ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 5 องค์หญิงฉางเล่อ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

มือของซูหลีหยุดชะงักไปทันที นางเงยหน้ามองไป เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในวัง บุรุษที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมรัดเกล้าหยกสีขาว ถึงแม้ใบหน้าร้อนรน แต่ยังคงความหล่อเหลาและความสง่างามอ่อนโยนเอาไว้มิเสื่อมคลาย เขาสวมฉางผาวสีควันชายยาวลากพื้น เลอะคราบดินและฝุ่นจากการเดินทางระหกระเหิน แต่กลับไม่ได้ดูสะบักสะบอมเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นหลางฉ่างองค์รัชทายาทแคว้นติ้งที่หายตัวไปหลายวันแล้วนั่นเอง! ด้านหลังเขามีชายสองหญิงหนึ่งเดินตามมาด้วย ก็คือเซี่ยงหลี หวั่นซิน และเจียงหยวนนั่นเอง!

สายตาของเขามองข้ามผ่านองครักษ์มากมายมายังซูหลียังรวดเร็ว

ซูหลีหันไปมองทูตทั้งสาม พวกเขาพยักหน้าตอบเล็กน้อย หัวใจที่ตึงเครียดด้วยความเป็นห่วงมานานหลายวันในที่สุดก็ผ่อนคลายลง ราวกับยกภูเขาออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้เองที่นางเพิ่งรู้ตัว ว่าตนเองเห็นเขาเป็นคนในครอบครัวนานแล้ว ความซาบซึ้งและความดีใจที่ไม่อาจบรรยายพรั่งพรูในหัวใจ แต่นางกลับทำเพียงขานเรียกเสียงเบา “องค์รัชทายาท!”

ฮั่วเสี่ยวหมานตะโกนด้วยความดีใจ “พี่ชายรัชทายาท!”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ แต่กลับไออย่างหนัก และกลับไปนั่งดังเดิม ขอบตาของฮองเฮารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม นางก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่กลับเห็นฮั่วเสี่ยวหมานวิ่งเข้าไปหาหลางฉ่าง แล้วกอดเขาไว้แน่น

หลางฉ่างหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่ยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงใบหน้างามเต็มไปด้วยความยินดี นางยิ้มให้เขาเล็กน้อย คล้ายคลายใจแล้วเช่นกัน

ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “พี่ชายรัชทายาท ท่านไปไหนมา? เหตุใดจึงเพิ่งกลับมาตอนนี้ หมานเอ๋อร์เป็นห่วงท่านจะตายแล้ว…”

เดิมทีหลางฉ่างหมายจะดันตัวนางออก แต่กลับเห็นนางเงยหน้าขึ้น ดวงตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง มือของเขาจึงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงมือนางออก แล้วถอนหายใจเสียงเบา กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร!” จากนั้นก็หันไปโบกมือสั่งเหล่าองครักษ์ “ถอยไปให้หมด”

เหล่าองครักษ์รีบเก็บอาวุธ และถอยไปยืนด้านหนึ่งทันที หลางฉ่างสาวเท้าเร็วๆ เดินไปถวายบังคมด้านหน้าเกี้ยว “ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมเสด็จแม่! ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ตกพระทัย!”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยความยินดี “กลับมาก็ดีแล้ว! แค่กๆ! เกิดอะไรขึ้น เหตุใดหลายวันมานี้จึงไม่มีข่าวคราวจากเจ้าเลย? คนเหล่านั้นที่ติดตามเจ้าไปเล่า เหตุใดจึงไม่เห็นสักคนแล้ว?”

“เพื่อปกป้องลูก พวกเขาล้วน…สละชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลางฉ่างก้มหน้าด้วยความทุกข์ใจ ย้อนนึกถึงเหตุการณ์อันตรายเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงเหล่าผู้กล้าที่ยอมถูกฝังไว้ท่ามกลางป่ารกร้างเพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัย สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกและเจ็บปวด

“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?” ฮองเฮาถามด้วยความตกใจ

หลางฉ่างกล่าว “ลูกเจอนักฆ่าชุดดำปกปิดใบหน้ากลุ่มหนึ่งที่เขตชายแดน พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์แก่กล้า ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คล้ายรู้จักภูมิประเทศในพื้นที่นั้นดีมาก ถึงแม้องครักษ์ที่ลูกพาไปด้วยจะผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แต่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา…ตอนนั้นลูกได้รับบาดเจ็บ เพื่อหนีการไล่ล่าของนักฆ่าจึงซ่อนตัวไปทั่ว ต่อมาไม่ทันระวังตกลงไปในก้นเหวและหมดสติไปหลายวัน จึงได้เสียเวลามาจนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ…”

เขาเล่าถึงประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมายด้วยน้ำเสียงใจเย็น

ซูหลีตกตะลึง ที่แท้หลางฉ่างกลับพลัดตกลงไปในหุบเขาลึก มิน่าเล่านางถึงไม่พบเบาะแสของเขาที่เขตชายแดนเลย

ฮั่วเสี่ยวหมานร้องขึ้น “พี่ชายรัชทายาทรู้หรือไม่ว่านักฆ่าพวกนั้นเป็นใคร? ข้าจะไปบอกท่านพ่อ ให้ส่งคนไปจับพวกมันมาลงโทษ!”

หลางฉ่างส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันวันหลังเถิด”

ฮองเฮาถามต่อ “เช่นนั้นหลังจากนั้นเล่า? เจ้าออกจากสถานที่อันตรายแห่งนั้นมาได้เช่นไร?”

หลางฉ่างหันกลับไปมองเซี่ยงหลีกับหวั่นซินที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยแววตาซาบซึ้ง “ลูกโชคดีที่ทูตสองท่านนี้มาเจอเข้า และช่วยลูกออกจากอันตราย ซ้ำยังคุ้มกันลูกกลับวังด้วย หลางฉ่างซาบซึ้งในน้ำใจของพวกท่านยิ่งนัก”

“องค์รัชทายาททรงกล่าวเกรงใจเกินไปแล้วเพคะ พวกหม่อมฉันเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น” หวั่นซินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กวาดมององครักษ์รอบกายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินไปหาซูหลี แล้วขานเรียกเสียงเบา “เจ้าสำนัก”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

หลางฉ่างเดินไปหยุดยืนตรงหน้าซูหลี อดไม่ได้ที่จะกุมแขนนาง ในใจเต็มไปด้วยความยินดีและโล่งใจ สายตาวนเวียนอยู่บนดวงหน้าอันคุ้นเคยของนาง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความซาบซึ้งและยินดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ไม่เจอกันนานเลย”

เพียงวาจาสั้นๆ ประโยคเดียว กลับเหมือนพูดแทนความคะนึงหานับร้อยคืนวัน และตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่นางกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งหมด ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางชำเลืองมองฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆ สายตาสับสนเล็กน้อย นางตอบเสียงเบา “นั่นสิเพคะ ไม่เจอกันนานเลย องค์รัชทายาทสบายดีหรือไม่เพคะ?”

หลางฉ่างพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “หนึ่งเดือนมานี้ เพื่อตามหาข้า เจ้าคงวิ่งเต้นอย่างยากลำบากไปทั่ว เจ้าดูซูบผอมกว่าแต่ก่อนมาก”

ซูหลีแย้มยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม ขอเพียงเขากลับมาอย่างปลอดภัย เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ

หลางฉ่างดึงมือซูหลี แล้วเดินตรงไปที่เกี้ยวของฮ่องเต้ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน “มากับข้า”

ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงละอายใจ “ที่แท้แม่นางก็เป็นสหายของฉ่างเอ๋อร์จริงๆ ล้วนโทษข้าที่ใจร้อน เห็นหยกห้อยเอวขององค์รัชทายาทอยู่ในมือแม่นาง ก็คิดว่าแม่นางรู้เบาะแสของฉ่างเอ๋อร์ เกือบทำให้แม่นางลำบากเสียแล้ว ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจ…”

ซูหลีกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ฮองเฮาทรงกล่าวหนักเกินไปแล้วเพคะ”

“รัชทายาท!” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตวาดเรียกเสียงกร้าว

หลางฉ่างรีบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้ถามเสียงเข้ม “หยกห้อยเอวชิ้นนี้เจ้ามอบให้นางจริงหรือ? เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้ามอบหยกชิ้นนี้ให้เจ้า ข้าพูดอะไรกับเจ้า?”

หลางฉ่างตอบ “ลูกจำได้พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อตรัสว่าหยกนี้สำคัญยิ่งกว่าตรากองทัพ ห้ามทำหาย ห้ามมอบให้ผู้อื่นเด็ดขาด มิเช่นนั้นลูกก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท”

ซูหลีอดหันไปมองหลางฉ่างด้วยสายตาตกตะลึงไม่ได้!

ฮ่องเต้กล่าวว่า “ตอนนั้นข้าไม่ระวังทำหยกชิ้นนี้หาย จึงเกือบทำให้แคว้นเราตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกกบฏ เจ้า เจ้า…ไม่ไยดีคำเตือนของข้า กลับมอบหยกชิ้นนี้ให้ผู้อื่น ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก!”

ฮ่องเต้โกรธกริ้วอย่างหนัก พาให้ลมหายใจติดขัด กระแอมไอไม่หยุด ทุกคนตกใจลนลาน เข้ามาอยู่ในวังหลายปี พวกเขาเพิ่งเคยเห็นฮ่องเต้ตำหนิองค์รัชทายาทรุนแรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก

ฮองเฮาเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ รักษาพระวรกายด้วยเพคะ! ฉ่างเอ๋อร์กระทำเรื่องใดล้วนรอบคอบเสมอมา บางทีอาจมีเหตุผล…”

หลางฉ่างอธิบาย “ลูกมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้จริงๆ…”

ฮ่องเต้เหน็ดเหนื่อย รู้สึกปวดหัวจนใกล้จะระเบิด เขากล่าวตัดบท “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การมอบหยกประจำตัวองค์รัชทายาทให้นางก็ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง! เจ้า มานี่”

หลางฉ่างก้าวเข้าไป ฮ่องเต้ยื่นหยกห้อยเอวออกจากม่านสีเหลืองทอง “หยกนี้สำคัญเทียบเท่ากับชีวิตเจ้า เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองเสื่อมถอยของราชวงศ์ติ้งและบ้านเมือง ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดใดเด็ดขาด!”

หลางฉ่างรับไว้อย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

ฮ่องเต้หลับตา กล่าวว่า “นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าจงปิดประตูทบทวนตนเองเสีย หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามผู้ใดเข้าไปเยี่ยม ส่วนพวกเขา…มีผลงานที่ช่วยองค์รัชทายาท จะตบรางวัลอย่างไร ให้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน เคลื่อนขบวนกลับวังได้”

หลางฉ่างหมายจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกฮองเฮาปรามไว้ก่อน “เสด็จพ่อของเจ้าเหนื่อยแล้ว มีเรื่องใดค่อยว่ากันวันหลังเถิด”

หลางฉ่างมองซูหลีด้วยสายตาเป็นห่วง ซูหลียืนเงียบอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน มองม่านสีเหลืองทองอย่างเหม่อลอย

เสี้ยววินาทีเมื่อครู่ที่ฮ่องเต้ยื่นมือออกมา นางมองเห็นแหวนหยกขาวบนนิ้วมือเขาอย่างชัดเจน แหวนวงนั้นเหมือนกับวงที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้นางมาก นางตกตะลึง คำพูดก่อนตายของท่านน้าจิ้งหวั่นแล่นผ่านสมอง ‘แหวนวงนี้ยังมีอีกวงที่เหมือนกัน อยู่ในมือของพ่อแท้ๆ ของเจ้า…’

ครั้นเห็นเกี้ยวของฮ่องเต้เริ่มเคลื่อนตัวกำลังจะออกไป จู่ๆ นางก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน”

ขบวนเกี้ยวชะงัก ขันทีประจำกายของฮ่องเต้กล่าวตำหนิ “บังอาจยิ่งนัก ถึงขั้นกล้าขวางขบวนเสด็จ…”

ซูหลีข่มกลั้นความรู้สึกอันพลุ่งพล่านในใจ แล้วถามว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทสวมแหวนหยกขาววงหนึ่ง หม่อมฉันขอบังอาจถาม ของสิ่งนี้…เป็นของลัทธิธิดาเทพกระมังเพคะ?”

ไร้เสียงตอบรับจากด้านในเกี้ยว รอบข้างเงียบกริบ จู่ๆ ฮ่องเต้ก็กล่าวเสียงเย็นชา “จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนส่งเจ้ามาไม่ใช่เพื่อสืบเรื่องการหายตัวไปขององค์รัชทายาท แต่เพื่อตามหาแหวนวงนี้กระมัง? ครั้งนี้เห็นแก่ผลงานที่ช่วยองค์รัชทายาท ข้าจะปล่อยเจ้าไป เมื่อได้รับรางวัล ก็จงรีบไปจากแคว้นติ้งเสีย อย่าได้มองข้ามความหวังดีนี้ในครั้งนี้!”

ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ท่านจะให้ข้าไปจากที่นี่…”

………………………………………