ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 6 องค์หญิงฉางเล่อ (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

หลางฉ่างรีบกล่าว “เสด็จพ่อ! ซูหลีไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้กล่าว “ใช่ว่านางช่วยชีวิตเจ้าแล้วจะกระทำตามใจชอบได้! แคว้นติ้งไม่มีวันต้อนรับคนของลัทธิธิดาเทพไปตลอดกาล!”

ซูหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยว่า “เรื่องในอดีต ถูกหรือผิดยามนี้ยากจะตัดสิน หม่อมฉันมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น หม่อมฉันอยากรู้ว่าคนที่มอบแหวนวงนี้ให้กับฝ่าบาท เคยมีสัญญาร่วมกันที่หุบเขาอวี๋ชิง…”

ฮ่องเต้กล่าวตัดบทอย่างร้อนใจ “ผู้ใดให้เจ้ามาถามข้า?”

ซูหลีล้วงภาพวาดของเสด็จแม่นางที่พบในหุบเขาอวี๋ชิงออกมา แล้วก้าวเท้าไปทางเกี้ยวช้าๆ องครักษ์หมายจะเข้ามาขวาง กลับถูกหลางฉ่างสั่งให้ถอยไป ซูหลีน้อมส่งภาพวาดไปตรงหน้าผ้าม่านสีเหลืองทอง แล้วเอ่ยเสียงเบา “เป็นคนในภาพวาดนี้เพคะ”

ฮ่องเต้ยื่นมือออกมารับภาพวาดไป ไม่นานก็รีบเปิดม่าน แล้วถามด้วยความตกตะลึง “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดภาพวาดนี้จึงมาอยู่กับเจ้าได้?”

ซูหลีมองเห็นใบหน้าเขาแล้ว

ฮ่องเต้ตรงหน้าใบหน้าเขียวซีดเล็กน้อย คล้ายป่วยหนักมาก แต่ยังคงเหลือเค้าความหล่อเหลาในวัยหนุ่มให้เห็นอยู่ ดวงตาซ่อนคมคู่นั้นยังคงคมปลาบ ใบหน้าของเขาดูสับสนวุ่นวาย ทั้งกังวล สงสัย และคาดหวังผสมปนเปกันไปหมด เขานิ่งอึ้งจ้องหน้าซูหลี

ซูหลีเพียงยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ดวงหน้างดงามหมดจดที่เหมือนในภาพวาดทุกประการปรากฏในครรลองสายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้ง สายตาที่สงบนิ่งในตลอดหลายปีที่ผ่านมาพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนถูกก้อนกรวดขว้างปา

ฮ่องเต้เบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ถึงแม้ทหารจากสองแคว้นมารุกราน ศัตรูอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังไม่ตื่นตะลึง และเสียอาการถึงเพียงนี้

“…ซี…ซี?”

เสียงสั่นเครือสะท้อนให้เห็นถึงความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด และวาจาที่หลุดออกมาจากปากเขา ก็คือชื่อของเสด็จแม่ของซูหลีที่จากไปแล้ว

คำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาในใจซูหลีรางๆ บางทีฮ่องเต้แคว้นติ้งผู้นี้อาจเป็นคนที่มารดานางห่วงหามาทั้งชีวิต! สายตาที่เขามองนางเต็มไปด้วยความคะนึงหา ยินดีจนแทบคลั่งยิ่งกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเซียวในยามนั้นเสียอีก

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปทั้งใจ พยายามข่มกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านในใจตนเอง นางมองดูมือของเขาที่กำลังลูบบทกลอนบนภาพวาดนิ่งๆ เขารีบเดินลงจากที่นั่งอันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะสูงส่งของเขา แต่เพราะใจร้อนเกินไป จึงเกือบล้มลงมา

หัวใจของซูหลีบีบรัด ยื่นมือออกไปหมายจะประคองเขา แต่หลางฉ่างเร็วกว่า เขาประคองแขนฮ่องเต้อย่างมั่นคง “เสด็จพ่อระวังพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ราวกับไม่ได้ยิน รีบเดินเข้ามาจับต้นแขนซูหลีแน่น

ซูหลีมองมือของเขา และแหวนที่แปรสภาพไปตามกาลเวลาวงนั้น ลมหายใจพลันสะดุด

หลางฉ่างรีบกล่าว “เสด็จพ่อ นางก็คือท่านหญิงหมิงซีซูหลีแห่งแคว้นเฉิงที่ลูกเคยเล่าให้เสด็จพ่อฟังพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มองหน้านางอย่างตกตะลึง อารมณ์อันสับสนปรวนแปรพาดผ่านดวงตา “ซูหลี? …สตรีที่กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายเพื่อความรักน่ะหรือ?”

ซูหลีอึ้งงัน ที่แท้ในสายตาผู้อื่น นางเป็นคนเช่นนี้เอง

หลางฉ่างกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงแผนการที่นางสร้างขึ้นเพื่อไปจากตงฟางเจ๋อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ นางฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ลูกไม่เคยเชื่อว่านางจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ฉะนั้นจึงได้อาสาเป็นทูตเดินทางไปยังแคว้นเปี้ยนด้วยตนเอง เพราะต้องการยืนยันตัวตนธิดาเทพคนใหม่ของแคว้นเปี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” ฮ่องเต้จ้องหน้านางไม่วางตา ค่อยๆ คลายมือออกจากแขนนาง แล้วกล่าวพึมพำว่า “เหมือนเหลือเกิน…เหตุใดจึงเหมือนถึงเพียงนี้? เจ้าเป็นอะไรกับคนในภาพงั้นหรือ?”

ซูหลีไม่ได้ตอบคำถามทันที เพียงสบตาเขานิ่งๆ นางมองเห็นแววคาดหวังและรุ่มร้อนที่ปิดไม่มิดในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน แล้วจึงค่อยตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาและแช่มช้า “นางเป็น…มารดาที่ล่วงลับไปแล้วของซูหลีเพคะ”

ครั้นได้ยินคำว่า ‘มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว’ เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าเป็นลูกสาวของซีซี? ซีซีนาง…”

“ไม่อยู่แล้วเพคะ” ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ฮ่องเต้หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เช่นนั้น มารดาเจ้า…มารดาเจ้าเป็นผู้ใด?”

ซูหลีเงยหน้ามองเขา แล้วกล่าวว่า “มารดาของหม่อมฉันก็คือหยางซี ธิดาเทพคนก่อน นางถูกไล่ล่าเพราะทรยศและหนีออกจากแคว้น เร่ร่อนไปจนถึงแคว้นเฉิง นางได้รับการช่วยเหลือจากเซ่อเจิ้งอ๋อง จากนั้นเขาก็แต่งนางเป็นพระชายา ยามหม่อมฉันเกิดเสด็จแม่ถูกลัทธิธิดาเทพไล่ล่า เพื่อปกป้องหม่อมฉัน นางสับเปลี่ยนตัวหม่อมฉันกับทารกที่ตายตั้งแต่แรกคลอดของนางหลิ่วแห่งจวนอัครเสนาบดี หม่อมฉันจึงเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี ต่อมา…”

“พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋อง…สิ้นลมเพราะการตายของบุตรสาวและอาการป่วย…” ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งพลันซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนจะหมดสติล้มลงไป

หลางฉ่างกับซูหลีแทบจะยื่นมือออกไปพร้อมกัน พวกเขาประคองฮ่องเต้ที่ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เขามองนาง นางก็มองเขา เพียงแต่ไม่นานสายตาของทั้งสองคนก็หันไปมองใบหน้าฮ่องเต้พร้อมกัน

ทุกคนตื่นตกใจ ฮองเฮารีบตะโกนสั่ง “เรียกหมอหลวงมาเร็ว!”

ซูหลีวางมือลงบนชีพจรของฮ่องเต้ ค้นพบว่าเลือดลมของเขาติดขัด ชีพจรหัวใจอุดตัน เขาเคยได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงดังที่นางคาดไว้จริงๆ คงเป็นเพราะตอนนั้นไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ต่อมามีเรื่องกลัดกลุ้มไม่เสื่อมคลาย จึงสะสมกลายเป็นโรคเรื้อรัง และมีอาการย่ำแย่ดังเช่นในตอนนี้ นางถ่ายเทกำลังภายในไปให้เขา เพื่อช่วยให้เลือดลมเดินคล่องทันที

หลางฉ่างถามด้วยความกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูหลีขมวดคิ้วตอบว่า “ไม่สู้ดีเลยเพคะ ประคองเข้าไปในตำหนักก่อนเถิด”

ทุกคนล้อมวงเข้ามา ช่วยกันประคองฮ่องเต้เข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้กลับพ่นลมหายใจอย่างอิดโรย จับมือนางแน่น แล้วถามด้วยความร้อนใจ “บอกข้ามา…ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? เจ้าเกิดเดือนใด?”

หลางฉ่างกล่าวด้วยความกังวล “เสด็จพ่อ! เข้าไปข้างในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้พยายามขัดขืนและดันทุกคนออก เขาแทบยืนไม่อยู่ แต่กลับยังคงจ้องหน้านางนิ่งๆ คล้ายตั้งตารอคำตอบจากนาง

สายตาของซูหลีสับสน นางเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันอายุสิบเก้าปี เกิดเดือนห้าปีซวีอู่เพคะ”

ฮ่องเต้ถามเสียงดังด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ยามยังมีชีวิต มารดาเจ้าได้มอบอะไรไว้ให้เจ้าหรือไม่?”

ซูหลีลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงแหวนหยกขาวออกมาจากอกเสื้อ

ฮ่องเต้ยื่นมือออกไป แหวนหยกขาวสองวง รูปร่างลักษณะมันเงาวาววับเหมือนกัน ลวดลายบุปผา และร่องรอยแห่งกาลเวลาที่คล้ายกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าเกิดมาคู่กัน ลวดลายดอกบัวสามมิติที่ถูกสลักไว้ด้านบนของแหวนเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้อย่างพอดิบพอดี สิ่งนี้ก็คือของแทนใจของพวกเขาในอดีตนั่นเอง

เขาเงยหน้าอย่างตื่นตะลึง ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี เขากุมไหล่ซูหลีด้วยความซาบซึ้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าเป็นลูกของข้า…ลูกของข้ากับซีซี!”

ครั้นเขาเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทุกคนตกตะลึง ฮ่องเต้แคว้นติ้งกลับยังมีองค์หญิงอีกองค์อยู่ข้างนอก?!

ซูหลีมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติของเขา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

คำตอบที่ตามหามานาน ในที่สุดก็ได้รับการยืนยันในวินาทีนี้แล้ว หัวใจของนางกลับไม่ได้ยินดีและซาบซึ้งเหมือนที่คาดไว้ ความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้ามา ครั้นนึกถึงเรื่องที่เสด็จแม่หักหลังบ้านเมืองเพื่อความรัก โดยไม่คำนึงผลที่จะตามมา สุดท้ายกลับไม่ได้รับการตอบรับจากคนรัก และจมอยู่กับความสิ้นหวังทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ พรากจากชั่วนิรันดร์ นางผ่านความทุกข์ที่สุดในชีวิตมาหมดแล้ว จะต้องรู้สึกทรมานถึงเพียงใดกัน!

ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ ซูหลีก็ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก และสะบัดมือเขาออก

ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาเจ็บปวด ถามด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “เจ้า…ต้องเกลียดข้ามากแน่ๆ…”

ซูหลีกล่าวเสียงแผ่วเบา “เกลียดหรือ? หม่อมฉันไม่รู้ เสด็จแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องชาติกำเนิดของหม่อมฉันเลย กระทั่งก่อนที่ท่านน้าจิ้งหวั่นจะตาย หม่อมฉันถึงได้รู้ว่าบิดาบังเกิดเกล้าของหม่อมฉันคือผู้อื่น”

ฮ่องเต้หอบหายใจอย่างแรง เขาเซถอยหลัง เจ็บปวดจนพูดไม่ออก

ซูหลีมองเขานิ่งๆ “ท่านน้าจิ้งหวั่นบอกว่า หลังจากที่เสด็จแม่หนีออกจากแคว้นเปี้ยนไป นางเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้พระองค์ แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับ หากพระองค์คือคนที่นางห่วงหามาทั้งชีวิต…เช่นนั้นช่วยบอกหม่อมฉันที ว่าเหตุใดพระองค์ต้องทอดทิ้งนางด้วย?”

ฮ่องเต้แหงนหน้ามองฟ้า ทอดถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะหันไปมองหลางฉ่างแล้วบอกว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนเจ้าเด็กๆ เจ้าแอบเอากล่องนกเพลิงสยายปีกในตำหนักบรรทมของข้ามาเล่น แล้วถูกข้าลงโทษให้คัดพระคัมภีร์อยู่สามวัน?”

หลางฉ่างพยักหน้าตอบว่า “ลูกจำได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี เจ้าไปหยิบมันมาที”

หลางฉ่างหันมองซูหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะรับคำแล้วจากไป ฮองเฮารีบกล่าว “ฝ่าบาท พระวรกายสำคัญกว่า แม่นางท่านนี้…” นางหันมามองซูหลี สายตาสับสนวุ่นวาย “หากเจ้าเป็นบุตรสาวของสหายเก่าจริง มิสู้กลับไปคุยกันที่ตำหนักบรรทมดีกว่า”

ฮั่วเสี่ยวหมานมองแผ่นหลังหลางฉ่างแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมามองซูหลี นางยืนอึ้งอยู่กับที่ด้วยความงุนงง และตามสถานการณ์ไม่ทัน

ฮองเฮากับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยประคองฮ่องเต้ขึ้นเกี้ยว ฮ่องเต้แคว้นติ้งกระแอมไอ มองหน้าซูหลีด้วยสายตาเศร้ารันทด “หากเจ้าอยากรู้เรื่องในตอนนั้น ก็จงตามมา”

………………………………………