ตีอะไรของข้านะ

หลังจากที่พูดกับหวังเฉินต่ออีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็กลับไปยังนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อดูว่าซูหยางออกมาจากสมาธิหรือยัง ในเมื่อเธอมีคำถามสองสามคำถามที่เธอต้องการถามเขา

 

“ซูหยาง” หวังชูเหรินค่อนข้างสับสนเมื่อสิ่งแรกที่เธอสังเกตพบขณะที่เดินเข้าไปในบ้านของตนเอง นั่นคือซูหยางกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายๆบนเก้าอี้ของเธอ

 

เขาทำท่าทางสบายใจได้อย่างไรหลังจากที่ฆ่าคนจากตระกูลหวัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่กลัวตระกูลหวัง อย่างน้อยเขาควรระมัดระวังผลที่จะตามมา ในเมื่อเขาไม่เพียงฆ่าคนจากตระกูลหวังแต่เป็นศิษย์ในของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในอาณาเขตของอีกฝ่ายด้วย

 

ถ้านิกายดอกบัวเพลิงพบเห็น พวกเขาอาจจะไล่ล่าเขา

 

“มีอะไรผิดปกติรึ หน้าตาของเจ้าเต็มไปด้วยความกังวล” ซูหยางวางถ้วยชาลงและกล่าว

 

“ข้ามีสองสามคำถามที่อยากจะถามท่าน…และข้าจะยินดียิ่งหากว่าท่านจะพูดความจริง” หวังชูเหรินเตรียมตัวที่จะถามเขา “เป็นเรื่องเกี่ยวกับหวังหมิง…”

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทันได้ถามเขา ซูหยางก็อ้าปากพูดด้วยเสียงปกติ “ใช่ ข้าฆ่าเจ้านั่นเอง”

 

หวังชูเหรินตาโต แม้ว่าเธอได้คาดเดาว่าเขาต้องเป็นคนฆ่าหวังหมิง เธอจึงไม่ตระหนกกับการเปิดเผย กลับกัน เธอแปลกใจว่าทำไมเขาจึงไม่ไยดีกับเรื่องทั้งหมดนี้

 

“เจ้าโกรธที่ข้าฆ่าคนจากตระกูลเจ้ารึ เจ้าต้องการแก้แค้นรึ” ซูหยางพลันถามเธอเสียงของเขายังคงวางเฉยดังเช่นปกติ

 

อย่างไรก็ตาม หวังชูเหรินสามารถบอกได้ว่าซูหยางเพียงทดสอบเธอ เธอจึงตอบสนองว่า “ไม่ ข้ามิได้รู้สึกอะไรเลยกับการตายของเจ้าสัตว์นั่น และเจ้านั่นสมควรที่จะได้รับผลเช่นนั้นแล้วกับสิ่งที่เขาได้ทำ ตรงกันข้าม ข้ายังต้องขอขอบคุณที่ช่วยจัดการเขา ในเมื่อข้ามิอาจเพราะว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่ของเขา แต่ถ้าท่านมิถือข้าพอจะถามหน่อยได้ไหมว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น”

 

“ข้ามิชอบเจ้านั่น ก็เท่านั้นเอง” ซูหยางให้คำตอบง่ายๆกับเธอ แต่คำตอบเช่นนั้นทำให้หวังชูเหรินสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เขาเสี่ยงต่อทั้งนิกายดอกบัวเพลิง และตระกูลหวัง ที่จะตามล่าเขา เพียงแค่เพื่อฆ่าหวังหมิงเพราะว่าเขาไม่ชอบหวังหมิง นี่เป็นเพราะว่าเขาเพียงเป็นคนหยิ่งยะโสเกินไป หรือว่ามั่นใจในตนเองถึงที่สุดว่าไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้กันแน่” หวังชูเหรินครุ่นคิด

 

ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม การกระทำของเขาพิสูจน์ว่า ตัวตนของซูหยางนั้นอันตรายมากเพียงใด ไม่เพียงแต่เขามีความสามารถอันท้าทายสวรรค์ แต่กระทั่งเบื้องหลังของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่ดูแคลนได้

 

การล่วงเกินคนที่อันตรายอย่างเช่นซูหยางก็เหมือนกับการหาที่ตาย ไม่ใช่…มันควรเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าหาที่ตายและควรเหมือนกับการอ้อนวอนให้ช่วยฆ่า

 

“เช่นนั้น ถ้าเจ้ามิมาที่นี่เพื่อแก้แค้นเจ้าตัวตลกนั่น เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่” ซูหยางถามเธอ

 

“อืมม…นี่เป็นบ้านข้ามิใช่รึ” หวังชูเหรินกล่าวด้วยใบหน้าสับสน

 

“โอ้ ใช่” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกสุขสบายจนเขาคิดว่าอยู่ที่บ้านตนเอง

 

“จะว่าไปแล้ว ข้าจักทำเหมือนกับว่าหวังหมิงสิ้นชีวิตตามปกติ ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงและตระกูลหวัง ตราบเท่าที่ข้ามิกล่าวอะไร มีโอกาสเป็นศูนย์ที่ความจริงนี้จะเปิดเผย”

 

“นั่นมิถือว่าเป็นการกระทำของคนทรยศรึ” ซูหยางยิ้ม

 

หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้ายินดีทรยศต่อตระกูลและนิกายถ้าหากว่าเป็นเพราะท่าน…”

 

หวังชูเหรินพลันหน้าแดงหลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้น เธอได้พูดออกไปโดยไม่คิดและจินตนาการไม่ถูกว่าคำพูดเหล่านั้นจะมาจากปากของเธอได้แม้จะผ่านไปนับล้านปี

 

“ช่างน่าชื่นชม…” ซูหยางยิ้ม

 

“ช-เช่นนั้น การฝึกฝนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านได้รับผลที่ต้องการหรือไม่” หวังชูเหรินตัดสินใจลดความอายของตนเองด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

 

ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรแต่เพียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

 

“นั่นจึงดูเหมือนว่าท่านกำลังมีความสุข ต้องการที่จะบอกข้าบ้างหรือไม่”

 

“เจ้าคงมิเชื่อถึงแม้ว่าข้าบอกออกไป”

 

“ลองดูสิ”

 

ซูหยางส่ายหน้าและยืนขึ้นจากที่นั่งและกล่าวว่า “เชื่อข้าเถอะ เจ้ามิต้องการที่จะรู้ เช่นนั้น ข้าควรจะไปได้แล้วตอนนี้ ข้าอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว”

 

หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรพูดกับเขาว่าอะไรดี จึงได้แต่มองดูเขาตรงไปที่ประตู มันเหมือนกับว่าริมฝีปากเธอถูกเย็บติด บังคับให้เธอได้แต่มองเขาจากไปอย่างเงียบๆ

 

ถึงที่สุด นี่ก็บ่งบอกได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาว่ามีมากน้อยเพียงใด แม่ว่าเขาจะทำเหมือนกับว่าเธอเป็นศิษย์ของเขา กระทั่งสั่งสอนเธอ แต่พวกเขาก็เพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น และหวังชูเหรินไม่อาจคิดหาเหตุผลอะไรที่จะพูดกับเขา ในเมื่อเธอไม่มีฐานะใดที่จะบอกเขาให้อยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้

 

สุดท้าย หวังชูเหรินได้แต่บอกลาซูหยางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้ามีเสน่ห์นั้น “ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจักอยู่ที่นี่ตราบที่ท่านต้องการข้าอีกครั้ง”

 

ถ้านั่นเป็นใครสักคนพวกเขาคงจะหันกายมามองดวงตาฝืนใจของหวังชูเหริน กระทั่งโอบกอดเธอขณะที่บอกเธอว่าเขาจะอยู่ต่อเพื่อเธอ

 

ซูหยางไม่มองกลับไปและยังคงเดินต่อไป แต่สองสามวินาทีหลังจากนั้น เขานำเอาม้วนหนังสือออกมาจากแหวนมิติและโยนมันให้หวังชูเหริน

 

“ศึกษาตำรับยาเหล่านี้ยามเมื่อข้าไม่อยู่ และบางทีข้าอาจจะกลับมาในอนาคตเพื่อให้เจ้าช่วยกับยาพวกนั้นหรือมากกว่านั้น ใครจะรู้…”

 

หวังชูเหรินรับตำรับยาเหล่านั้นด้วยหน้าตาดีใจ แม้ว่าเธอยังไม่ทันได้ดูตำรับยาเหล่านี้ เธอก็มั่นใจว่าพวกมันล้วนเป็นยาที่ทรงค่ามหาศาลและน่าจะนำความตระหนกมาให้แก่โลกถ้าได้รับรู้

 

“และอย่าขี้เกียจในวิชาของเจ้าเพียงเพราะว่าดีกว่าก่อนเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าจักตีก้นเจ้าเป็นการลงโทษ” ซูหยางกล่าวขณะหัวเราะเสียงดังก้อง

 

“ตีอะไรของข้านะ–” หวังชูเหรินปิดบั้นท้ายกลมมนของเธอตามสัญชาตญาณ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และบนใบหน้าของเธอมีท่าทางสับสนปะปนอยู่กับความเอียงอาย คำพูดสุดท้ายของเขาเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกับการปรากฏตัวของเขาในนิกายดอกบัวเพลิง และนั่นทำให้ภาพพจน์อันหล่อเหลาและลึกลับของซูหยางในใจเธอมีความลามกขึ้นมากกว่าเดิม

 

“ช่างเป็นชายที่อันตราย” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่มองร่างของซูหยางเดินหายไปจากสายตา