ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 7 องค์หญิงฉางเล่อ (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลียืนอยู่ที่เดิม คล้ายยังคงลังเลเล็กน้อย

เจียงหยวนเดินมาหานาง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าสำนัก” สายตาของเขาสับสน ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไปอีก

ซูหลีหันไปมองหน้าเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

เจียงหยวนแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบว่า “ข้าไม่เป็นไรขอรับ เดิมทีหมายจะไปรอข่าวจากท่านที่ห้องเวรยาม แต่เซี่ยงหลี หวั่นซินกับองค์รัชทายาทกลับมาพอดี หลังจากแก้ไขความเข้าใจผิด ข้าจึงตามมาดูเหตุการณ์ด้วย”

ซูหลีถอนหายใจเสียงเบา “พวกเจ้ามาได้ทันเวลาพอดี มิเช่นนั้นข้ายังไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี”

เจียงหยวนมองดูฮ่องเต้แคว้นติ้งที่ห่างออกไป “เขา บาดเจ็บหนักมาก ถึงแม้รักษามานานหลายปี แต่ชี่เดิมได้รับบาดเจ็บหนัก เกรงว่า…”

ซูหลีหันหน้าไปมองเขาทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

เจียงหยวนถอนหายใจ “ฮ่องเต้แคว้นติ้งอายุมากแล้ว อีกทั้งร่างกายยังได้รับบาดเจ็บหนัก บวกกับองค์รัชทายาทหายตัวไป ทำให้กลัดกลุ้มติดต่อกันหลายวัน ยามนี้ได้บาดเจ็บไปจนถึงดวงจิตแล้ว…ถึงแม้จะรักษาหาย แต่ก็เกรงว่าจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าคิดว่าเขา…ยังเหลือเวลาอีกเท่าไร?”

สายตาของเจียงหยวนหม่นหมอง “ข้าไม่แน่ใจนักขอรับ อย่างมากก็สามปีห้าปี อย่างน้อยก็หนึ่งปีครึ่ง…”

หน้าอกของซูหลีกระเพื่อมขึ้นลง นางมองประตูตำหนักที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าสับสนวุ่นวาย

ผ่านไปไม่นานหลางฉ่างก็ย้อนกลับมา ในมือเขามีกล่องผ้าต่วนขนาดความกว้างเท่าฝ่ามือ ความยาวครึ่งฉื่ออยู่หนึ่งกล่อง บนกล่องมีลวดลายมังกรและนกเพลิงสยายปีกถูกสลักเอาไว้ เพราะถูกผู้เป็นเจ้าของลูบคลำอยู่บ่อยๆ ลายนกเพลิงบนกล่องแทบจะราบเรียบไปกับผิวกล่องแล้ว เหลือให้เห็นเพียงร่องรอยที่เคยถูกสลักเท่านั้น

หลางฉ่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซูหลี เจ้าตรากตรำเดินทางมาถึงที่นี่ ก็เพียงเพื่อคำตอบเดียวมิใช่หรือ? ไปหาเสด็จพ่อกับข้าเถิด!”

เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจมาก นางเพิ่งตั้งสติได้ รีบดึงแขนเสื้อหลางฉ่าง แล้วถามว่า “พี่ชายรัชทายาท นี่มันเรื่องอันใดกันแน่เพคะ?”

หลางฉ่างชะงักฝีเท้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “หมานเอ๋อร์กลับไปก่อน เรื่องนี้จะเล่าให้เจ้าฟังวันหลัง”

“…เพคะ” ฮั่วเสี่ยวหมานมองซูหลีด้วยสายตาหวาดระแวง แต่ก็ทำได้เพียงหมุนกายเดินจากไป

หลางฉ่างหันไปยิ้มให้ซูหลี “ไปกันเถิด”

ซูหลีมองแผ่นหลังของหลางฉ่างที่กำลังเดินไปข้างหน้า นางสูดหายใจลึกๆ แล้วเดินตามไป

ด้านในตำหนักบรรทมเงียบกริบ หมอหลวงมาถึงอย่างเร่งรีบ ยามนี้กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจชีพจร และใช้ยารักษา

ฮองเฮากำชับให้เหล่านางกำนัลเตรียมยา ครั้นเห็นหลางฉ่างกับซูหลีที่กำลังเดินมา ก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ อวิ๋นฮุ่ยเดินเข้ามาประคองฮองเฮา แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสด็จป้าไม่ต้องกังวล อาจเป็นเรื่องน่ายินดีก็ได้นะเพคะ”

ฮองเฮาตบมือนางเบาๆ พลางยิ้มตอบนาง

ฮ่องเต้แคว้นติ้งนั่งเหม่อลอยอยู่บนที่นั่งสูงสุด ครั้นเห็นกล่องผ้าต่วนใบนั้น สายตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน เขาค่อยๆ เปิดฝากล่อง ผ้าไหมสีเหลืองอ่อนผืนหนึ่งซึ่งถูกพับทบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบ วางอยู่นิ่งๆ ตรงกลางกล่อง เขาหยิบจดหมายนั้นออกมาแล้วยื่นให้นาง เป็นเชิงบอกให้นางเปิดอ่านดู

ซูหลีรับไปด้วยมือที่สั่นเทา นางค่อยๆ เปิดออก อักษรขนาดเล็กลายมืองดงามปรากฏสู่สายตา ขอบตานางร้อนผ่าว เนื้อหาในจดหมายมีใจความว่า

อาเจี่ยว:

เห็นจดหมายก็เหมือนเห็นตัวข้า

นับตั้งแต่ที่จากกันที่หุบเขา จนถึงยามนี้ก็สองเดือนกว่าแล้ว ท่านทราบแล้วว่าข้าเป็นธิดาเทพแห่งแคว้นเปี้ยน ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนให้มาสังหารบิดาท่าน โชคดีที่ทำไม่สำเร็จ จึงเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่ได้ หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าได้

ยังคงจำได้ดีว่าในวันนั้นสายตาของท่านตกตะลึงและเจ็บปวดเพียงใด ข้าเองก็ปวดใจเช่นกัน ท่านกับข้าได้พบกันเพราะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่เคยเคลือบแคลงสงสัย ข้ารักท่านอย่างเปิดเผย มอบให้ทั้งกายใจ ท่านเคยสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งข้าตลอดชีวิตนี้ คำสาบานนั้นยังคงดังก้องในหู จนใจที่สวรรค์กลั่นแกล้ง ท่านคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งที่ได้รับพระบัญชาให้มาจับตัวนักฆ่า ส่วนข้าคือธิดาเทพที่ลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน…

ฐานะแตกต่าง สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก วันนั้นที่หุบเขา ข้าตั้งใจจะตัดขาดโชคชะตาที่มีร่วมกัน และตัดสินใจจะไม่พบท่านอีกตลอดชีวิต แต่ทว่าเมื่อกลับมาถึงลัทธิ กลับพบว่าในครรภ์มีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอยู่!

กฎในลัทธิธิดาเทพ ธิดาเทพห้ามแต่งงานและมีบุตรตลอดชีวิต หลังจากไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดข้าก็ตัดใจทิ้งลูกในท้องไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจไปจากแคว้นเปี้ยนโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา!

หากท่านยังเห็นแก่ความรักที่บังเกิด ณ หุบเขา ก็ขอให้มาพบกันที่เรือนหลังเก่าสักครั้ง

ท้ายจดหมายประทับตรารูปแหวนไว้ ซูหลีหยิบแหวนมาทาบ แล้วก็ค้นพบว่าพอดีดังคาด น้ำตาพลันหลั่งริน

จดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของเสด็จแม่ ถึงแม้สั้นกระชับ แต่กลับบ่งบอกถึงปมในอดีตระหว่างนางกับฮ่องเต้ได้อย่างชัดเจน แต่ละคำล้วนแฝงไว้ด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลเป็นสายเลือด ซูหลีสามารถจินตนาการได้ว่ายามนั้นเสด็จแม่สับสน หวาดกลัว และทุกข์ใจถึงเพียงใด…แต่กลับไม่อาจจินตนาการถึงความสิ้นหวัง ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเลือกและการรอคอยเช่นนั้น

ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้ารันทด “ปีนั้น ข้าไม่ได้ทอดทิ้งนาง เพียงแต่ยามนั้นเกิดเหตุการณ์ก่อกบฏ วังบูรพาขององค์รัชทายาทถูกหัวหน้ากบฏยึดครอง จดหมายถูกส่งมาที่วังบูรพา จึงถูกพวกกบฏยึดไป ข้าได้รับบาดเจ็บหนักระหว่างทางกลับวัง จึงซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ข้างนอก จนกระทั่งเหตุการณ์ก่อกบฏสงบลง กว่าข้าจะพบจดหมายฉบับนั้นก็ผ่านไปหลายวันแล้ว…ข้า รีบเดินทางหามรุ่งหามค่ำไปที่หุบเขาอวี๋ชิง แต่มารดาเจ้ากลับไม่อยู่ที่นั่นแล้ว…”

ครั้นย้อนนึกถึงวันเวลาที่เต็มไปด้วยความมืดมน ความสิ้นหวัง และความเจ็บปวด ฮ่องเต้ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทรมานจนไม่อาจพูดต่อไปได้

หลางฉ่างถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดีก็เร่งเดินทางแล้ว จากนั้นมาเสด็จพ่อจึงมีอาการป่วยเรื้อรัง รักษามาเป็นเวลานานก็ไม่หาย ตั้งแต่นั้นมา เสด็จพ่อส่งคนจำนวนมากออกไปตามหา แต่ค้นหาทั่วทั้งแคว้นติ้งแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสของมารดาเจ้า ต่อมาสืบรู้ว่าพวกกบฏที่เคยได้รับจดหมาย เพื่อบังคับให้เสด็จพ่อยอมจำนน พวกเขาเคยส่งคนไปจับตัวมารดาเจ้าที่หุบเขาอวี๋ชิง…ข้าเดาว่า ตอนนั้นเสด็จแม่ของเจ้าจะต้องคิดว่าเสด็จพ่อเป็นคนส่งพวกนั้นไปแน่นอน ฉะนั้นจึงได้เจ็บปวดและสิ้นหวัง สุดท้ายก็ตัดสินใจแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋อง”

ซูหลีตะลึงงัน ที่เขากับเสด็จแม่ต้องแยกจากกันกลับเป็นเพราะความเข้าใจผิด! “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”

ฮ่องเต้ขอบตาร้อนผ่าว “ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยเลิกตามหาพวกเจ้าเลย ภายหลังมีข่าวว่ามารดาเจ้าอาจอยู่ที่แคว้นเฉิง ข้าจึงส่งคนไปสืบหาที่แคว้นเฉิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเบาะแสของพวกเจ้าแม่ลูก ต่อมา…ฉ่างเอ๋อร์อาศัยโอกาสที่ท่านอ๋องแห่งแคว้นเฉิงเลือกพระชายา เดินทางไปยังแคว้นเฉิงพร้อมคณะทูต ข้าเคยเอารูปมารดาเจ้าให้เขาดู ให้เขาถือโอกาสไปตามหาพวกเจ้า แต่ว่า…”

หลางฉ่างกล่าว “เสด็จพ่อ! เพราะลูกรู้สึกว่าท่านหญิงหมิงซีคล้ายคนในภาพวาดมาก สงสัยว่านางเป็นทายาทรุ่นหลังของคนในภาพ ฉะนั้นจึงได้มอบหยกห้อยเอวให้นาง และนัดหมายให้นางมาหาที่นี่ เพื่อให้เสด็จพ่อยืนยันเรื่องนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หันไปมองหลางฉ่าง “ดีมาก! เด็กดี พ่อตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก!”

หลางฉ่างแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ยามนี้ในที่สุดลูกก็ตามหาน้องหญิงเจอแล้ว เสด็จพ่อทรงวางพระทัยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว”

ฮ่องเต้กุมมือซูหลีแน่น ยิ้มทั้งน้ำตา “ดี ดีเหลือเกิน หลายปีมานี้…ข้าตามหาเจ้ามานาน ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว…องค์หญิงฉางเล่อของข้า!”

ซูหลีเงยหน้ามองเขา ยิ่งนานความคิดก็ยิ่งสับสน จิตใจยากจะสงบ

ฮ่องเต้กล่าวเสียงปนสะอื้น “หากมารดาเจ้ายังอยู่…ไม่รู้ว่านางจะให้อภัยข้าหรือไม่…ตอนที่ข้ารู้ว่านางเป็นคนของลัทธิธิดาเทพ ข้าโกรธแค้นจนเกือบสังหารนางด้วยมือตนเอง แต่สุดท้ายข้าก็ยังคงสังหารนางไม่ลง…เดิมทีนึกว่าพวกเราแยกจากกันอย่างนี้ อาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว นึกไม่ถึง…สุดท้ายข้าก็ยังทำร้ายนางอยู่ดี!”

น้ำตาของซูหลีหลั่งรินออกมา สายตาพร่ามัว เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว แต่เป็นบิดาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเฝ้ารอคอยเสมอมา หัวใจอันแข็งกร้าวของนางพังทลายลงมาในที่สุด

หลางฉ่างดุนหลังนางเบาๆ “ฉางเล่อ เรียกเสด็จพ่อเร็วเข้า!”

………………………………………