บทที่ 1156 ฉันปิ๊งนายเข้าให้แล้ว!

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“อีกหนึ่งตัวที่ต้องระวังคือผู้หญิงตัวสูงผมลอนนั่น เธอไม่เพียงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีพลังต่อสู้ที่ว่องไวมากด้วย ไม่เพียงเท่านี้ เหมือนว่าดวงตาของเธอจะสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่าได้ ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแน่ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ ทั้งสองสิ่งต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอจึงจะสามารถป้องกันได้สมบูรณ์แบบกว่านี้ และยังสามารถโจมตีในระหว่างป้องกันตัวได้อีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่า วิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ของเธอล้วนพุ่งเป้าไปที่กระดูก กล้ามเนื้อ และดวงตาทั้งสองข้างของเธอ ศัตรูประเภทนี้…ต้องรับมือยากแน่นอน”

“สุดท้ายก็คือผู้หญิงที่สวมหน้ากากบดบังสายตาจากภายนอก การโจมตีของเธออยู่ในระดับธรรมดามาก แต่ความเร็วกลับถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เลว ในสถานการณ์อย่างนั้นเธอยังสามารถขว้างอาวุธออกไปโดยเลี่ยงไม่ให้โดนผู้หญิงผมลอนกับผู้หญิงผมยาวอีกคนได้ แถมยังขว้างโดนเป้าอีกต่างหาก ถือว่ามีศักยภาพแฝงจริงๆ แต่โดยรวมพลังของเธอก็มีเพียงเท่านี้ แต่ว่า…หน้ากากนั่นกลับกวนใจฉันนัก อ้างอิงจากความรู้ทั่วไปของมนุษย์แล้ว แปดถึงเก้าในสิบของคนที่สวมหน้ากากมักจะเป็นโรคจิตกันทั้งนั้น และสิ่งมีชีวิตพิเศษอย่างโรคจิต ก็ไม่อาจตัดสินจากสิ่งที่เห็นภายนอกซะด้วยสิ ฉะนั้น เธอจึงต้องถูกจัดอยู่ในขอบเขตที่พวกเราต้องระวังด้วย ถ้าหากยืนยันว่าเธอเป็นเพียงพวกชอบแต่งตัวเป็นโรคจิตเมื่อไหร่ ค่อยฆ่าทิ้งก็ยังไม่สาย”

“นอกจากพวกเขาสี่คน ยังเหลืออีกหนึ่งคน…และอีกหนึ่งตัว มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นก็เคยลงมือเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีพลังจิต ดังนั้นมองข้ามไปก่อนก็ได้ แต่ว่าตัวนั้น…”

สายตาของเวินเสี่ยวอวี่ฉายแววต่างออกไป น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “เธอค่อนข้างพิเศษ เพราะแม้ฉันจะใช้พลังสัมผัสรู้ ก็ยังไม่อาจมองเห็นระดับวิวัฒนาการของเธอได้อย่างชัดเจน เธอไหวตัวทันก่อนที่หุ่นเชิดจะลอบโจมตี นั่นแสดงว่าเธอไม่ธรรมดาเลย แต่ว่า ในเมื่อเธอเตือนหลิงม่อได้ แต่ทำไมถึงไม่ลงมือด้วยตัวเองล่ะ? หรือเป็นเพราะว่า…ความจริงแล้วพลังต่อสู้ของเธอไม่ได้แข็งแกร่ง มีเพียงพลังสัมผัสรู้เท่านั้นที่ค่อนข้างโดดเด่น? ไม่สิ…ไม่ใช่แน่ ตอนที่เธอร้องเตือน ฉันสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตอย่างชัดเจน ถึงแม้เพียงแค่เสี้ยววินาที แต่พลังสัมผัสรู้ของฉันไม่มีทางผิดพลาดแน่…”

พูดไป เวินเสี่ยวอวี่ก็เงยหน้ามองหลิวหยาง ทว่าสีหน้าของทั้งสองแทบจะเหมือนกัน จึงไม่ต้องสงสัยว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน

“ครั้งแรกล้มเหลวซะแล้ว…”

“แต่ต่อไป…ยังมี…”

“พวกเรามาร่วมมือกับมนุษย์คนนั้น เพื่อลดทอนพลังของพวกเขาให้ได้มากที่สุดกันเถอะ…”

เวินเสี่ยวอวี่โบกมือให้หลิวหยาง บอกว่า “ก่อนที่หลิงม่อจะรู้เรื่องทั้งหมด พยายามหาโอกาสให้ได้ ถ้าหากว่าเป็นไปได้…ก็จับตัวเขามาซะ!”

หลิวหยางหมุนกายเดินออกไป ส่วนเวินเสี่ยวอวี่กลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอพึมพำเสียงเบากับตัวเอง “หล่อเลี้ยงมานานขนาดนี้ ถึงเวลาต้องเก็บเกี่ยวแล้ว…หลิงม่อ ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ…ถึงจะขัดขืนไปก็หนีไม่พ้นจุดจบนี้อยู่ดี…ก็เหมือนกับประโยคที่มนุษย์อย่างพวกนายชอบพูดกันว่า…ฉันปิ๊งนายเข้าแล้ว!…หรือเปล่านะ?”

……

สวบๆ!

ด้านในอาคารออฟฟิศ เงาร่างสองเส้นกำลังพุ่งตัวเข้าไปในทางเดินของชั้นสอง

เพียงแต่ในครรลองสายตาของทั้งสอง อีกฝ่ายกลับ “ไม่มีตัวตน”

สถานการณ์นี้แตกต่างจากสภาวะ “ลืมเลือน” ที่พวกหลิงม่อประสบ หากสรุปคร่าวๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นจากการบิดเบือนประสาทสัมผัสทั้งห้า บวกกับการปิดกั้นทางจิต

ทว่ากับดักประเภทนี้ กลับใช้ไม่ได้ผลกับเฮยซือและอวี๋ซือหรานที่เป็นร่างร่วมกัน

“ระวังหน่อย ถ้าหากว่าอีกฝ่ายซุ่มตัวอยู่ ก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ” เฮยซือที่ตามหลังอยู่เตือนขึ้น ขณะเดียวกันก็กวาดมองสองข้างทางอย่างระแวดระวัง สถานที่แห่งนี้ดูธรรมดามาก พื้นทำจากไม้ ทางเดินทั้งสองฝั่งล้วนมีหน้าต่างกระจก แสงสว่างส่องเข้ามาอย่างทั่วถึง ประตูห้องทำงานเหล่านั้นก็ถูกเปิดทิ้งไว้แทบจะทุกบาน ในห้องเงียบสงัด ไม่มีสรรพเสียงเล็ดลอดออกมา

ทว่าเฮยซือเหลือบมองพื้นแวบหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วคิดทันที “เดิมทีสภาพแวดล้อมอย่างนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามาก เพราะสภาพพื้นมีร่องรอยของการผุพังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเคลื่อนไหวได้เบาอีกแค่ไหน ก็ต้องมีเสียงเล็ดลอดออกมาบ้าง แต่ขนาดยัยโง่เดินเหยียบพื้นไปแล้วฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อย่างนี้ถึงศัตรูจะเดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเราก็คงไม่รู้ตัวแน่ ซึ่งก็หมายความว่า ทันทีที่การจู่โจมปรากฏ พวกเราก็จะเหลือเวลาในการตอบสนอง…น้อยมาก ไม่รู้ว่า…พวกหลิงม่อจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกันอยู่หรือเปล่านะ…”

เฮยซือคาดเดาได้ใกล้เคียงมาก…แต่จุดประสงค์หลักของศัตรูนั้นเพียงเพื่อเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้เท่านั้น ดังนั้นแม้จะมีผู้ซุ่มโจมตี แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดแน่นอน ทว่าถึงอย่างนั้น เพียงสถานการณ์ตอนนี้ก็น่าตื่นตระหนกไม่น้อยแล้ว

“ตรงกันข้าม…ถ้าหากพวกเราหนีออกไปได้ แผนการของอีกฝ่ายก็จะวุ่นวาย” เฮยซือลอบคิด ใบหน้าอ่อนเยาว์ค่อยๆ เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในฐานะสุนัขตัวเมียที่เลือกเดินเส้นทางที่ไม่ธรรมดา…เรื่องที่เธอชอบมากที่สุด ก็คือการทำให้ศัตรูหงุดหงิด ความจริงแล้ว เธอก็ชอบทำแบบนี้กับคนรอบตัวด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่นอกจากสมาชิกทีมปาฏิหาริย์และอวี๋ซือหรานแล้ว เป้าหมายที่เธออยากกวนประสาทอย่างแท้จริงล้วนอยู่ในระดับที่ยากจะรับมือด้วยได้…

และตอนนี้ เธอก็เจออีกแล้ว…

“อีกฝ่ายเตรียมตัวมาอย่างดี แถมยังใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ยอีก ศัตรูประเภทนี้ถือได้ว่ารับมือยาก แต่ยิ่งพวกแกเตรียมการมาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากล่มแผนการของพวกแกให้ไม่เป็นท่ามากเท่านั้น…หึๆๆๆๆ…”

ขณะที่เฮยซือกำลังแค่นหัวเราะเย็นชาในใจ ทันใดนั้นหัวใจกลับหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาของเธอหดตัว หมวกบนหัวถูกปัดปลิวออกไป เส้นไหมสีเงินนับไม่ถ้วนแหวกออกมาจากเส้นผมที่ยาวระส้นเท้า และพุ่งไปทางอวี๋ซือหรานที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็วเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศ

หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ พุ่งไปยังตำแหน่งของอวี๋ซือหรานที่เธอสัมผัสรู้ผ่านพลังของเธอ แต่ในครรลองสายตาของเธอ ตรงนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใคร

“ยัยโง่!” เสียงแค่นหัวเราะของเฮยซือเงียบหายไป น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

อวี๋ซือหรานเองก็ตอบสนองแทบจะทันทีเช่นกัน ระหว่างที่เธอกำลังเดินหน้าอยู่ๆ ก็รู้สึกเสียววาบที่ศีรษะ เธอจึงรีบพุ่งตัวไปข้างหน้า บิดหมุนตัวกลางอากาศ และอาศัยแรงโน้มถ่วงเหวี่ยงกรงเล็บข้างหนึ่งออกไป

ทว่าเธอไม่ได้เหวี่ยงกรงเล็บออกไปโดยไร้เป้าหมาย…ในความเป็นจริง เธอต้องการหยั่งเชิงมากกว่า ส่วนเรื่องการป้องกันตัว เธอได้มอบหมายให้เป็นหน้าที่เฮยซือเรียบร้อยแล้ว

ในฐานะที่พวกเธอเป็นร่างร่วม การร่วมมือกันอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันล่วงหน้า ระหว่างลงมือก็ไม่จำเป็นต้องร้องเตือนอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

โครม!

เส้นไหมสีเงินหยุดชะงัก เฮยซือรู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองสัมผัสโดนบางสิ่ง กรงเล็บของอวี๋ซือหรานตึงเกร็งทันทีที่เส้นไหมสีเงินชะงัก เธอยันปลายเท้ากับพื้นหนึ่งที และกระโดดขึ้นกลางอากาศ

“ไม่ใช่ปืน…แต่อีกฝ่ายพกอาวุธมาด้วย…” อวี๋ซือหรานเหลือบมองชายเสื้อตัวเอง ตรงนั้นมีรอยขาดเป็นทางยาวเส้นหนึ่ง ซึ่งนั่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการปกป้องของเฮยซือมาถึงช้า หรือว่าเกิดช่องโหว่แต่อย่างใด…

“เป็นกระแสอากาศ…กระแสอากาศกลุ่มนั้นทำร้ายพวกเราไม่ได้ แต่หากเป็นเสื้อผ้าที่อ่อนแอกว่าพวกเรามากล่ะก็…มนุษย์ไส้กรอกเคยบอกว่าให้รู้จักใช้ข้อมูลที่ได้ในระหว่างการต่อสู้ให้เกิดประโยชน์ ถ้าหากวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี ก็จะค้นพบต้นตอของปัญหา และจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ในที่สุด…”

“ถ้าอย่างนั้น จุดอ่อนของศัตรูคนนี้…คืออะไร!”