ทุกคนร้องสรรเสริญดังกึกก้อง และคุกเข่ากับพื้น ฮ่องเต้แคว้นติ้งนั่งอยู่บนเกี้ยวสูง รอบด้านมีม่านสีเหลืองทองห้อยติดไว้ บดบังสายตาของทุกคน แต่เสี้ยววินาทีที่เกี้ยวถูกวางลง ซูหลียังคงมองเห็นมือของเขาประคองเก้าอี้ไว้มั่น และกระแอมไอเล็กน้อย ผู้ที่ติดตามมาด้วย ยังมีฮองเฮาและฮั่วเสี่ยวหมาน เห็นได้ชัดว่ายาสลบหมดฤทธิ์แล้ว
ครั้นเห็นซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถูกซูหลีจับเป็นตัวประกัน ฮองเฮาหน้าเปลี่ยนสี อยากจะเดินเข้ามาแต่ข่มกลั้นสุดความสามารถ แล้วกล่าวเสียงสั่นเทา “เจ้า เจ้าจะทำอะไรกันแน่? ห้ามทำร้ายฮุ่ยเอ๋อร์เด็ดขาดนะ!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบแย้มยิ้ม เอ่ยปลอบใจฮองเฮา “ฮองเฮาวางพระทัย ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่เป็นไรเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวเสียงเย็นชา “มีหยกประจำตัวขององค์รัชทายาทอยู่ในมือ แล้วยังกล้าจับตัวท่านหญิงเป็นตัวประกัน สั่งให้ข้ามาพบเจ้า เจ้าช่างใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก!”
ซูหลีจ้องมองฮ่องเต้แคว้นติ้งที่นั่งอยู่ด้านหลังม่านสีเหลืองทอง นางค่อยๆ ปล่อยตัวซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วทิ้งดาบในมือ ฮองเฮารีบก้าวเข้ามา ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ฮุ่ยเอ๋อร์!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบเดินไปหาฮองเฮา ฮองเฮากุมมือนางแน่น มองสำรวจทั่วกายนางด้วยความเป็นห่วงหนึ่งรอบ ครั้นเห็นว่าไร้บาดแผล จึงค่อยวางใจลง แล้วหันมามองหน้าซูหลีอีกครั้ง
ซูหลีสาวเท้าเดินไปที่เกี้ยวฮ่องเต้ องครักษ์ที่ยืนอยู่สองด้านพลันชูดาบขวางทาง ฝีเท้านางชะงัก ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “สิ่งที่หม่อมฉันทำในวันนี้ล้วนเกิดจากความจนใจและสถานการณ์บังคับ ฝ่าบาททรงอยากทราบหรือไม่ว่าเหตุใดหยกขององค์รัชทายาทจึงอยู่กับหม่อมฉัน”
“เหอะ!” ฮ่องเต้แคว้นติ้งแค่นเสียง “ข้าอนุญาตให้เจ้าบอกเหตุผลได้! หากเหตุผลฟังขึ้น เจ้าย่อมไม่มีโทษ แต่หากไม่…”
“ไม่ได้นะเพคะ!” ฮองเฮาร้องห้ามด้วยความตกใจ “สตรีนางนี้มีวรยุทธ์สูงส่ง หลังถูกนำตัวเข้าวังมาก็เอาแต่ร้องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท หากอนุญาตให้นางเข้าใกล้ ถ้าหากนางมีเจตนาร้ายขึ้นมา…”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าต้องกลัวสตรีที่ไม่มีแม้แต่อาวุธติดตัวด้วยงั้นหรือ? เหลวไหล! ทหารรักษาพระองค์นับสิบที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นเพียงเครื่องประดับหรืออย่างไร? ให้นางเข้ามา!”
ฮองเฮายังคงไม่วางใจ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกุมมือฮองเฮาเบาๆ กระซิบบอกนางว่า “เสด็จป้าไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ นางไม่น่าจะเป็นคนชั่ว”
ฮองเฮามองหน้านางด้วยความประหลาดใจ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้าเบาๆ ฮองเฮานึกถึงเรื่องที่ซูหลีวางยาสลบพวกนางแต่กลับไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย ก็คิดว่าซูหลีคงไม่ใช่คนชั่วจริงๆ ที่นางอยากพบฝ่าบาท อาจเพราะมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ฮองเฮาดึงซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอยไปยืนข้างเกี้ยว ขณะเดียวกันก็จ้องมองซูหลีด้วยสายตาระแวดระวังระคนสงสัย
องครักษ์เปิดทาง ซูหลีสาวเท้าไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนอย่างสงบนิ่งห่างจากเกี้ยวสามฉื่อ กลิ่นสมุนไพรจางๆ โชยมาจากด้านในเกี้ยว ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ทันทีว่าในกลิ่นนี้มีส่วนผสมของยาที่ใช้รักษาอาการป่วยเรื้อรังอยู่ด้วย นางชะงักงันเล็กน้อย หรือฮ่องเต้แคว้นติ้งเคยได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก?
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงอิดโรย “เจ้าว่ามา รัชทายาทมีเหตุผลใดจึงได้มอบหยกนี้ให้เจ้า?”
ซูหลีกล่าว “หากฝ่าบาททรงอยากทราบ ก็โปรดตอบคำถามของหม่อมฉันก่อน”
“เจ้าช่างใจกล้านัก กล้าต่อรองเงื่อนไขกับฝ่าบาทงั้นหรือ!” ฮั่วเสี่ยวหมานร้องเสียงดัง
ซูหลีไม่สนใจนาง สายตาจับจ้องมองเงาอันเลือนรางที่อยู่ในเกี้ยว แล้วถาม “หม่อมฉันอยากถามฝ่าบาทว่า หยกประจำตัวองค์รัชทายาทชิ้นนั้น เมื่อสิบเก้าปีก่อนเคยเป็นของพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
ซูหลีไม่ตอบ ยังคงถามต่อ “เช่นนั้นตอนนั้นพระองค์ได้มอบหยกชิ้นนี้ให้ผู้ใดหรือไม่เพคะ?”
“หยกประจำตัวองค์รัชทายาทเทียบเท่ากับชีวิตขององค์รัชทายาท ข้าย่อมไม่มีทางมอบให้ผู้อื่น! รัชทายาทเองก็เช่นกัน”
หัวใจซูหลีสั่นไหว “เช่นนั้นสิบเก้าปีก่อน พระองค์เคยเสด็จไปยังสถานที่ที่ชื่อหุบเขาอวี๋ชิงหรือไม่เพคะ? เคยพบ…”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ฮ่องเต้แคว้นติ้งตัดบทนางด้วยความหวาดระแวง แล้วถามเสียงเข้ม “เหตุใดจึงได้สนใจเรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนนัก? เจ้าต้องการจะสืบเรื่องใดกันแน่?”
“สิบเก้าปีก่อน?” ฮั่วเสี่ยวหมานเอียงคอทำท่าครุ่นคิด จู่ๆ ก็ยกมือปิดปากแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ “นั่นไม่ใช่ปีที่มีการก่อกบฏหรือเพคะ? หรือเจ้าก็คือทายาทของกบฏเหล่านั้น? เจ้าจับตัวพี่ชายรัชทายาท แล้วตอนนี้ก็มาแก้แค้นฝ่าบาท?”
ทุกคนตื่นตะลึง เสียง ‘ชิ้ง’ ดังระงม เหล่าองครักษ์นับสิบชักดาบออกมาพร้อมกัน และชี้ปลายดาบไปที่ซูหลี
ฮองเฮาหน้าซีดด้วยความตกใจ รีบตะโกนด้วยความแตกตื่น “คุ้มกันฝ่าบาท!”
สถานการณ์พลันตึงเครียด พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
ใบหน้าของซูหลียังคงราบเรียบ นางจ้องหน้าฮั่วเสี่ยวหมาน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ยินว่าสิบเก้าปีก่อนแคว้นติ้งเกิดเหตุการณ์ก่อกบฏ เป็นฉางผิงโหวที่ช่วยฝ่าบาทปราบจลาจล มีผลงานขั้นหนึ่งเลยทีเดียว! หากข้าเป็นลูกหลานกบฏ คงจับตัวคุณหนูฮั่วแล้วไปแก้แค้นฉางผิงโหวก่อนเป็นอันดับแรกแล้ว!”
ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจ ผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ไปยืนหลบด้านหลังองครักษ์คนหนึ่ง แล้วตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
ซูหลียิ้มหยัน “ข้าไม่ใช่ชาวติ้งเสียหน่อย เกรงว่าจะคุณหนูฮั่วจะใส่ความข้ามากกว่ากระมัง!”
ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “ใครจะไปรู้เล่า บางทีเจ้าอาจถูกส่งตัวไปเลี้ยงและเติบโตที่อื่น แล้วค่อยกลับมาแก้แค้นตอนนี้ก็ได้”
ฮองเฮาจ้องหน้าซูหลี แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ซูหลีไม่ตอบ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก้าวเท้าเข้ามา จ้องตานางแน่นิ่ง “เจ้าเอาแต่อยากพบฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทประทับอยู่ตรงหน้าแล้ว มีเรื่องใด มิสู้พูดตรงๆ ดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกันอีก”
ซูหลีมองหน้าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่เพิ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ยามนี้กลับยังช่วยนางพูด สตรีนางนี้ไม่เพียงมีความสามารถในการมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ยังมีน้ำใจกว้างขวาง ต่างจากคนทั่วไป นางพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย ล้วงป้ายประจำตัวสีดำขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมา อักษร ‘เซียว’ ถูกสลักอยู่ตรงกลางลวดลายดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์และประณีตงดงาม นางก้าวเข้ามา แล้วชูป้ายพร้อมกล่าวว่า “ความจริงแล้วหม่อมฉันเป็นทูตลับที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนส่งตัวมา เพื่อสืบหาเรื่องที่องค์รัชทายาทของแคว้นท่านหายตัวไป หม่อมฉันสืบหาเบาะแสตั้งแต่ทิศใต้มาจนถึงที่นี่ และเพราะไม่เจอเบาะแสใดเลยจึงอาศัยคุณหนูฮั่วเข้ามาในวังเพคะ”
ฮองเฮาตะลึงงัน กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นทูตลับจากแคว้นเปี้ยนงั้นหรือ? เหตุใดเมื่อครู่ข้าถามเจ้ากลับไม่ยอมบอก? เจ้าบอกว่ามีของยืนยันฐานะเจ้าได้ คือป้ายประจำตัวแผ่นนี้หรือ?”
ซูหลีตอบ “ใช่แล้วเพคะ เพราะเป็นทูตลับ หม่อมฉันจึงไม่สะดวกบอกเหตุผล ฮองเฮาโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ฮองเฮากล่าว “แล้วเหตุใดยามนี้จึงยอมบอกแล้วเล่า?”
“เพราะไม่อยากใช้อาวุธ จนเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างสองแคว้นเพคะ” ซูหลีตอบอย่างใจเย็น วาจาฉะฉานคล่องแคล่ว
ฮ่องเต้กล่าว “เอามาให้ข้าดู”
ขันทีนำป้ายประจำตัวไปให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้มองดูลายดอกไม้บนป้าย สายตาพลันขรึมลง “ในเมื่อเป็นทูตลับของแคว้นเปี้ยน และมาเพื่อสืบเรื่องรัชทายาท แต่เหตุใดกลับถามแต่เรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนเล่า?”
ซูหลีกล่าว “เพราะว่า…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีตของธิดาเทพคนเก่าของแคว้นเรา…”
“เจ้าเป็นคนของลัทธิธิดาเทพงั้นหรือ?” น้ำเสียงของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ ลมหายใจอ่อนแอพลันปั่นป่วนยากสงบ “มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึกว่าลายดอกไม้บนป้ายชื่อนี้ดูคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของลัทธิธิดาเทพนี่เอง! …เรื่องในอดีตของธิดาเทพเป็นความลับของราชวงศ์เปี้ยน นอกจากผู้อาวุโสในลัทธิธิดาเทพแล้วก็ไม่มีใครรู้ ดูท่าฐานะของเจ้าในลัทธิธิดาเทพคงไม่ธรรมดา”
ซูหลีตกใจ พลันนึกได้ว่าเมื่อสิบเก้าปีก่อนท่านน้าจิ้งหวั่นเคยแฝงตัวเข้ามาเพื่อลอบสังหารฮ่องเต้พระองค์ก่อน สองแคว้นมีความแค้นต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้หลางฉ่างก็มาหายตัวไปที่เขตชายแดนแคว้นเปี้ยนอีก…เกรงว่าความแค้นนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ฝ่าบาท!” ซูหลีกล่าวเสียงดัง “การหายตัวไปขององค์รัชทายาทไม่เกี่ยวกับลัทธิธิดาเทพ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเกรงว่าจะมีคนคอยบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง เพื่อทำลายความสงบสุขของสองแคว้น ฉะนั้นจึงได้ส่งหม่อมฉันมาสืบหาความจริงเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองป้ายประจำตัวในมือนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นธิดาเทพหรือ?”
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ถูกต้องแล้วเพคะ”
“ทหาร จับนาง!”
องครักษ์ทั้งสองฝั่งล้อมประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาวุธทหารแผ่รัศมีเย็นเยียบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ใบหน้าซูหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเย็นชา “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อทูตลับของแคว้นเราเช่นนี้หรือเพคะ?”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “คนของลัทธิธิดาเทพ ไม่อาจปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”!
ซูหลีตะโกนด้วยความร้อนใจ “ฝ่าบาทแค้นเคืองลัทธิธิดาเทพถึงเพียงนี้ เหตุใดในอดีตจึงต้องสร้างความผูกพันกับธิดาเทพด้วยเล่าเพคะ?!”
ฮ่องเต้สะบัดแขน ทิ้งป้ายประจำตัวลงพื้น และคำรามสั่งด้วยน้ำเสียงพิโรธ “จับตัวไว้!”
เหล่าองครักษ์กรูกันเข้ามา ซูหลีจ้องเงาร่างที่อยู่บนเกี้ยวเขม็ง พลันนั้น นางพาร่างกายขึ้นกลางอากาศ และโฉบไปทางเกี้ยวฮ่องเต้เหมือนว่าว ทุกคนตกตะลึง ฮองเฮาพุ่งตัวเข้าไปด้านหน้าเกี้ยว แล้วตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันฝ่าบาท!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด มือข้างหนึ่งของซูหลีก็วางลงบนไหล่ฮองเฮา นางออกแรงผลักเล็กน้อย ฮองเฮาล้มไปหาซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่อยู่ด้านข้าง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยประคองฮองเฮา แล้วหันไปมองซูหลีด้วยความรุ่มร้อนใจ ซูหลีก้าวเท้าเข้าไปหมายจะเปิดม่าน ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนด้วยความร้อนใจของชายคนหนึ่งก็พลันดังขึ้น
“ช้าก่อน!”
……………………….