เมื่อมือของเทาเท่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหลินจือก็จึงเป็นคนขับรถของเทาเท่ไปที่โรงพยาบาล
เพราะร้อนใจ เธอจึงขับรถด้วยความเร็ว ซึ่งไม่ใช่แนวการขับรถที่ใจเย็นของเธอ ค่อนคืนดึกดื่น บวกกับท้องถนนที่โล่งโปร่ง ตลอดทางก็จึงไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
ผิดกับความตื่นตระหนกของหลินจือ เทาเท่นั่งอยู่อย่างสบายอารมณ์ในที่นั่งด้านข้างคนขับ ในขณะที่กำลังติดไฟแดงจึงถามหลินจืออย่างมีเจตนาแฝง“เป็นห่วงผมมากเหรอ?”
หลินจือรู้สึกว่าเขาคงเป็นบ้าไปแล้ว นี่มันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เธอจะไม่เป็นห่วงได้ยังไง ?
“คุณอย่าคลั่งรักให้มันมาก นี่มันความเป็นความตายนะ หากคนที่ถูกเจ้าเล็กข่วนเป็นคนอื่น ฉันก็จะรีบพาเขาไปโรงพยาบาลเหมือนกัน”หลินจือตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เหยียบคันเร่งแล้วมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาล
เทาเท่ถูกคำว่า“คลั่งรัก”ของเธอตอกกลับจนหงายเงิบ อีกทั้ง คำว่าคลั่งรักนี้ เธอคิดยังไงถึงได้พูดมันกับเขา ?
เขาเข้าข่ายตรงไหน ?
หลังจากที่หงุดหงิดอยู่สักพักเทาเท่ก็สงบลง เพราะกับหลินจือในตอนนี้ เขาก็ดูเหมือนจะคลั่งรักจริงๆ
และตอนนี้ไม่ว่าเธอจะทำอะไรสำหรับเขาแล้วมันก็ดีทั้งนั้น เธอร้องขออะไรกับเขาก็พร้อมจะตอบตกลง เสียดายก็แต่เธอไม่ขออะไรเลย
เดินทางไปโรงพยาบาล ทำการนัดหมายฉุกเฉิน หลังจากที่หมอตรวจเช็กอาการก็บอกว่าไม่เพียงต้องฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แต่ยังต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินด้วย
หลินจือรับใบสั่งยาที่หมอเขียนให้แล้วรีบไปชำระเงิน เทาเท่ขวางเธอไว้“ผมไปจ่ายเอง ”
หลินจือไม่ยินยอม“แมวของฉัน ฉันต้องรับผิดชอบ”
เมื่อเทาเท่ได้ยินว่าเธอจะรับผิดชอบ ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยความโกรธ“หลินจือ หากจะรับผิดชอบผม คุณควรรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นของเช้าวันนั้นที่โรงแรมจะดีกว่า ”
ในตอนแรกหลินจือยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เทาเท่กัดฟันและพูดเสียงเบาว่า“คุณทำผมซะขนาดนั้น ต่อไปหากร่างกายของผมเกิดความผิดปรกติอะไร คุณต้องรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของผม”
ใบหน้าของหลินจือเห่อร้อนขึ้นมา เดิมทีเธอได้พยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นไปแล้ว ในตอนค่ำที่เขามาหาเธอแล้วบอกว่ามาดูแมวเธอก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่คิดว่าในตอนนี้เขาจะเอ่ยพูดถึงมันขึ้นมา
นี่เขาไม่ดูเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ยังมีกะใจเอาเรื่องนี้มาพูดอีก!
ทั้งอายและทั้งโมโห หลินจือถือใบสั่งยาหันหลังแล้วไปชำระเงิน ไม่อยากจะพูดอะไรกับเทาเท่อีก
เทาเท่ก็ไม่ยื้อแย่งอะไรกับเธอเรื่องค่าใช้จ่ายนี้อีก หลังจากที่หลินจือชำระเงินแล้วเสร็จก็เดินตามไปฉีดยาอย่างว่าง่าย
เดิมทีเทาเท่คิดว่าคงเป็นเพียงแค่การฉีดยาไม่กี่เข็มเท่านั้น แต่หลังจากที่ฉีดอิมมูโนโกลบูลิไม่กี่เข็มที่ว่านี้แล้ว ร่างทั้งร่างของเขาก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
มันเจ็บปวดมาก
ชายหนุ่มร่างกายกำยำอย่างเขาน้ำตาแทบเล็ด เขากัดฟันแน่อดทนต่อความเจ็บปวด บนใบหน้าก็พยายามไม่แสดงอาการอะไร แต่ภายในใจนั้นแสนทุกข์ทรมาน
ไม่โกรธเกลียดใคร แต่โกรธเกลียดตัวเอง
เขาไม่น่าซื้อแมวตัวนั้นมาเลย!
คนอื่นที่เขาเลี้ยงแมวก็เพื่อความสุข แต่ที่เขาซื้อมันมาก็แทบจะเอาชีวิต
แน่นอนว่าแมวนั้นเหมือนเจ้าของ แมวตัวนั้นเหมือนเจ้าของของมัน แทบจะเอาชีวิตเขาให้ได้
หลินจือมองไปยังหลังมือที่บวมแดง รู้สึกผิดขึ้นมา“ เจ็บมากไหม?”
หลินจือไม่เคยฉีดยาแบบนี้มาก่อน ดังนั้นก็จึงไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดมาก และไม่รู้ว่ามันจะบวมได้ขนาดนี้
เทาเท่ยิ้มเยาะและพูดว่า “ไม่เจ็บ แต่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ”
หลินจือ“……”
นี่เขาพูดตรงๆว่าเจ็บก็จบไหม ?
“ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่าเจ้าเล็กจะทำแบบนี้”
เทาเท่ทนดูเธอรู้สึกผิดแบบนี้ไม่ได้ เม้มปากแล้วพูดว่า “ ผมเป็นคนซื้อแมวมาเอง และผมก็ไปจับมันเอง คุณไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษผม ”
ต้องรู้ว่า เมื่อเทียบกับเทาเท่คนเก่าที่ชอบพูดจาส่อเสียดและไม่เคยจะเอาใจใส่เธอ เทาเท่ในตอนนี้อ่อนโยนอย่างมาก อีกทั้งยังพูดปลอบเธอไม่ให้เธอต้องรู้สึกผิดอีก
หลินจืออดไม่ได้ที่จะช้อนตามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า พอดีกับที่เทาเท่ก็มองเธออยู่เช่นกัน
แค่การมองยังไม่เท่าไร แต่หลังจากที่สองสายตาประสานกัน หลินจือก็คิดไปถึงเช้าที่ยุ่งเหยิงและวุ่นวายขึ้นมา สีหน้าก็จึงเขินอายทันที
ภาพเหล่านั้นยังคงวนเวียนติดอยู่ในใจของเธอ และหลินจือก็รู้ว่าจะเจอกับเขาไม่ได้อีก
นานิบอกว่าคงอีกนานกว่าเทาเท่จะกล้ามาเจอเธออีก แต่นี่ยังไงพอเธอกลับมาถึงที่เมืองเจสเวิร์ดเขาก็มาดูแมวที่บ้านของเธอเลยทันที ?
เธอรีบลุกขึ้นด้วยความเขินอายและพูดว่า“คุณเดินได้ไหม ? ฉันจะไปส่งคุณที่บ้าน”
เทาเท่ชำเลืองมองเธออย่างเรียบเฉย ลุกขึ้นและเดินไป
สำหรับเทาเท่ เช้าวันนั้นที่เธอหนีไป มันรู้สึกหงุดหงิดและอับอายจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องรีบบินกลับเมืองเจสเวิร์ดในทันที
แต่ในขณะที่ต้องแยกกันกับเธอ เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีเลย
นอกจากจะคิดถึงเธอแล้ว ยังจำความหงุดหงิดและเขินอายนั้นได้ที่ไหนกัน?
เรื่องการประชุมก็เป็นเรื่องที่เขาเสนอขึ้น เพื่อเรียกตัวเธอกลับจากเปกก้า
หลินจือส่งเทาเท่กลับบ้าน ยืนอยู่ที่หน้าประตูและพูดว่า“หากคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะ ”
หลังจากที่หย่ากันไปนี่เป็นครั้งที่สองในการมาเยือนยังสถานที่ที่เธอเคยอาศัยอยู่กับเทาเท่ เธอไม่อยากจะเหยียบเข้าไปในนั้น
เทาเท่อ่านความคิดของเธอออก ให้เธอดูมือขวาที่บวมแดงของตัวเอง“ ผมเหมือนคนที่สบายดีไหมล่ะ?”
หลินจือยอมจำนน เดินเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
เทาเท่เดินขึ้นไปยังชั้นบน เพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน
เดิมทีอยากจะแกล้งหลินจือ ให้เธอขึ้นมาเปลี่ยนให้ แต่คิดไปคิดมา หากเธอมาเปลี่ยนให้เขาจริงๆ ผลสุดท้ายคนที่จะทุกข์ทรมานก็เป็นตัวเขาเอง
หากเชื้อไฟในร่างกายของเขาถูกจุดติดขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการระบาย สมรรถภาพทางเพศของเขาคงได้บกพร่องขึ้นมาจริงๆแน่
หลังจากที่ลงมายังชั้นล่างหลินจือก็เดินออกมาจากในครัว ในมือมีน้ำแก้วหนึ่งยื่นให้เขา จากนั้นก็ถามเขาว่า“คุณหิวไหม ? เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน ?”
“ไม่ต้อง” แม้เทาเท่จะอยากกินอาหารฝีมือเธอมาก แต่ตอนหัวค่ำเขากินข้าวไปแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่ก็วุ่นกันอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้เขาเองก็ยังรู้สึกปวดอยู่ กินอะไรไม่ลง
หลินจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า“ในเมื่อไม่มีอะไรให้ฉันช่วยแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ ?”
เดิมทีคิดว่าจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เขาก็เปลี่ยนเองไปแล้ว
คิดว่าเขาคงอยากจะกินอะไร แต่เขาก็ไม่กิน น้ำก็หาให้เขาดื่มแล้ว เรื่องอาบน้ำหมอยังไม่อนุญาตให้อาบ หลินจือไม่รู้จะช่วยอะไรเขาแล้ว
เทาเท่พูดอย่างไม่พอใจว่า “ใครบอกว่าไม่มีอะไรให้ช่วย ?”
หลินจือมึนงงสับสน เทาเท่ก็พูดว่า“ คุณนั่งอยู่ตรงนี้ เป็นเพื่อนผม ”
หลินจือ“……”
นี่เขาเป็นเด็กหรือไง
อดีตสามีภรรยาที่หย่าร้างกันไปแล้ว ดึกดื่นค่ำคืนมานั่งจ้องหน้ากันที่โซฟา ตามองตา นี่เขาไม่รู้สึกอะไรมันเลยรึไง ?
ในขณะที่หลินจือกำลังจะลุกขึ้นยืน ก็ได้ยินเทาเท่ถามเธอว่า“ คนบ้านจอร์แดนเขาดีกับคุณไหม?”
เมื่อพูดถึงคนบ้านจอร์แดนและตระกูลแม็กซิมัส ใบหน้าของหลินจือก็เปี่ยมไปด้วยความสุข“ พวกเขาดีกับฉันมาก ความอบอุ่นของคำว่าบ้านที่ฉันไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ที่ตระกูลแม็กซิมัสล้วนเติมเต็มให้ฉันทั้งหมด”
รอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของหลินจือ ทำให้เทาเท่ถึงกับต้องเม้มปากและเงียบไป
เธอบอกว่าเธอไม่เคยได้รู้จักกับความอบอุ่นของคำว่าบ้านมาก่อน คำพูดนี้มันทิ่มแทงหัวใจของเขา
เพราะเธอเองก็เคยสร้างครอบครัวกับเขา เขาไม่เคยให้ความอบอุ่นกับคำว่าบ้านกับเธอเลย