ภาคที่ 4 ตอนที่ 6 รู้ดีก็ยังทำ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

จูจั้นไม่ย่ำเท้าอีก เขาเก็บจดหมายบนพื้นกับหนวดขึ้นมา ปากก็โวยวายด่าทอ 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” บุรุษเมื่อครู่เดินเข้ามาเอ่ยถาม 

 

“หวงเฉิงเจ้าเฒ่าหนังเหนียวนี่กล่อมฝ่าบาทให้พระองค์ยอมรับการเจรจาสงบศึก” จูจั้นยิ้มหยันเอ่ย 

 

ผู้ชายสีหน้าตกตะลึง 

 

“เขาบ้าไปแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม 

 

จูจั้นนั่งลงบนก้อนหินใหม่อีกครั้ง 

 

“เปิดการค้าระหว่างแคว้น ยกหกเมืองให้ ในสถานการณ์ที่พวกเรายังไม่เคยแพ้ คนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้ล้วนบ้าไปแล้ว” เขาเอ่ย “ที่น่าขำคือคนบ้าในใต้หล้านี้มีมากปานนี้” 

 

เขาตบไหล่จูจั้น 

 

“คนที่อยู่ไกลในราชสำนักเหล่านี้กลัวสงครามเกินไปแล้ว วิธีกำจัดความกลัวก็คือทำให้สงครามหยุดลง แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าจะให้สงครามหยุดลงไม่ใช่ไม่รบแต่ต้องรบ” เขาเอ่ย 

 

จูจั้นยิ้มหยัน 

 

“พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเท่านั้น” เขาเอ่ย “สำหรับคนบางพวก สละผืนดินทอดทิ้งประชาชนแล้วเกี่ยวข้องอันใดเล่า อย่างไรพวกเขาก็ยังคงมั่งคั่งเรืองอำนาจ” 

 

เรื่องในราชสำนักห่างไกลเกินไปแล้ว บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าตนเองวิจารณ์ไม่ได้และทำอันใดมิได้ 

 

“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่ตนเองทำได้เถอะ 

 

จูจั้นมองจดหมายครู่หนึ่ง 

 

“เจรจาสงบศึก” เขาเอ่ย “ในราชสำนักต้องมีคนมากมายไม่เห็นด้วยแน่ ประชาชนแดนเหนือไม่เห็นด้วย เหล่าแม่ทัพแดนเหนือก็ไม่มีทางเห็นด้วย” 

 

เขาพูดพลางสวมหนวดแล้วลุกขึ้นยืน 

 

“พวกเราก็ไม่เห็นด้วย” 

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปข้างหน้า 

 

บุรุษคนนั้นขานเรียกรอบด้าน คนมากมายติดตามก้าวเร็วไวไปทิศเหนือ 

 

………………………………………. 

 

“ช่างบ้าบอและน่าขันจริงๆ” 

 

ค่ำคืนดึกดื่นในห้องหนังสือของหนิงเหยียนยังจุดโคมสว่างไสว 

 

“ทหารน้อย ประชาชนยากจน ประเทศขาดแคลนอะไรกัน” 

 

เทียบกับหลายวันก่อนหนิงเหยียนยิ่งแลดูซีดเซียว ชุดขุนนางบนร่างยังไม่ทันผลัดเปลี่ยนก็นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือสีหน้าโกรธเกรี้ยว 

 

“ท้องพระคลังต้าโจวเราร่อยหรอ ควรถามหวงเฉิงดูว่าเขาดูแลท้องพระคลังเอาเงินไปไว้ที่ไหนหมดแล้วเล่า?” 

 

โต๊ะเขียนหนังสือถูกตบเสียงดัง ถ้วยน้ำชากระเทือนสั่นไหว 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นมือมาประคอง 

 

“ท่านอา ผลัดอาภรณ์ก่อนเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเบาพลางคลี่ชุดผ้าฝ้ายสำหรับอยู่บ้านที่ถืออยู่ในมือออก 

 

ผลัดผ้าผ่อนเรื่องนี้ล้วนเป็นสาวใช้ทั้งหลายทำ แต่หนิงเหยียนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากท้องพระโรงเข้าบ้าน ปุบไม่พูดสักประโยคก็เข้ามาในห้องหนังสือ ปิดประตูจนดึกปานนี้ก็ไม่ให้คนเข้ามา 

 

นายหญิงรองหนิงไร้หนทางได้แต่ไหว้วานหนิงอวิ๋นเจาให้เข้ามาอ้างว่าส่งเสื้อผ้าลองดูว่าที่แท้เป็นอย่างไร 

 

เรื่องที่ราชสำนักกับชาวจินเจรจาสงบศึกกันเล่าลือออกไปแล้ว 

 

เริ่มแรกประชาชนล้วนคิดว่าเป็นการยกธงยอมแพ้ ทั้งเมืองหลวงบนล่างล้วนยินดีเป็นทิวแถว อย่างไรไม่รบก็เป็นเรื่องดี 

 

แต่จากนั้นข้อเรียกร้องของทูตจินในราชสำนักก็ตื่นตะลึงผู้คน ที่แท้ไม่ใช่มายอมแพ้แต่มาข่มขู่ 

 

ข่าวเรื่องทหารจินสิบหมื่นทำให้ทั้งเมืองหลวงเมฆหมอกอึมครึมปกคลุม ตกสู่ความโกลาหล 

 

ขุนนางฝั่งหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ด่าท่อขับไล่ทูตจินทันที ในที่ประชุมขุนนางหลังจากนั้นยังต้องการให้สังหารทูตจินส่งไปยังแนวหน้าแดนเหนือ แสดงออกว่าไม่มีวันปรองดอง 

 

แต่ไม่ทำสงครามอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นอกจากกลุ่มที่โกรธแค้นสนับสนุนการทำสงคราม ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงกับไม่มีทางแก้ไข 

 

“เจรจาสงบศึกน่ะ ก็คือต้องเจรจาไหมเล่า” หวงเฉิงพูดเอื่อยๆ “รู้สึกว่าข้อเรียกร้องไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นก็เจรจาสิ รีบร้อนอะไร” 

 

เจรจาบ้าอะไร ถูกคนขี่อยู่เหนือศีรษะอุจจาระใส่แล้ว ฝ่ามือตบไปไม่ใช่ครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะหารือว่าท่านจะนั่งลงถ่ายหรือไม่อีกรึ? 

 

ถ้อยคำที่สองฝ่ายด่ากันหยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ท้ายที่สุดในท้องพระโรงขุนนางชราหลายคนก็ตีกับพวกหวงเฉิงขึ้นมาตรงๆ ท้องพระโรงโกลาหล ฮ่องเต้พิโรธจนประชวรพระวาโย 

 

แต่หลังจากนั้นหวงเฉิงก็ยังไปเจรจาจริงๆ นอกจากนี้เขาถึงกับเจรจาได้จริงๆ 

 

“ไม่เปิดการค้าระหว่างแคว้นได้ ขอแค่สามเมืองเท่านั้น พวกเขาก็ไร้หนทางเช่นกันจึงอยากขอทางรอด นอกจากนี้ถูกเรียกว่าประเทศบริวารของต้าโจว ส่งบรรณาการก็ได้” 

 

ประเทศบริวาร บรรณการ 

 

สองเรื่องนี้ทำให้พระเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกาย 

 

แม้บรรณาการเป็นเงินไม่เท่าไร ทว่านี่เป็นท่าทีอย่างหนึ่งว่ายอมก้มหัวสวามิภักดิ์ 

 

ทำให้ศัตรูในอดีตแห่งหนึ่งก้มศีรษะสวามิภักดิ์ นั่นคือความสำเร็จนะ เอาความสำเร็จปลอบประโลมเบื้องหน้าบรรพชนบรรพบุรุษได้แล้ว 

 

“นี่จะนับว่าสำเร็จได้ยังไง!” 

 

หนิงเหยียนลุกขึ้นยืนก้าวเดินเหมือนเช่นอยู่ในท้องพระโรงอย่างนั้น 

 

“ยังต้องยกเมืองให้สามเมืองนะ นี่ยังคงไม่ใช่เจรจาสงบศึก นี่ยังคงเป็นการข่มขู่” 

 

“อะไรเรียกก้มหัวสวามิภักดิ์ การทำให้อีกฝ่ายก้มหัวสวามิภักดิ์แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้มาด้วยพระคุณและการมอบรางวัลยกประโยชน์ให้” 

 

“มีเพียงสู้ถึงยอมจำนน” 

 

“ข้าไม่เชื่อว่าต้าโจวอันยิ่งใหญ่ของพวกเราแค่ทหารจินกระจ้อยร่อยสิบหมื่นก็ชนะไม่ได้” 

 

หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบมองดูหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยว 

 

“กรมขุนนางบอกว่าประชาชนยากจนประเทศขาดแคลนจึงสิ้นเปลืองไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น 

 

“คนที่สิ้นเปลืองไม่ได้ยิ่งกว่าคือชาวจิน” หนิงเหยียนคิ้วตั้งเอ่ยสวน 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว 

 

“ท่านอาไม่สู้ผลัดผ้าผ่อนกินอะไรสักหน่อยก่อน” เขาพูดขึ้นมา 

 

หนิงเหยียนนั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือใหม่อีกครั้ง 

 

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยพลางยกพู่กัน “ข้าเขียนฎีกาชิ้นนี้เสร็จจะเข้าวังทันที” 

 

ฎีกานี่ย่อมเป็นการคัดค้านพวกหวงเฉิงที่ต้องการเจรจาสงบศึกรวมถึงเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้รบกับชาวจินต่อ  

 

หนิงอวิ๋นเจาถือชุดผ้าฝ้าย 

 

“ท่านอา” เขาเอ่ย “แต่ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่านี่คือการข่มขู่” 

 

หนิงเหยียนหยุดพู่กันเงยหน้ามองเขา 

 

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” เขาเอ่ยตอบ 

 

ที่พวกหวงเฉิงวิ่งเต้นบนล่างสนับสนุนการเจรจาสงบศึกสุดกำลังได้ ที่จริงก็เป็นเพราะฮ่องเต้พระทัยหวั่นไหวแล้ว 

 

ตอนนี้การโต้เถียงระหว่างสนับสนุนสงครามหรือสนับสนุนสงบศึก พูดตรงๆ แล้วก็คือการทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือกระทำการขัดพระประสงค์ 

 

ดังนั้นเรื่องมาถึงวันนี้ ขุนนางมากยิ่งกว่าล้วนไม่พูดจาแล้ว 

 

“ทว่าวาจาสัตย์ซื่อไม่รื่นหู นี่คือเรื่องที่ผู้เป็นขุนนางพึงกระทำ” หนิงเหยียนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

หนิงอวิ๋นเจาขานรับ 

 

“ข้าฝนหมึกให้ท่านอา” เขาเอ่ยแล้ววางเสื้อผ้าไว้ด้านข้าง ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ 

 

หนิงเหยียนไม่เอ่ยวาจาอีก ในห้องหนังสือตกสู่ความเงียบ ไฟโคมทอดเงาหนึ่งคนฝนหมึกหนึ่งคนก้มหน้าเขียนหนังสือไวว่องลงบนหน้าต่าง 

 

………………………………………. 

 

วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง อาลักษณ์เจียงจิ่งเพราะโอหังทรยศใส่ร้ายป้ายสีราชสำนัก เนรเทศไปยังเจาโจว 

 

วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ขุนนางแสดงความเห็นหลี่หนานกลับถูกเป็นผิดหลอกลวงเบื้องสูงปลดจากตำแหน่งขุนนาง ขังคุกประณาม 

 

วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองปลดอำมาตย์หนิงเหยียนออกจากตำแหน่ง 

 

………………………………………. 

 

“พูดเช่นนี้ การเจรจาสงบศึกขวางไม่ได้แล้ว?” 

 

คุณหนูจวินวางจดหมายในมือลง เอ่ยขึ้นเรียบเฉย 

 

ครั้งนี้ไม่ได้บันดาลโทสะ ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อย่างระมัดระวัง 

 

“ขอรับ” เขาเอ่ย “มหาบัณฑิตหวงเฉิงมีอำนาจเต็มรับผิดชอบเรื่องการเจรจาสงบศึก” 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ยิ้มไปๆ มุมปากก็กลายเป็นยิ้มหยัน 

 

“ข้ารู้แล้ว” ท้ายที่สุดนางเพียงเอ่ย 

 

ถ้าไม่เช่นนั้นยังทำอย่างไรได้ ราชสำนักสูงส่ง เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง พวกเขาชาวบ้านประชาชนตัวเล็กๆ เหล่านี้ยังทำอย่างไรได้ 

 

ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง 

 

“หากมีข่าวล่าสุดข้าจะส่งมาอีก” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วคำนับถอยไป 

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับเนิ่นนาน 

 

“ตอนนั้นข้าไม่น่าจริงๆ…” นางกระซิบพึมพำ “ไม่น่าตายไปอย่างนั้นจริงๆ น่าจะฆ่าเขาให้ตายไปเสียจริงๆ ขยะชิ้นหนึ่งเช่นนี้ข้ายังฆ่าไม่ตาย ล้มเหลวจริงๆ” 

 

นางครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกขาวโพลนไปหมด 

 

นอกประตูเสียงฝีเท้าดังขึ้น 

 

“คุณหนูจวิน” เสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้นด้านนอก 

 

คุณหนูจวินขานรับ ม่านประตูหนาเลิกขึ้น นายหญิงอวี้เดินเข้ามา 

 

นางยังคงสวมเสื้อลายที่พวกหญิงชาวบ้านด้านนั้นส่งมาเช่นเดิม หลังพักฟื้นหลายวัน เท้าหายดีจนเคลื่อนไหวได้ตามใจแล้ว 

 

หายดีแล้ว คุณหนูจวินมองดูนางจากนั้นได้สติกลับมา 

 

หายดีแล้วก็เดินทางได้แล้ว นางล้วนล้มเลือนไปเสียแล้ว 

 

“นายหญิงอวี้” นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะเตรียมตัวสักครู่ วันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองต้าหมิง” 

 

นายหญิงอวี้มองนางพลางส่ายศีรษะ 

 

“ไม่ คุณหนูจวิน” นางเอ่ย “ข้าไม่คิดไปเมืองต้าหมิงแล้ว ข้าจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายสักหน่อย”