คนผู้นี้…ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วย…
หรือพูดให้ถูกก็คือ ภายนอกเขาอาจยังคงเอกลักษณ์ของมนุษย์ไว้ แต่ความจริงภายในร่างกายของเขากลับถูกสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาแทนที่นานแล้ว…
และหลิงม่อ…ก็มองเห็นแล้ว…
เจ้าสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสมองของศพ และถูกหลิงม่อโจมตีจนกลายเป็นเศษเนื้อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็น…
“เจ้าสิ่งนี้…” หลิงม่อก้มมองที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง สายตาฉายแววแปลกไปเพียงเสี้ยววินาทีจนแทบจับสังเกตไม่ทัน
“หลิงม่อ” เสียงของสวี่ซูหานดังมาจากข้างหลัง
“หื้ม?” หลิงม่อพลันได้สติ และตอบรับโดยไม่หันมามอง
“ศพนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เราเข้าสู่สภาวะ ‘ลืมเลือน’ เลยนะ” สวี่ซูหานบอก
กู่ซวงซวงกลับมองพวกเขาอย่างงงงัน…เธอยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ใช่…เขาไม่ได้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งขนาดนั้น” ซย่าน่าพยักหน้า
หลิงม่อหันไปมองนอกประตู พูดเสียงเย็นชา “อื่ม ไม่ว่าตัวการจะเป็นใคร แต่มั่นใจได้เลยว่าเขาอยู่ในอาคารหลังนี้”
“ทำไมถึงคิดอย่างนี้ล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย
“หนึ่งเพราะฉันสัมผัสได้รางๆ สองเพราะความเข้าใจที่ฉันมีต่อพลังจิตทำให้ฉันมั่นใจขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ลองคิดดูนะ พวกเราลืมเลือนกู่ซวงซวงไปตั้งแต่ตอนไหน?” หลิงม่อถาม
ซย่าน่ากัดเล็บแล้วครุ่นคิด บอกว่า “น่าจะตอนที่…ตอนที่อยู่ลานจอดรถ หรือก็คือตอนที่เจอกับผู้ลอบโจมตีล่ะมั้ง…”
“ถูกต้อง ตอนนั้นแหละ ดังนั้นพวกเรามั่นใจได้ว่าคนผู้นี้เริ่มใช้ความสามารถพิเศษตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประกอบกับการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ฉันมีเหตุผลให้เชื่อว่าม่านพลังสกัดกั้นของอีกฝ่ายถูกใช้พร้อมกันในหลากหลายรูปแบบ และ ‘ภาวะลืมเลือน’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราอย่างนี้ จึงยากที่พวกเราจะกำจัดม่านพลังแบบนี้ให้สิ้นซากได้” หลิงม่อวิเคราะห์
สวี่ซูหานพยักหน้าอย่างกระจ่าง แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้วแล้วถามอีกว่า “แต่ว่าตำแหน่งของเขา…”
“ฉันกำลังจะพูดเรื่องนี้พอดี พลังของเขาไม่ได้มีแค่ม่านพลังอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพื่อดำเนินการเงียบๆ ซึ่งก็หมายความว่า…”
“เขาอาจฉวยโอกาสตามเรามาก็ได้!” ซย่าน่าตระหนักได้ทันที พลางบอกว่า “ฉันเข้าใจแล้ว! เทียบกับม่านพลังสกัดกั้นที่คลอบคลุมขอบเขตกว้าง พลังของคนผู้นี้เป็นแบบเล่นงานรายคนมากกว่า! และพลังแบบนี้ก็ไม่สามารถใช้จากระยะไกลได้…ถ้าไม่อย่างนั้น ตอนที่พวกเราจำกู่ซวงซวงได้เขาคงทำให้พวกเราลืมเลือนเธอไปอีกครั้งแล้ว! ถ้าหากเป็นอย่างนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คงให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว! อย่างน้อย หนึ่งในพวกเราก็จะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน!”
“ใช่ และเพราะเหตุนี้…เป็นไปได้มากว่าพวกเราอาจเคยเห็นเขา แต่ก็ลืมไปแล้ว บางที…พวกเราอาจเป็นตอนก่อนหรือหลังการซุ่มโจมตีเกิดขึ้นก็ได้…” สวี่ซูหานพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด ฟังแวบแรก ความสามารถพิเศษอย่างนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ความจริงแล้วยิ่งคิดกลับยิ่งค้นพบว่ามันช่างเป็นพลังที่น่ากลัว…
“อื่ม ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของฉัน แต่มันกลับมีความเป็นไปได้สูงมาก เมื่อกี้คนผู้นี้ไม่ปรากฏตัว อาจเป็นเพราะรอบคอบมาก หรือไม่ก็เพราะกลัวตายเฉยๆ และแน่นอนว่าอาจเป็นไปได้เช่นกันว่าเพราะเขาต้องเผาเผลาญพลังงานจำนวนมหาศาล จึงไม่อาจใช้พลังแบบนี้ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากภาวะลืมเลือนแล้ว เขายังต้องสร้างม่านพลังสกัดกั้น เพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสของพวกเราไปพร้อมๆ กันด้วย เรื่องนี้ กู่ซวงซวงกับซย่าน่าน่าจะรู้ดีนะ” หลิงม่อหันไปมองพวกเธอ ส่วนสองสาวหลังจากสบตากัน ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“พลังแบบนี้อันตรายต่อพวกเรามาก ฉะนั้น…ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่สามารถใช้พลังนี้ได้ชั่วคราว งั้นพวกเราก็ต้องฉวยโอกาสนี้กำจัดเขาซะ” หลิงม่อพูดเสียงเย็นชา
“แต่…ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในกับดักของอีกฝ่ายอยู่เลยนะ…” กู่ซวงซวงกลับพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หลิงม่อหันไปยิ้มให้เธอ แล้วย้อนถาม “แล้วยังไงล่ะ?” และพูดต่อด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ถึงจะอยู่ในกับดักของเขา พวกเราก็ฆ่าเขาได้ พลังพิเศษเมื่อถูกอ่านออก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกทำลาย ตอนนี้พวกเขาพลาดท่าไปแล้วหนึ่งครั้ง ทั้งที่วัดจากความกลัวและแตกตื่น พวกเขาน่าจะชนะเราด้วยซ้ำ…”
“อา…จริงด้วย…” ถูกดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าของหลิงม่อจ้องอย่างนั้น หัวใจของกู่ซวงซวงพลันเต้นเร็วขึ้นชั่วขณะ ทว่าเธอเพิ่งจะหน้าแดง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ซูหานทันที สองสาวสบตากันโดยมีหน้ากากบางๆ กั้นกลาง แต่ต่างคนต่างก็รีบหันหน้าหนีไปคนละทาง…
แฟนสาวตัวจริงสามคนไม่เห็นพูดอะไรซักคำ แล้วพวกเราจะมาสบตากันเพื่ออะไรเล่า! น่าขายหน้าจริงๆ เลย…
สวี่ซูหานลอบหยิกตัวเองเงียบๆ พลางคิดในใจ ทว่าพอเธอเหลือบมองกู่ซวงซวงที่ก้มหน้าก้มตา ก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่หลิงม่อที่หมุนกายเดินออกนอกห้องไปแล้ว “เป็นเพราะตาบ้าคนนี้แท้ๆ รู้ทั้งรู้ว่าดวงตาของตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น ก็ยังไปสบตาปล่อยไฟสปาร์คใส่คนอื่นเขาไปทั่ว! เอ๊ะ…พิเศษ? จะว่าไปแล้ว…บางครั้งสายตาของเขาก็แปลกมากจริงๆ…”
เวลาสายตาของเขาแฝงไว้ด้วยรังสีอำมหิต ก็จะทำให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวกว่าปกติ…แต่ในยามปกติ…ก็เหมือนจะใช้ทำอย่างอื่นได้ด้วยนะ…
“เดี๋ยวก่อน…นี่เขากำลังลอบโปรยเสน่ห์เงียบๆ ไม่ใช่หรอ! ไม่น่าล่ะหมู่นี้ฉันถึงได้รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ได้เห็นเขา ที่แท้ก็เป็นความผิดของเขา! ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นเพราะพลังจิตของเขาแน่ๆ! แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นพลังแบบไหนกันแน่…” สวี่ซูหานลอบคิดอย่างสงสัย
และในตอนนี้เอง หลิงม่อเองก็เหลือบมองเธอเงียบๆ แวบหนึ่ง…
เขาเหลือบมองสวี่ซูหานกับกู่ซวงซวงก่อน จากนั้นก็หันไปซย่าน่ากับหลี่ย่าหลิน และสุดท้ายก็หยุดมองที่เย่เลี่ยนซึ่งกำลังเหม่อลอย
“ไม่คิดเลย…เรายังไม่ทันได้ไปตามหาเธอ…เธอก็มาหาถึงที่ก่อนแล้ว…ถึงแม้จะไม่เหมือนกับที่พูดกันไว้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็จะ…แต่ว่าเธอเองก็ไม่ใช่คนที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ ยิ่งเมื่อในตัวของเรามีเมล็ดพันธ์ที่เธอหว่านไว้ด้วยแล้ว…ถ้าหากว่า…” สภาพของศพเมื่อกี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่ออีกครั้ง…แต่ไม่นานเขาก็สะบัดหัวไปมา “น่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน…ถ้าหากว่าเธออยากให้เรากลายเป็นหุ่นเชิดแบบนั้น คงลงมือไปนานแล้ว”
“อีกทั้ง…ยังไม่พูดถึงผู้ลอบโจมตีคนนี้ คนที่สามารถทำให้พวกเราลืมเลือนกันเองได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งแน่นอน…ม่านพลังที่ถูกซย่าน่าฟันในตอนนั้น เป็นพลังของมนุษย์แน่นอน…” หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ “แต่ว่า…ทำไมมนุษย์ถึงไปอยู่กับเธอได้ล่ะ? มนุษย์คนนี้เป็นใครมาจากไหนกัน? คนที่ตั้งใจมาดักซุ่มโจมตีเขาถึงที่นี่ จะต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนิพพานถึงจะถูก…”
“ปัญหามีมากเกินไป…แต่เดาว่าเธอคงคิดไม่ถึงว่าพลังสัมผัสรู้ของเราสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างพลังจิตของมนุษย์กับซอมบี้ได้ ดังนั้นกลยุทธ์อำพรางตัวท่ามกลางระเบิดควันของเธอก็ล้มเหลวแล้วล่ะ ต่อไป ก็เหลือแค่ต้องจับผู้รอดชีวิตคนนั้นมา เราก็จะได้รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…”