ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 3 พ่อลูกพบหน้าครั้งแรก (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“เหตุใดเจ้าต้องเอาแต่ร้องขอจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท? หรือเจ้าเป็นมือสังหาร!” ฮั่วเสี่ยวหมานจ้องหน้าซูหลี ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสัย

ซูหลีกล่าวเสียงเรียบเฉย “หากข้าคิดจะลงมือ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดขวางได้!”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้องด้วยความตกใจ “ฮองเฮาเพคะ ปล่อยนางไปไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!”

สีหน้าฮองเฮาพลันเปลี่ยน นางโบกมือตะโกนสั่งเสียงดัง “พระราชวังติ้งของเรามีหรือจะปล่อยให้เจ้ากระทำตามใจ! ทหาร! จับตัวหญิงนางนี้เดี๋ยวนี้!”

สีหน้าซูหลีเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย องครักษ์ห้าหกคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก ชักดาบออกจากฝัก แล้วเหล่าองครักษ์ก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามาหมายจะจับกุม นางโฉบกายหลบหลีก รวบรวมกำลังภายในไว้กลางฝ่ามือ ก่อนจะซัดออกไป เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ดาบทหารหักสองท่อน ชายฉกรรจ์ห้าหกคนกระเด็นออกจากประตูไปนอนร้องครวญอยู่บนพื้น

เหล่านางกำนัลกรีดร้องด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้าไปด้านหลังตำหนัก ฮองเฮาตื่นตะลึง มือที่ประคองเก้าอี้สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจรีบวิ่งไปหลบด้านหลังฮองเฮา ยังไม่ลืมตะโกนเสียงดัง “ทหาร! ทหารที่เหลือไปไหนกันหมด?! พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือไง?!”

หากทหารมาเพิ่มอีก ก็มีแต่จะผละตัวออกไปยากกว่าเดิม! เงาร่างของซูหลีโฉบไหว เหินทะยานไปตรงหน้าที่นั่งเจ้าบ้าน ฮั่วเสี่ยวหมานกรีดร้องตกใจ ล้มนั่งบนพื้น ฮองเฮาใบหน้าซีดเผือด พยายามรักษาความสุขุม กล่าวเสียงสั่นเครือ “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”

“ฮองเฮาเพคะ ล่วงเกินแล้ว” ซูหลีกล่าวขอโทษ พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ หมอกควันจางๆ แผ่กระจายไปทั่วตำหนักอี๋หวา

สายตาของฮองเฮาแน่นิ่ง ไม่นานก็สิ้นสติไปทันที นางหลับตานั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน พริบตาเดียว ทุกคนทั้งในและนอกตำหนักต่างหมดสติล้มลงไปกองกับพื้น

ซูหลีกระโดดออกจากประตูตำหนัก ด้านนอกตำหนักอี๋หวาไร้ซึ่งเงาคน เงียบงันเหมือนยามปกติ ยาสลบออกฤทธิ์ประมาณหนึ่งชั่วยาม นางจำต้องรีบหาทางออกจากพระราชวัง! นางเหินขึ้นไปบนหลังคา เห็นด้านหลังห้องแถวซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก คล้ายมีรถม้าจอดอยู่ไม่น้อย นางพลันบังเกิดความคิด กระโดดลงจากหลังคา เพ่งเล็งตำแหน่ง แล้วสาวเท้าไปด้วยความเร็ว

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ รถม้าจอดอย่างมั่นคงหน้าประตูตำหนักชิงหยาง สตรีที่เป็นคนบังคับรถกระโดดลงจากรถด้วยท่วงท่าสง่างาม นางสวมชุดข้าหลวงสีฟ้า ผิวกายค่อนไปทางคล้ำ เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ดวงตาเปล่งประกายโดดเด่น ทหารที่เฝ้าประตูตำหนักเห็นนางก็ร้องถาม “เจ้ามารับท่านหญิงหรือ?”

หญิงสาวพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้ว รบกวนแจ้งให้ทราบที”

ขณะยืนรอเงียบๆ ข้างรถ สายลมอ่อนโชยผ่าน กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ลอยออกมาจากกำแพงวัง ครั้นสูดดมดู ก็คล้ายว่าจะเป็นกลิ่นของดอกโหยวถง

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนสามคนเดินออกมาจากประตูตำหนัก นางกำนัลสวมชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดมองพิจารณานาง “เวรตำหนักชิงหยางมิใช่เล่ออี๋หรอกหรือ? เหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนคนมา?”

นางตกใจเล็กน้อย ฟังจากคำพูด แต่ละตำหนักมีผู้ดูแลม้าเป็นของตนเอง นางบังเกิดความคิด กระแอมเสียงเบา แล้วตอบว่า “พี่สาวเล่ออี๋ไม่ค่อยสบายนัก บ่าวจึงมาแทนนางชั่วคราวเจ้าค่ะ”

“ใช่โรคหืดหอบของนางกำเริบหรือไม่? หลายวันนี้อากาศหนาว ทำให้โรคนี้กำเริบง่าย” เสียงเป็นห่วงของสตรีดังขึ้นเบาๆ ไพเราะเสนาะหู ดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเบาๆ

นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามอง แล้วก็ต้องตะลึงงัน สตรีเจ้าของเสียงสวมชุดกระโปรงสีขาวงาช้าง เส้นผมสยายดั่งก้อนเมฆ นัยน์ตากระจ่างใสดั่งน้ำในฤดูสารท รอยยิ้มอบอุ่นสง่างามผุดพรายบนกลีบปากบาง พาให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น สตรีนางนี้คงเป็นนายแห่งตำหนักชิงหยาง ‘ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ย’ แห่งแคว้นติ้ง

“เจ้าชื่ออะไรหรือ? ดูไม่ค่อยคุ้นหน้านัก” อวิ๋นฮุ่ยชำเลืองมองใบหน้าสตรีตรงหน้าเล็กน้อย

นางละสายตากลับมา ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เรียนท่านหญิง บ่าวชื่อชิงโค่ว เข้าวังมาได้ยังไม่ถึงเดือน จึงยังไม่เคยพบท่านหญิงเจ้าค่ะ”

หลังจากจัดการที่นั่งบนรถม้าเรียบร้อย นางกำนัลชุดเขียวก็ประคองอวิ๋นฮุ่ยขึ้นรถ ครั้นก้าวสุดท้ายกำลังผ่านพ้นไป ก็พลันผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่านึกไม่ถึงท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยกลับก้าวพลาด เท้าลื่นล้มหงายหลังทันที!

นางกำนัลชุดเขียวร้องตกใจ พุ่งเข้าไปคว้าตัวนางโดยสัญชาตญาณ เพียงแต่ช้าไปหนึ่งก้าว ทำได้เพียงคว้าอากาศ ได้แต่มองนางล้มลงไปต่อหน้าต่อตา!

เงาร่างสีฟ้าโฉบผ่าน นางกำนัลชุดเขียวสายตาพร่ามัว ชิงโค่วยืนอยู่ด้านหลังท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ย สองมือประคองเอวของนางอย่างมั่นคง

ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยหน้าซีด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยได้สติ กะพริบตาหลายครั้ง หันไปมองชิงโค่วด้วยสายตาประหลาดใจ หญิงสาวผู้นี้เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก!

“บ่าวสมควรตาย! ท่านหญิงโปรดลงโทษบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!” นางกำนัลหญิงตกใจหน้าเปลี่ยนสี รีบคุกเข่ากับพื้น

ชิงโค่วค่อยๆ ประคองนางให้ยืนอย่างมั่นคง แล้วถามเสียงเบา “ท่านหญิงบาดเจ็บที่ใดหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่มี” ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยส่ายหน้าเบาๆ ยกมือทาบอกหายใจลึกๆ ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไร เป็นข้าไม่ระวังเอง ลุกขึ้นเถิด”

ชิงโค่วสะดุดใจ ท่านหญิงผู้นี้กลับน้ำใจกว้างขวาง มีเมตตาต่อคนอื่น เทียบกับฮั่วเสี่ยวหมานแห่งจวนโหวผู้นั้น เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน

“เจ้าฝีมือดีนัก เป็นวรยุทธ์หรือ?”

หัวใจของชิงโค่วเต้นรัว แต่กลับตอบด้วยสีหน้าปกติ “ตอนเด็กๆ บ่าวเคยร่ำเรียนมาจากท่านพ่อเพียงไม่กี่กระบวนท่า รู้เพียงผิวเผิน ขายหน้าท่านหญิงเสียแล้ว”

“ยามเกิดเรื่องกลับไม่ลนลานแตกตื่น รับมือว่องไว คนมีความสามารถเช่นนี้กลับมาเป็นผู้ดูแลคอกม้า ลดตัวเกินไปแล้ว”

“ท่านหญิงกล่าวชมเกินไปแล้ว บ่าวมิกล้ารับไว้”

ท่านหญิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “แคว้นติ้งให้ความสำคัญกับวิชาการมากกว่าวรยุทธ์ ไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีใดฝึกวรยุทธ์ บ้านเกิดเจ้าอยู่ที่ใด?”

“เรียนท่านหญิง บ้านเกิดบ่าวอยู่ที่เยวี่ยหลิงเจ้าค่ะ” ใบหน้าชิงโค่วสงบนิ่ง ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตาของท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ย “เจ้าเองก็เป็นคนเยวี่ยหลิงหรือ?” นางชะงักงันเล็กน้อย ความสงสัยพลันบังเกิด นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ปีที่แล้วข้าเพิ่งไปเยวี่ยหลิงมา ไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีมากความสามารถเช่นเจ้าอยู่ด้วย”

ชิงโค่วแย้มยิ้ม เผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของนาง “ท่านหญิงอาจยังไม่ทราบ บ้านท่านพ่อเป็นชาวเฉิง แม้บ่าวจะเกิดที่เยวี่ยหลิง แต่เมื่ออายุสามขวบก็ย้ายไปอยู่ฉีหยาง จนบัดนี้ยังไม่ย้ายกลับไปเลยเจ้าค่ะ”

“ที่แท้ก็เช่นนี้เอง” ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

ทุกคนขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ผ่านไปไม่นานก็มาถึงประตูหวาอัน เข้าแถวแสดงป้ายประจำตัวตามกฎ ทหารรักษาพระองค์ตรวจสอบทีละคน

ชิงโค่วก้มหน้าเล็กน้อย สายตาไม่วอกแวก กำป้ายประจำตัวในมือแน่น ขอเพียงออกจากประตูบานนี้ไปได้ ก็จะหาทางไปจากที่นี่ได้ง่ายขึ้นมาก ขณะกำลังคิด หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ก็โบกมืออนุญาตให้ผ่านทาง นางสูดหายใจลึกๆ สะบัดแส้ม้าหมายจะเคลื่อนรถม้า พลันได้ยินเสียงท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยดังออกมาจากรถม้า “ชิงโค่ว นี่ก็สายมากแล้ว ต้องไปถึงจวนท่านแม่ทัพก่อนอาทิตย์ตกดินให้ได้”

แย่แล้ว! ชิงโค่วตื่นตะลึง ป้ายประตัวของนางเป็นชื่อของเล่ออี๋!

หัวหน้าทหารรักษาการณ์ตวัดสายมองมาที่นาง ผิวคล้ำนิดๆ เครื่องหน้าทั้งห้าดูคุ้นตาเล็กน้อย ครั้นเพ่งมองอย่างละเอียดก็ค้นพบว่าเป็นสตรีที่ถูกฮั่วเสี่ยวหมานจับตัวเข้ามาในวัง! เขาตกตะลึง “เป็นเจ้า!”

ที่แท้ชิงโค่วก็คือซูหลีที่ผ่านการปลอมตัวมา หลังหนีออกมาจากตำหนักอี๋หวา นางก็บังเอิญพบว่ารถม้าคันนี้กำลังจะออกนอกวัง ผู้บังคับรถม้าเป็นหญิงสาวพอดี ดังนั้นจึงจับตัวนาง แล้วแสร้งถามด้วยท่าทางน่ากลัว หญิงสาวนางนั้นตอบคำถามด้วยความหวาดกลัว ที่แท้ในคอกม้าของพระราชวังติ้งก็มีผู้ดูแลคอกม้าหญิง เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางของนางสนมรวมถึงราชนิกุลหญิง ผู้ที่จะออกเดินทางไม่ใช่นางสนม แต่เป็นท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยที่อาศัยอยู่ในวัง ที่วันนี้มีธุระต้องออกจากเมือง

ซูหลีกำลังคิดหาทางออกจากวัง นึกไม่ถึงสวรรค์จะประทานโอกาสมาให้ นางรีบสกัดจุดลมปราณหญิงสาวนางนั้น แล้วนำไปซ่อนตัวอย่างมิดชิด เปลี่ยนใส่ชุดข้าหลวง แปลงโฉมเล็กน้อย แล้วบังคับรถม้าให้มุ่งหน้าไปยังตำหนักชิงหยาง

ทุกอย่างราบรื่น นึกไม่ถึงกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันในวินาทีสุดท้าย อีกก้าวเดียวก็จะสำเร็จแล้วแท้ๆ!

ยามนี้ทหารทั้งหมดที่อยู่ที่ประตูหวาอันต่างกรูกันเข้ามา ล้อมรถม้าไว้อย่างมิดชิด! คมดาบประกายเจิดจ้า แน่นหนาเหมือนต้นไม้ในป่า

ร่องรอยถูกเปิดโปง แผนการพลิกผันอีกครั้ง ดูท่าวันนี้ต้องเสี่ยงกันสักตั้งแล้ว! ซูหลีตัดสินใจเด็ดเดี่ยว สองมือค้ำยันพื้นกระดานรถม้า พาร่างลอยขึ้นกลางอากาศโดยพลัน

ทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดพุ่งตัวเข้ามา ตวัดกระบี่แทงตรงมาที่ซูหลี นางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ แทบมองตามไม่ทัน พริบตาเดียวนางก็มายืนอยู่ข้างกาย ทหารนายนั้นไม่ทันตั้งตัว พลันรู้สึกชาที่ข้อศอก ดาบหลุดร่วงจากมือทันที!

หัวหน้าทหารนึกว่านางต้องการหนีออกจากวัง จึงตวาดสั่งเสียงดัง “หญิงใจกล้า วันนี้แม้มีปีกเจ้าก็หนีไปไหนไม่รอด จงยอมจำนนแต่โดยดีเถิด!”

ซูหลีไม่สนใจแม้แต่น้อย นางแย่งดาบแล้วโฉบขึ้นไปบนรถม้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวรับใช้ นางกระชากตัวท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยมายืนบังข้างหน้า

หัวหน้าทหารหน้าเปลี่ยนสี ตวาดเสียงดัง “บังอาจ! ปล่อยตัวท่านหญิงเดี๋ยวนี้!”

ซูหลีตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอยไปให้หมด! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่านาง!”

ด้วยความจนใจ หัวหน้าองครักษ์ส่งสัญญาณให้ทหารรอบด้านถอยหลัง

ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้ามีฝีมือเช่นนี้ กลับเลือกเดินผิดทาง รู้หรือไม่บุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายในวังมีโทษหนักสถานใด?!”

ซูหลีเอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่ได้อยากให้เรื่องราวเดินมาถึงขั้นนี้ ท่านหญิงโปรดให้ความร่วมมือด้วย!”

ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยขมวดคิ้ว แววขุ่นเคืองปรากฏในดวงตา เชิดหน้ากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะยอมถูกเจ้าจับง่ายๆ หรือ?”

“ท่านหญิงกล้าหาญชาญชัย ข้าชื่นชมเลื่อมใส” ซูหลีกระดกคิ้วเล็กน้อย จู่ๆ ก็หยุดพูดไป ไม่นานนางก็ตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้า โปรดทูลฝ่าบาทแทนข้าด้วย บอกว่าข้ามีเรื่องต้องคุยกับพระองค์ จำเป็นต้องพบหน้าพระองค์สักครั้ง!” เรื่องมาถึงขั้นนี้ มีเพียงต้องพบฮ่องเต้แคว้นติ้ง ใช้ภาพวาดเป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ในการมาเยือน จึงจะสามารถยับยั้งความเข้าใจผิดได้

หัวหน้าทหารมีสีหน้าลังเล ถึงแม้ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยจะเป็นเพียงท่านหญิง แต่ฝ่าบาทโปรดปรานนางเป็นพิเศษ นางมีความสำคัญไม่ต่างจากองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย หากเกิดอะไรขึ้น จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน แต่ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่หญิงนางนี้อยากพบก็จะได้พบ ขณะไต่ตรองด้วยความลังเล สายตาของซูหลีก็ยิ่งเย็นชา ดาบที่พาดคอท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยขยับเล็กน้อย นางตวาดเสียงเครียด “ยังไม่ไปอีก! ดาบไม่มีดวงตา ข้าไม่กล้ารับประกันว่าท่านหญิงจะไม่บาดเจ็บ!”

หัวหน้าองครักษ์จนใจ ทำได้เพียงสั่งทหารให้รีบไปกราบทูลฮ่องเต้แคว้นติ้ง

ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยบังเกิดคำถามมากมาย สตรีนางนี้ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหรือฝีมือ ล้วนร้ายกาจกว่าที่นางคิดไว้หลายเท่า เรียกได้ว่านางเพิ่งเคยเจอสตรีเช่นนี้เป็นครั้งแรก หากคิดจะหนีจากการจับกุมของอีกฝ่ายคงเป็นไปไม่ได้ ระหว่างรอก็ไม่มีท่าทีจะทำร้ายคนแม้แต่น้อย จับนางเป็นตัวประกันเพียงเพื่อต้องการพบฮ่องเต้แคว้นติ้ง หากมีประสงค์ร้ายเหตุใดต้องกระทำการเอิกเกริกเช่นนี้…

นางอดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบา “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

ซูหลีไม่ตอบคำถาม เพราะนางกำลังรอ รอที่จะไขปมปริศนาที่ซ่อนอยู่ในใจมานานแสนนาน

ภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาขององครักษ์ ขบวนเกี้ยวของฮ่องเต้กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูหลายบาน มุ่งหน้ามายังทางนี้อย่างแช่มช้า แสงตะวันแรกหลังฝนตกสาดส่องเกี้ยวอันสูงส่งของฮ่องเต้ หลังคาเกี้ยวสลักรูปมังกรและหงส์ทอง มังกรผานหลงพ่นไข่มุกดูสะดุดตาถูกสลักไว้ตรงมุมหลังคาทั้งสี่

ขอบตาของซูหลีพลันร้อนผ่าว เป็นเขาหรือ? เป็นเขาใช่หรือ? เขาคือบิดาบังเกิดเกล้าของนางใช่หรือไม่?

………………………………………