ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 8 องค์หญิงฉางเล่อ (4)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลีอ้าปาก แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงเรียกออกไป

ฮองเฮาทนดูไม่ไหว จึงก้าวออกมา แล้วกล่าวว่า “เด็กดี ลำบากเจ้ามานานแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นพ่อเจ้าจะมีความผิด แต่เห็นแก่ที่เขาทุกข์ทรมานด้วยความคะนึงหามานานหลายปี อย่าได้ถือโทษโกรธเขาอีกเลย ได้หรือไม่? หากมารดาเจ้ายังอยู่ จะต้องหวังให้ลูกของนางกลับมาหาบิดาบังเกิดเกล้าอย่างแน่นอน!”

ซูหลีก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลริน ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว

ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน เอื้อมมืออันสั่นเทาไปกุมแขนนาง “ฉางเล่อ! ตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่ามีเจ้า ข้าก็ตั้งชื่อให้เจ้าว่าฉางเล่อทันที ฉางเล่อ ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขยืนยาวไปตลอดชีวิตเหมือนชื่อที่ข้าตั้งให้! นึกไม่ถึง ข้ากลับทำให้เจ้าลำบากตรากตรำ…ข้าผิดต่อเจ้ายิ่งนัก…ชีวิตนี้ขอเพียงได้ยินเจ้าเรียกว่าเสด็จพ่อสักครั้ง แม้ตายข้าก็ไม่เสียดายอีกแล้ว…”

เท้าของเขาอ่อนแรง แทบจะหมดสติล้มลงไปอีกครั้ง ซูหลีตกใจ รีบเข้าไปประคองเขา

มือของนางประคองมือของเขา สายตาสองคู่สานประสบ เลือดข้นกว่าน้ำ ถึงอย่างไรสายสัมพันธ์ของครอบครัวก็หยั่งรากลึกลงไปในสายเลือดไม่อาจตัดขาด

ฮ่องเต้ขานเรียกเสียงสั่น “ฉางเล่อ…”

น้ำตาไหลอาบใบหน้าของนาง นางสะอื้นไห้แล้วขานเรียก “เสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งรั้งซูหลีเข้าไปกอดแน่นๆ ร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ หลางฉ่างที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งแย้มยิ้มอย่างชื่นใจ

“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท ในที่สุดครอบครัวก็พร้อมหน้า!” ฮองเฮากล่าวด้วยความยินดี

“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท! ยินดีด้วยเพคะองค์หญิงฉางเล่อ!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกับคนอื่นคุกเข่า เสียงถวายพระพรดังไปทั่วทั้งในและนอกตำหนักบรรทม

วันต่อมา ฮ่องเต้แคว้นติ้งมีพระราชโองการประกาศให้ไพร่ฟ้าปวงชนทราบโดยทั่วกัน องค์หญิงฉางเล่อที่หายสาบสูญไปนานหลายปีกลับคืนสู่วัง ฮ่องเต้พระราชทานนามว่าหลางชิง บันทึกในลำดับวงศ์ตระกูล เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ติ้งอันรุ่งเรืองตลอดกาล และสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงพร้อมกับงานชุมนุมไป่จี๋ที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง

ยามบ่ายคล้อย ณ ตำหนักฉางเซิง สายลมอ่อนโชยผ่าน บรรยากาศในฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ในศาลา ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยนั่งหันหน้าเข้าหากัน พวกนางกำลังมีสมาธิกับการเล่นหมากล้อม หลางฉ่างก้าวเข้ามาในศาลา พวกนางก็ยังไม่รู้ตัว นางกำนัลหมายจะเดินเข้ามาถวายบังคม แต่กลับถูกเขาปรามด้วยสายตา

เห็นเพียงบนกระดานหมากเต็มไปด้วยสีขาวดำสลับเรียงราย มองแวบแรก ยากจะตัดสินว่าผู้ใดเป็นฝ่ายเหนือกว่า

ครั้นเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ทั้งสองก็ยิ่งเพ่งสมาธิ ทุกครั้งที่เดินหมาก จะใคร่ครวญอยู่นาน

หมากสีดำในมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถูกวางลงบนกระดาน หลางฉ่างอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ ก้าวนี้ไม่เพียงขัดขวางการโจมตีของซูหลีได้ ยังพลิกกลับมาเป็นฝ่ายจู่โจมได้อีกด้วย

ซูหลียกมือเท้าคาง ครุ่นคิดหากลยุทธ์รับมือ หลังผ่านไปครึ่งก้านธูป นางก็ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าแพ้แล้ว” ครั้นเงยหน้ากลับเห็นหลางฉ่างยืนเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ด้านหนึ่ง ไม่รู้เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว

“เสด็จพี่มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเลยเล่าเพคะ?”

หลางฉ่างเดินเข้ามา ยิ้มหยอกเย้า แล้วกล่าวว่า “หากข้าส่งเสียง จะได้เห็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดอย่างนี้หรือ?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลุกขึ้นถวายบังคม “อวิ๋นฮุ่ยถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”

หลางฉ่างรีบเข้าไปประคองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ที่นี่มีเพียงพวกเราสามคน ไม่เห็นต้องมากพิธีเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยบอกแล้ว เจ้ากับข้าเป็นคนตระกูลซั่งกวนเหมือนกัน อยู่ด้วยกันลำพังเรียกข้าว่าเสด็จพี่ก็พอ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน คล้ายไม่ได้แตกต่างจากยามปกติ แต่ซูหลีได้ยินน้ำเสียงเขา ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนเป็นพิเศษที่แฝงอยู่ในนั้น นางพลันสะดุดใจ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอยหลังหนึ่งก้าว ยังคงค้อมศีรษะด้วยท่าทางนอบน้อม นางหลุบตาต่ำ แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยเสด็จพี่ ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจละเลยมารยาทอันสมควรได้เด็ดขาดเพคะ”

หลางฉ่างจนใจ มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก

ซูหลีสั่งให้นางกำนัลเก็บกระดานหมาก แล้วนำชามาถวาย ทั้งสามแยกกันนั่งลง หวนนึกถึงหมากกระดานเมื่อครู่ นางกล่าวอย่างนึกเสียดาย เหมือนยังค้างคาใจ “เดิมทีนึกว่าจะสามารถเอาชนะเพื่อชะล้างความอัปยศในอดีตได้ สุดท้ายก็ยังคงแพ้อยู่ดี”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยพลางแย้มยิ้ม“ข้าเองก็ได้ชัยชนะมาอย่างยากลำบากเช่นกัน”

ซูหลีแสร้งกล่าวด้วยท่าทางขุ่นเคือง “ข้าต่างหากที่ลำบาก”

หลางฉ่างชี้ไปที่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแล้วกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้าอาจยังไม่รู้? อวิ๋นฮุ่ยนางเป็นยอดฝีมือด้านการเดินหมาก น้อยนักจะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ในวังนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อีกแล้ว”

ซูหลีร้อง “หา” จากนั้นก็โวยวาย “มิน่าเล่าตอนที่นางชวนข้าเล่นหมากรุก เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ถึงได้เอาแต่หัวเราะแปลกๆ ตลอด”

“มิได้เก่งกาจถึงขนาดที่องค์รัชทายาทกล่าวเสียหน่อยเพคะ” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยขมวดคิ้ว มองหลางฉ่างด้วยสายตาเคืองขุ่นเล็กน้อย วันนี้นางสวมอาภรณ์ฤดูใบไม้ผลิสีเหลืองผลซิ่ง[1] งดงามหรูหรา ขับเน้นให้นัยน์ตาดำขลับดั่งเครื่องเคลือบแวววาว เขาถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบยกถ้วยชาขึ้นจิบ เพื่อปกปิดอาการ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วย “หม่อมฉันฝึกการเดินหมากมาตั้งแต่ยังเล็ก นี่ก็สิบกว่าปีมาแล้ว ย่อมต้องชำนาญบ้าง ฉางเล่อแลกเปลี่ยนความรู้กับหม่อมฉัน จึงไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อ แท้จริงเป็นหม่อมฉันที่เอาเปรียบนาง”

“จริงหรือ? เจ้ากลัวว่าต่อไปข้าจะไม่ยอมเดินหมากกับเจ้าจึงพูดเช่นนี้มากกว่ากระมัง” ซูหลีทำหน้างอ สายตากลับแฝงแววหยอกเย้า

“ข้าพูดจากใจจริง” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเม้มปากยิ้ม แล้วกล่าวด้วยความจริงใจ “ฉางเล่อ ที่จริงแล้วฝีมือและพรสวรรค์การเดินหมากของเจ้าดีมาก เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็ก้าวหน้าถึงขนาดนี้แล้ว ถือว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว ตั้งใจร่ำเรียน หากใช้เวลาอีกหน่อย จะต้องมีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้น คงถึงคราวของข้าที่ต้องเป็นฝ่ายแสดงความไม่พอใจต่อเจ้าบ้างแล้ว”

ซูหลีแสร้งทำหน้าตาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน วันนั้นจะต้องมาถึงในอีกไม่ช้าแน่นอน!”

สองสาวมองหน้ากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า สุดท้ายก็กลั้นขำไม่ไหว ต่างหลุดหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ

แม้ถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับไม่ได้มีอคติ ตรงกันข้ามนางกลับชื่นชมสติปัญญาและความกล้าหาญของซูหลี ขณะเดียวกันน้ำใจอันกว้างขวางของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ก็ทำให้ซูหลีรู้สึกดีกับนางมาก

เข้าวังมาหนึ่งเดือน ทั้งสองมีโอกาสทำความรู้จักกันค่อนข้างมาก จึงค่อยๆ สนิทสนมกัน ต่อมาซูหลีรู้จากฮองเฮาว่า มารดาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสิ้นลมยามคลอดนาง บิดาซั่งกวนเจิ้งเต๋อ เป็นแม่ทัพปกป้องบ้านเมือง เป็นคนตระกูลเดียวกับซั่งกวนฮองเฮา ตายในสนามรบยามนางอายุได้ห้าขวบ ซั่งกวนฮองเฮาสงสารที่นางสูญเสียบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก จึงรับนางมาอยู่ในวัง แล้วเลี้ยงดูนางด้วยตนเองจนเติบโต ฮ่องเต้แคว้นติ้งเห็นแก่ผลงานของแม่ทัพซั่งกวน ที่ยอมสละชีพเพื่อแผ่นดิน จึงแต่งตั้งซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเป็นท่านหญิง และอยู่ด้วยเงินเบี้ยหวัดของบิดานางไปตลอดชีพ

ซูหลีรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สตรีที่งามทั้งภายนอกและภายในเช่นนี้ กลับต้องสูญเสียบิดาไปตั้งแต่ยังเล็ก มีปูมหลังที่น่าเวทนา ทว่ากลับมีนิสัยอ่อนโยน มีหัวใจอันปราดเปรื่องมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งรู้จักนานเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไม่เพียงเป็นคนอ่อนโยนใจกว้าง ประพฤติตนอย่างเหมาะสม ซ้ำยังมีความรู้กว้างไกล มีทักษะการเล่นหมากล้อมที่ยอดเยี่ยม มีฉายาว่าเป็นขงเบ้งหญิง ยามซั่งกวนฮองเฮาดูแลจัดการวังหลังแล้วเจอปัญหารับมือยาก ก็มักถามความเห็นนางบ่อยๆ เรียกได้ว่า ทั่วทั้งวังหลวง ไม่มีผู้ใดไม่ชื่นชอบท่านหญิงที่มีจิตใจงดงามท่านนี้เลยแม้แต่คนเดียว

หลางฉ่างพลันตีหน้าผากตนเอง ยิ้มพลางกล่าวว่า “มัวแต่คุยเล่น ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท” เขาโบกมือไปนอกศาลา ก็มีบ่าวรับใช้สองคนยกกล่องไม้กล่องหนึ่งเข้ามา “เสด็จพ่อให้ข้านำสิ่งนี้มาให้เจ้า”

ครั้นเปิดฝากล่อง ก็เห็นข้างในเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองหลากหลายรูปแบบ ประกายอัญมณีระยิบระยับจนลืมตาไม่ขึ้น ซูหลีตะลึงงัน รู้สึกหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวหยอกเย้า “ดูท่าฝ่าบาทคงคิดจะย้ายสมบัติในวังหลวงมาไว้ที่จวนเจ้า อีกไม่นาน ตำหนักฉางเซิงคงกลายเป็นตำหนักฉางเป่า[2]แล้ว”

ซูหลีทั้งรู้สึกซาบซึ้งระคนจนใจ ประสานมือทำท่าอ้อนวอน “หม่อมฉันขอร้องเสด็จพี่ ช่วยทูลเสด็จพ่อที อย่าส่งของมาที่นี่อีกเลย มิเช่นนั้นเกรงว่าฉางเล่อคงต้องออกมานอนนอกตำหนักฉางเซิงแล้ว” ตั้งแต่คืนดีกับตงฟางเจ๋อ และกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอย่างราบรื่น ปมในใจของนางถูกคลาย ใบหน้ามักเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ผ่อนคลายมากขึ้น และมักพูดจาหยอกล้อกับทุกคนบ่อยๆ

หลางฉ่างหลุดหัวเราะ แสร้งกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ยามนี้ในใจเสด็จพ่อ เจ้าเปรียบเสมือนไข่มุกล้ำค่าที่ประคองไว้กลางฝ่ามือ เสด็จพ่อแม้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้เจ้าทั้งหมดก็ยังกลัวจะไม่พอ จะยอมฟังคำข้าได้อย่างไร”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “แม้แต่ยามเสวยพระกระยาหารฝ่าบาทก็ยังให้ฉางเล่อเสวยด้วยทุกมื้อ ไม่เช่นนั้นก็เสวยไม่ลง เห็นได้ว่าฝ่าบาทรักเจ้าเพียงใด”

ซูหลีเพียงแย้มยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ลึกๆ ในใจบังเกิดความกังวล นางก้มมองกล่องสมบัติ  ฮ่องเต้แคว้นติ้งเหมือนกำลังพยายามชดเชยความรักของบิดาที่นางขาดมาตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา รักและดีกับนางอย่างถึงที่สุด ไม่อยากให้นางไม่พอใจแม้แต่น้อย แม้แต่ซั่งกวนฮองเฮา ก็ยังรักและห่วงใยนางไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ของตนเอง ช่วงชีวิตเช่นนี้ เหมือนได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อนก่อนแต่งงานออกไป ไร้ซึ่งเรื่องทุกข์ใจ

เพราะเป็นเช่นนี้ ซูหลีจึงมีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง ยามนี้มีนางคอยอยู่เคียงข้างทุกวัน พูดคุยคลายความเหงา ความกลัดกลุ้มในใจของฮ่องเต้แคว้นติ้งเริ่มน้อยลง กอปรกับมีเจียงหยวนคอยช่วยจัดยารักษา สภาพจิตใจจึงดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไรอาการป่วยของเขาก็ร้ายแรงและรักษายาก เรียกได้ว่ายื้ออาการไปวันต่อวัน นับตั้งแต่ที่ซูหลีผ่านความทุกข์ยากมาสารพัดรูปแบบ นางก็กลัวที่จะมีห่วงในโลกมนุษย์อีก แต่นี่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน นางกลับเริ่มมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์แล้ว

………………………………………


[1] ผลซิ่ง คือ แอปริคอต (Apricot)

[2] เป่า แปลว่า สมบัติ