ถึงแม้ตัวอวี๋ซือหรานเองจะไม่อยากยอมรับ แต่ความเป็นจริงเมื่อเธอมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มากขึ้นโดยเฉพาะกับหลิงม่อ เธอก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่น้อยแล้ว แม้ว่าสัญชาตญาณและจิตสำนึกของเธอจะยังคงเป็นแค่ซอมบี้ แต่ทว่าในด้านความคิดความอ่านเธอกลับคล้ายหลิงม่อเข้าไปทุกที
ระหว่างที่ครุ่นคิด มือเธอก็ยังคงขยับไปมาไม่หยุดพัก
และแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นคู่ต่อสู้ มองไม่เห็นการโจมตีด้วยการใช้เส้นไหมสีเงินของเฮยซือ แต่สำหรับเธอแล้วเฮยซือนั้นเป็นดวงตาอีกคู่ของเธอ และเช่นเดียวกับที่เธอก็คือดวงตาอีกคู่ของเฮยซือด้วย
จะว่าไปแล้ว การสื่อสารระหว่างกันของพวกเธอก็เหมือนกับการที่สมองของมนุษย์คนหนึ่งทำงาน
สามารถควบคุมให้หยุดหรือทำให้ค่อยๆ ทำงานอย่างช้าๆ แต่หากว่าเกิดให้ความสำคัญกับสิ่งใดแล้วละก็ ความเร็วในการคิดการอ่านก็จะพุ่งทะยานสูงขึ้นไร้ขีดจำกัด
เร็วถึงกระทั่งสามารถประมวลผลประโยคมากมายนับไม่ถ้วนที่ปรากฏผ่านสมองได้ในชั่วพริบตาเดียว
สิ่งที่ว่าไปนั้น สำหรับเฮยซือแล้วยังมีความเป็นไปได้ แต่ทว่าสำหรับอวี๋ซือหรานที่ไม่ได้มีพลังจิตโดดเด่นเสียเท่าไหร่ เรื่องนี้ดูจะลำบากมาก
และถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่หากเมื่อใดที่เฮยซือเริ่มเปิดโหมดจริงจัง การเคลื่อนไหวของพวกเธอก็จะเหมือนหุ่นยนต์ที่ได้รับคำสั่งจากหอบัญชาการเดียวกัน
ว่าง่ายๆ ก็คือจังหวะประสานของพวกเธอนั้น…ไร้ขีดจำกัดนั่นเอง
อวี๋ซือหรานเพิ่งจะเริ่มใช้สมองใคร่ครวญ ในทางกลับกันทางฝั่งเฮยซือหาคำตอบได้แล้ว
ด้วยการใช้ประโยชน์จากมุมมองที่แตกต่างของดวงตาทั้งสองคู่ เธอก็เข้าใจทันที ต่างกับอวี๋ซือหรานที่ตอนนี้ยังคงล่องลอย ยังมิได้คำตอบแต่อย่างใด
“ยัยโง่ มันคือกระแสอากาศ! กระแสอากาศคือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของศัตรู!”
ในขณะที่เฮยซือพูด อวี๋ซือหรานก็เหวี่ยงมือออกไปแล้ว
ทิศทางตรงข้ามกับที่กระแสอากาศพัดมา นั่นล่ะคือตำแหน่งจุดอ่อนของอีกฝ่าย!
หากโจมตีตำแหน่งอื่นๆ คู่ต่อสู้จะยังสามารถป้องกันได้ทันกาล อวี๋ซือหรานก็อาจคว้าน้ำเหลว…แต่ถ้าเปลี่ยนไปโจมตีมือข้างที่ถืออาวุธนั่นแทนล่ะ?
แม้ว่าอวี๋ซือหรานจะสัมผัสได้ถึงกระแสอากาศ แต่ก็ยังไขจุดสำคัญนั้นไม่ออก แนวคิดของเธอช่วยให้เฮยซือเริ่มไขข้อสงสัยนี้ได้
การอำพรางตัวสามารถไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย การสู้รบตบมือกับศัตรูที่มองไม่เห็นเช่นนี้ เราเป็นฝ่ายเป็นต่ออย่างแน่นอน
แม้แต่เส้นไหมสีเงินของเฮยซือก็ต้องสัมผัสโดนอีกฝ่ายก่อนเท่านั้นถึงจะเกิดปฏิกิริยา แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากมันก็ไม่ต่างกับเอาเส้นไหมสีเงินไปชนกำแพง ว่ากันอีกนัยหนึ่งก็คือ เฮยซือสามารถใช้เส้นไหมสีเงินตรวจหาตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่ได้ และสามารถใช้รองรับป้องกันขณะที่ถูกอีกฝ่ายโจมตี แต่หากจะจับคู่ต่อสู้คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
แม้ว่ามันจะโจมตีอย่างบ้าระห่ำในบริเวณรอบๆ ที่สัมผัสถึงคู่ต่อสู้ แต่นั่นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะกำจัดคู่ต่อสู้ทิ้งได้ หากคู่ต่อสู้มีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็ว การเคลื่อนไหวที่บุ่มบ่ามนี้ก็เหมือนกับการเอาพลังงานร่างกายไปสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
ความแข็งแกร่งทางกายของเฮยซือมีขีดจำกัด เธอกำลังใช้ร่างร่วมกับอีกหนึ่งชีวิต และตอนนี้พลังจิตของเธอฝังอยู่ในสมองของอวี๋ซือหราน เธอต้องพึ่งพลังกายจากร่างแยกของร่างแม่อสูรร้ายอเวจี
ปัญหาจึงอยู่ที่…
ถึงแม้ร่างแยกนี้จะเติบโตขึ้นหลังจากที่หดตัวแล้ว แต่จะอย่างไรก็ยังอายุแค่สี่ห้าขวบ!
แล้วยังเป็นสี่ห้าขวบที่เจริญเติบโตไม่ปกติด้วย…
ถึงจะเกิดจากร่างสัตว์ประหลาดก็เถอะ แต่อายุแค่นี้พลังกายต้องมีขีดจำกัดอยู่แล้ว!
ยังดีที่ถึงแม้จะจัดการอีกฝ่ายได้ลำบาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
กระแสอากาศที่มาพร้อมกับการโจมตีของอีกฝ่าย…นี่เป็นกับดักเดียวที่ไม่สามารถป้องกันได้
“มันคือความรู้สึก! บางทีศัตรูอาจจะใช้การรับรู้ทางกลิ่นมารบกวนการรับรู้ผ่านสายตา และเสริมด้วยการป้องกันทางพลังจิต แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถป้องกันได้! ไม่ผิดแน่ ฉันควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว…ที่ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก็เป็นเพราะเท้าฉันสัมผัสเหยียบอยู่บนพื้นจริงๆ ดังนั้นถึงแม้เราจะไม่ได้ยินเสียง แต่เรารู้สึกถึงตำแหน่งอีกฝ่าย รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขาได้ โดยใช้การสั่นสะเทือนของพื้นดินผ่านกระแสอากาศ”
เฮยซือรีบแทงเส้นไหมสีเงินส่วนหนึ่งลงบนพื้นทันที แม้ว่าเส้นไหมกึ่งโปร่งใสส่องประกายแวววาวสีเงินดูแล้วยังไงก็เป็นเพียงแค่เส้นผม แต่จริงๆ แล้วเป็นการรวมความสามารถต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นการยืดขยายร่างกายของมัน
“ฉันรู้สึกถึงมนุษย์พวกนั้นได้ด้วยวิธีนี้ก็จริง แต่ถึงแม้ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะหยุดชะงักกับที่อย่างระแวดระวัง ถ้าพวกเขาเกิดถูกอะไรสัมผัสเข้ากะทันหัน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเตรียมโต้กลับไม่ใช่เหรอ? เพราะโดยปกติทั่วไปคงไม่มีใครใช้มือลูบคลำไปรอบทิศอยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเขาจะรู้ว่าสิ่งที่มาโดนเป็นฝ่ายศัตรู…”
นี่คือจุดเสี่ยงของกับดักนี้ หากอีกฝ่ายนั่งรอให้พวกเขาตกหลุมพลางแล้วค่อยซุ่มโจมตีจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่ แต่เพราะเฮยซือรับรู้ถึงปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว จึงคิดมาตรการจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถึงพวกเขาคิดจะทำ ก็ไม่สามารถทำอย่างที่ต้องการได้ง่ายๆ
“ดูจากตำแหน่งซุ่มโจมตี พวกเขาคงคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ…โหดชะมัด” เฮยซือเอ่ย
“หึ ตายซะไป!” อวี๋ซือหรานเหวี่ยงมือเล็กๆ ออกไปอย่างดุดันหลังจากที่หลบกระแสอากาศที่เกิดขึ้น
นิ้วทั้งห้าของมือเล็กๆ อันจ้ำม่ำบีบแน่นทันทีที่คว้ามือออกไป เล็บที่ตอนแรกดูไม่ยาวก็เริ่มเรียวคมราวกับคมมีด ดูแล้ว… เหมือนจะแหลมคมกว่าคมมีดเสียอีก
เส้นเลือดเล็กบางที่นูนขึ้นมามฉับพลันนั้นส่งพลังรุนแรงไปสู่ฝ่ามือของเธอ
พรึบ!
เฮยซือรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินทันที สีหน้าบ่งบอกถึงอาการดีอกดีใจ
“โดนแล้ว! ฝ่ามือตกพื้นแล้ว!”
“ในเมื่อเพิ่งจะถูกตัดมือไป แสดงว่า…”
เส้นไหมสีเงินที่ราวกับเข็มเหล็กอีกส่วนหนึ่งพุ่งตอกไปตามพื้น
และครอบคลุมพื้นที่บริเวณรัศมีห้าเมตรในชั่วพริบตา แต่เฮยซือกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด
“หลบได้งั้นเหรอ?”
ไม่น่าจะเป็นไปได้…ถึงจะเป็นซอมบี้ แต่ในเมื่อถูกตัดมือแล้วก็น่าจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างสิ
เพราะถึงแม้มันจะไม่กลัวความเจ็บปวด แต่ถ้าเลือดแดงสดพุ่งขนาดนี้ ต้องคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ถอยไปบ้างสิ!
แต่ศัตรูคนนี้กลับหลบหลีกได้อย่างใจเย็น…
ขณะเดียวกันกับที่อวี๋ซือหรานลงถึงพื้น
เฮยซือมองจุดที่เธอยืนอยู่แวบหนึ่ง ก็ตะโกนขึ้นมาในหัวทันใด ‘ระวัง!’
เมื่อได้ยินเสียงนั้น อวี๋ซือหรานก็ขยับเคลื่อนย้ายทันที
แต่เธอที่ตอนแรกแค่ขยับถอยหลัง ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนกำลังพุ่งตรงมาทางเธอ
“มันคืออะไร?” ซอมบี้โลลิเบิกตาโต
หากบอกว่ากระแสอากาศที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนลมพัดเพียงหนึ่งระลอก แต่ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นลมจากการใช้พัดลมกี่เครื่องก็ไม่รู้!
“เฮยซือ ฉันแยกไม่ออกแล้ว!”
“ถอยออกไปอีก!” เฮยซือใช้เส้นไหมสีเงินนับร้อยเส้นเป็นเกราะป้องกันให้ซอมบี้โลลิ แต่แทบจะในทันที เธอก็รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยเท่า
“น่าแปลก…นี่มันคืออะไรกันแน่!” เฮยซือมองเส้นไหมสีเงินที่มุดอยู่บนพื้นพวกนั้น “ไม่เกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรง แสดงว่ามีคนซุ่มโจมตีคนเดียว ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือหลังจากที่เขาหลบการโจมตีของฉันได้ก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย…อะไรกัน? ศัตรูคนนี้คือใคร? เป็นตัวอะไรกันแน่?”