่แท้นางก็คือฮั่วเสี่ยวหมานธิดาแห่งจวนฉางผิงโหว ได้ยินมาว่าฉางผิงโหวฮั่วถิงชวนผู้นี้มีกำลังทหารสำคัญอยู่ในมือ อำนาจในราชสำนักมากล้น ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นติ้งอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ฮั่วเสี่ยวหมานกับหลางฉ่างจึงรู้จักกัน บางที…อาจได้เบาะแสเรื่องหลางฉ่างจากนางบ้าง

ฮั่วเสี่ยวหมานประหลาดใจยิ่ง ยิ่งมองชายหญิงคู่นี้ก็ยิ่งน่าสงสัย หยกห้อยเอวผานหลงมาอยู่ในมือสตรีนางนี้ได้เช่นไรกัน? พวกเขาไม่ใช่คนในพื้นที่ มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือว่า…องค์รัชทายาทถูกพวกเขาจับตัวไว้?! หัวใจนางเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม ในยามนั้นมีทหารรักษาเมืองเดินลาดตระเวนผ่านมาพอดี นางพลันบังเกิดความคิด ชี้หน้าซูหลีกับเจียงหยวน แล้วตะโกนเสียงดัง “ทหาร จับตัวชายหญิงคู่นี้ไว้บัดเดี๋ยวนี้!”

หัวหน้าทหารไม่กล้าเพิกเฉย รีบวิ่งเข้ามา แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “คุณหนูฮั่วมีเรื่องใดให้รับใช้ขอรับ?”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “สองคนนี้ตัวตนน่าสงสัย รีบจับตัวพวกเขาไว้ แล้วนำตัวเข้าวังไปพร้อมกับข้า”

เจียงหยวนแสยะยิ้มเย็นชา “นึกไม่ถึงว่าจวนฉางผิงโหวจะเผด็จการถึงเพียงนี้! เป็นเพียงบุตรีในจวนก็ยังกล้ากระทำเกินหน้าที่! ถึงแม้จะจับตัวคน ก็จำต้องแจงเหตุผลก่อนกระมังว่าพวกข้าสองคนทำผิดด้วยเรื่องใด!”

เจียงหยวนพูดมีเหตุผลทุกอย่าง หัวหน้าทหารได้ยินก็สงสัย

ฮั่วเสี่ยวหมานเดือดดาล กระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ พร้อมกับก่นด่า “ทาสโง่เขลากล้าขัดคำสั่งข้างั้นหรือ หากทำให้เสียเรื่องใหญ่ แล้วฮองเฮากริ้ว เจ้าจะมีกี่หัวให้แบกรับโทษ?”

ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงฮองเฮา สีหน้าทั้งร้อนใจและโกรธเกรี้ยว คล้ายเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ หัวหน้าทหารก็ตกตะลึง โบกมือออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลอีก “ทหาร จับตัวชายหญิงคู่นี้โดยเร็ว!”

ซูหลีแสร้งทำเป็นแตกตื่น หมุนกายหมายจะวิ่งหนี ฉวยโอกาสขณะหันหลังขว้างกระบี่สั้นออกไป กระบี่สั้นพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของชายหนุ่มชุดเทาอย่างแม่นยำ ขณะเดียวกันก็ลอบส่งสายตาให้เจียงหยวน ห้ามเขากระทำการวู่วาม ให้รอฟังคำสั่งจากนาง

เจียงหยวนเห็นเช่นนั้น ก็พลันกระจ่าง จึงพยักหน้ารับอย่างแนบเนียน ทหารถือดาบวิ่งเข้ามา ล้อมซูหลีกับเจียงหยวนไว้โดยรอบ ทั้งสองแสร้งขัดขืนเล็กน้อย ก่อนจะยอมถูกจับในเวลาต่อมา

เงาร่างของคนกลุ่มใหญ่หายลับไปจากถนนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มชุดเทายืนมองอย่างตะลึงงัน กลีบปากเม้มแน่น ความโกรธแค้นและเจ็บปวดสะท้อนในดวงตา เนิ่นนาน เขาก้มหน้า แล้ววางกระบี่สั้นไว้ที่เดิมเงียบๆ

ณ พระราชวังติ้ง

การรักษาความปลอดภัย ณ ประตูหวาอันเข้มงวดมาก ทหารรักษาพระองค์ยืนขนาบสองฝั่ง สีหน้าเคร่งขรึม ‘กู้เซี่ยงเทียน’ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตรวจสอบป้ายประจำตัวของฮั่วเสี่ยวหมาน ไม่นานก็หันไปส่งสัญญาณให้ผ่านทางได้ บุรุษเพศไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตวังหลัง เจียงหยวนจึงถูกทหารพาไปคุมตัวอยู่ที่ประตูชิ่งเหอ

ครั้นเดินเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นใน ฮั่วเสี่ยวหมานก็ตรงไปยังตำหนักอี๋หวาของฮองเฮา ในตำหนักมีกลิ่นหอมกรุ่น ที่นั่งเจ้าบ้านไร้เงาคน ข้ารับใช้หญิงที่เข้าเวรค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม สีหน้าจริงจัง บรรยากาศดูกดดันเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้ารับใช้หญิงประคองหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูหรา ก้าวเดินเข้ามาในตำหนักอย่างแช่มช้า

ซูหลีเงยหน้ามอง สตรีที่นั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน อายุราวสี่สิบต้นๆ บุคลิกสง่างามน่าเกรงขาม คิ้วและดวงตามีส่วนคล้ายหลางฉ่างถึงหกเจ็ดส่วน นางเลื่อนสายตามองต่ำลงมา สีหน้าแลดูซูบซีดเล็กน้อย เดาว่าคงเป็นมารดาของหลางฉ่าง หรือก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นติ้งนั่นเอง

ฮั่วเสี่ยวหมานคุกเข่า แล้วกล่าวว่า “หมานเอ๋อร์ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”

ฮองเฮายกมือเล็กน้อย “ลุกขึ้นเถิด หมานเอ๋อร์เข้าวังมาด้วยเรื่องใดหรือ? สตรีนางนี้เป็นผู้ใด?”

ฮั่วเสี่ยวหมานเอ่ยเสียงร้อนใจ “ฮองเฮาเพคะ สตรีนางนี้มีหยกห้อยเอวของพี่ชายรัชทายาทอยู่ในมือเพคะ!”

ฮองเฮาตื่นตะลึง รีบถามทันที “เป็นความจริงหรือ?”

ฮั่วเสียวหมานกล่าวว่า “หยกห้อยเอวอยู่กับนาง นางต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปขององค์รัชทายาทแน่นอนเพคะ!”

ฮองเฮากล่าวเสียงร้อนใจ “หยกห้อยเอวอยู่ที่ใด?!”

ซูหลีหยิบหยกห้อยเอวออกมาจากอกเสื้อ ฮองเฮาสั่งให้คนหยิบมาดูอย่างละเอียด ขอบตาพลันร้อนผ่าว พึมพำเสียงเบา “เป็นหยกห้อยเอวของฉ่างเอ๋อร์จริงๆ…”

นางเงยหน้ามองซูหลี น้ำเสียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นผู้ใด? เหตุใดหยกห้อยเอวขององค์รัชทายาทจึงมาอยู่ในมือเจ้าได้?”

“ซูหลีถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ซูหลีไม่แตกตื่นลนลาน เดินเข้ามาค้อมกายทำความเคารพ แล้วจึงค่อยตอบว่า “ซูหลีมีโอกาสได้รู้จักกับองค์รัชทายาทที่แคว้นเฉิง ถือได้ว่าค่อนข้างสนิทกัน ก่อนกลับแคว้น องค์รัชทายาทได้มอบหยกห้อยเอวชิ้นนี้ให้แก่ซูหลีแทนคำเชื้อเชิญ หากภายหน้ามีโอกาสให้มาพบกันที่แคว้นติ้ง”

“เจ้าหมายความว่า องค์รัชทายาทเป็นคนมอบหยกห้อยเอวให้เจ้าเองกับมือ?” ฮองเฮาประหลาดใจ มองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

ซูหลีพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันเดินทางมาครั้งนี้ ก็เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับองค์รัชทายาทในวันนั้นเพคะ…”

“เหลวไหล!” ฮั่วเสี่ยวหมานชี้หน้าซูหลี ตัดบทเสียงดัง “หยกห้อยเอวชิ้นนี้ พี่ชายรัชทายาทไม่ยอมให้ข้าแตะต้องด้วยซ้ำ จะมอบให้เจ้าได้เช่นไร! ยิ่งไม่มีทางนัดหมายเจ้ามาเจอที่แคว้นติ้ง! ฮองเฮาเพคะ พระองค์อย่าทรงหลงเชื่อนางเด็ดขาดนะเพคะ!”

ฮองเฮาลุกขึ้นยืน มองพิจารณาซูหลี แล้วถามเสียงขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้มีความหมายใดต่อองค์รัชทายาท?”

ซูหลีส่ายหน้า แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ องค์รัชทายาทไม่เคยกล่าวถึง”

ใบหน้าฮองเฮาตึงเครียด นางกล่าวว่า  “หยกห้อยเอวผานหลงเป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เรา และเป็นสัญลักษณ์ประจำกายขององค์รัชทายาทแคว้นติ้งในทุกยุคทุกสมัยด้วย! องค์รัชทายาทประพฤติตัวด้วยความระมัดระวังรอบคอบเสมอมา จะมอบของสำคัญอย่างนี้ให้ผู้อื่นส่งเดชได้เช่นไร?”

ซูหลีตะลึงงัน นางรู้เพียงว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้เป็นของที่หลางฉ่างพกติดตัวเสมอ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงสัญลักษณ์ประจำกายขององค์รัชทายาท! เช่นนั้น…องค์รัชทายาทแคว้นติ้งเมื่อสิบเก้าปีก่อน ก็คือเจ้าของหยกห้อยเอวชิ้นนี้ในตอนนั้น?! ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางกระชับรูปภาพที่อยู่ในอกเสื้อแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ ตราประทับรูปมังกรผานหลงบนภาพวาดส่งสัญญาณเตือนนางเกี่ยวกับเบาะแสเรื่องชาติกำเนิดของนางอยู่เสมอ นางเงยหน้ากล่าวว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าหยกชิ้นนี้สำคัญถึงเพียงนี้ และไม่ทราบว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึงมอบหยกให้หม่อมฉัน แต่หากทรงอนุญาตให้หม่อมฉันพบฝ่าบาทสักหน บางทีเรื่องนี้อาจมีคำตอบเพคะ”

“เจ้าต้องการพบฝ่าบาท?” ฮองเฮามองหน้านางด้วยความตกตะลึง

ฮั่วเสี่ยวหมานรีบกล่าว “ฮองเฮาอย่าทรงเชื่อนางนะเพคะ สตรีนางนี้เป็นวรยุทธ์ พี่ชายรัชทายาทจะต้องอยู่ในมือพวกเขาแน่นอน! ใช้วิธีทรมานเลยดีกว่าเพคะ หากทรมานแล้วยังต้องกลัวนางไม่พูดความจริงอีกหรือเพคะ”

ฮองเฮาตำหนิ “หมานเอ๋อร์ห้ามกล่าววาจาส่งเดช! แคว้นติ้งของเราปกครองไพร่ฟ้าด้วยคุณธรรมเสมอมา ถึงแม้เป็นนักโทษโฉดชั่วเพียงใด ก็น้อยนักที่จะใช้วิธีทรมาน ยิ่งไปกว่านั้นสตรีนางนี้เพียงน่าสงสัยเท่านั้น!”

ซูหลีหันไปมองฮองเฮา ในใจก็อดอุทานด้วยความเลื่อมใสไม่ได้ เล่าลือกันว่าฮองเฮาน่าหลันแห่งแคว้นติ้งฉลาดปราดเปรื่องเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นดังคำเล่าลือจริงๆ เดิมทีนางต้องการเข้าวังมาเพื่อสืบหาเบาะแส แต่ดูเหมือนหลางฉ่างจะยังไม่กลับวัง เดาว่าเพื่อปลอบขวัญประชาชน ฮองเฮาจึงปิดบังเรื่องนี้กับคนภายนอก มิน่าเล่าพวกนางจึงสืบข่าวคราวอะไรจากในเมืองไม่ได้เลย ยามนี้เมื่อนางทราบข่าวนี้ กอปรกับฮองเฮาสงสัยว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหลางฉ่าง นางเองก็ไม่อาจอธิบายให้กระจ่าง ด้วยกลัวจะยิ่งทำให้เข้าใจผิดกว่าเดิม มิสู้คิดหาทางไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีดีกว่า ครั้นคิดได้อย่างนี้ นางก็ค้อมกายให้ฮองเฮา แล้วกล่าวอย่างมีมารยาท “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ในวัง เช่นนั้นก็โปรดประทานอนุญาตให้หม่อมฉันทูลลาด้วยเพคะ”

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ฮองเฮาตวาดเสียงดัง

องครักษ์ด้านนอกได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามาขวางประตูทันที

ฮองเฮาขมวดคิ้ว จ้องหน้าซูหลี สายตาอ่อนโยนแฝงความน่าเกรงขามเล็กน้อย “การหายตัวไปของรัชทายาท เจ้ามิอาจลบล้างข้อสงสัย ยามนี้ความจริงยังไม่กระจ่าง จะปล่อยให้เจ้าจากไปตามใจได้อย่างไร?”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ หม่อมฉันและองค์รัชทายาทมีสายสัมพันธ์อันดีงาม ที่มาเยือนพร้อมกับสิ่งของแทนตัว เดิมทีก็เพื่อทำตามสัญญาในอดีต นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ฮองเฮาเข้าพระทัยผิด หม่อมฉันไม่มีจุดประสงค์ร้ายใดแอบแฝง หากล่วงเกินฮองเฮา ก็ขอได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ โปรดประทานอนุญาตให้หม่อมฉันจากไปโดยดี วันหน้าหากองค์รัชทายาทเสด็จกลับมา หม่อมฉันจะต้องมาขอรับโทษด้วยตนเองอย่างแน่นอนเพคะ”

ฮองเฮากลับไปนั่งที่เดิม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าดูแล้วบุคลิกของเจ้าก็ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนคิดคดทำชั่ว ขอเพียงเจ้าพูดความจริง ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้ามองข้ามความหวังดีของข้า คิดจะโป้ปดละก็ ข้าไม่มีทางเมตตาแน่นอน!”

ซูหลีถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ในอดีต ยามองค์รัชทายาทตรัสถึงฮองเฮา บอกว่าพระนางเป็นมารดาของแผ่นดิน มีคุณธรรมสูงส่ง หม่อมฉันรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก แต่เรื่องนี้ ทุกคำพูดที่หม่อมฉันทูลฮองเฮา ไม่มีคำโป้ปดแม้แต่คำเดียว ฮองเฮาโปรดทรงพิจารณาอย่างปราดเปรื่อง และทรงระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “องค์รัชทายาทหายตัวไปนานถึงเพียงนี้ ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย เจ้ามีของประจำกายขององค์รัชทายาทอยู่กับตัว น่าสงสัยเป็นที่สุด! ฮองเฮาเพคะ อย่าทรงเชื่อวาจาดอกไม้ของนางเด็ดขาดนะเพคะ!”

ฮองเฮาขมวดคิ้วใคร่ครวญอย่างหนัก ท่าทางลำบากใจไม่น้อย

ซูหลีถอยหลังหนึ่งก้าว ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ลูบคลำภาพวาดแผ่นนั้น “หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทมีเรื่องที่ตกลงกันไว้ หากได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นติ้ง ก็จะสามารถอธิบายฐานะของหม่อมฉันได้ แล้วหม่อมฉันก็มีของสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันฐานะของตนเองได้ เพียงแต่ของสิ่งนี้หม่อมฉันมอบให้ฝ่าบาทได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”

………………………………………