ภาคที่ 1 บทที่ 16 สมรู้ร่วมคิด (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 16 สมรู้ร่วมคิด (1)

“นี่มันก็ผ่านมาตั้งสี่เดือนแล้ว  ผ่านมานานขนาดนี้ เจ้ายังจัดการมันไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ?”

หยานหวู่ชวงตบลงบนเท้าแขนเก้าอี้ของนางด้วยความโกรธ

ข้ารับใช้ที่ดูเหมือนผู้ดูแลกำลังคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงหน้าของนางกล่าวว่า

“ตั้งแต่ที่ซูเฉินเข้าสู่ศาลาหยกพิสุทธิ์ มันก็ได้ติดตามหัวหน้าผู้ดูแลถังเจิ้นไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุและภาษาของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ไม่ว่าลมฝนจะเป็นเช่นไร มันก็จะมาถึงตรงตามเวลาทุกครั้งไม่เคยสายหรือขาด”

“ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับกิจการงานใด ๆ ในศาลาศาลาหยกพิสุทธิ์เลย หน้าที่การจัดการทุกอย่างถูกส่งมอบให้หัวหน้าผู้ดูแลถังเป็นคนจัดการ นี่ทำให้พวกข้ามิอาจลงมือทำสิ่งใดได้”

“เจ้ามิได้ลองวิธีอื่นเลยหรืออย่างไร?”

“พวกข้าได้ลองมันทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามพวกมันอาจรู้ถึงเป้าหมายแฝงของเรา ที่ส่งซูเฉินไปที่ศาลาศาลาหยกพิสุทธิ์แล้วก็เป็นได้ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พวกมันจึงทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ทั้งบัญชีการซื้อขาย คลังสินค้าและอื่น ๆ ต่างก็ถูกดูแลอย่างดี ข้าได้เพิ่มกำลังคนในการตรวจสอบ ทว่าก็มิอาจหาข้อผิดพลาดใดได้เลย นอกจากนี้พวกมันยังยินดีที่จะพลาดโอกาสและไม่ยอมตกหลุมพรางที่เราได้เตรียมไว้”

“ข้าได้ส่งผู้คนไปหลายกลุ่ม ทำแม้กระทั่งเอาของปลอมที่สร้างขึ้นโดยฮงเวิ่นดงมาขาย แต่ก็ไม่อาจผ่านการตรวจสอบของพวกมัน ที่ตรอกพันโค้งมีเจ้าหน้าที่ตรวจการณ์และทหารดูแลอยู่มากมาย ดังนั้นพวกข้าจึงมิอาจเคลื่อนไหวอะไรมากจนเกินไปได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ถูกลากยาวมาเสียนานเยี่ยงนี้”

ใบหน้าของหยานหวู่ชวงกลายเป็นมืดครึ้ม “ถ้าเช่นนั้น เหตุผลที่ข้าต้องเสียความพยายามไปอย่างมากในการส่งซูเฉินไปที่ศาลาหยกพิสุทธิ์ คือการส่งมันไปเรียนหนังสืองั้นเหรอ?!”

“นายหญิง โปรดสงบอารมณ์ลงก่อนเกิด!” ข้ารับใช้โขกศีรษะของมันลงติดกับพื้น

“เจ้าขยะไร้ประโยชน์!” หยานหวู่ชวงลุกขึ้นสบถด่าอีกฝ่าย

นางเดินวนไปวนมา ชายกระโปรงผ้าสีแดงผืนใหญ่ของนางขยับไหวเป็นระลอกคลื่นตามไปทั่วห้องโถง

จากนั้นครู่หนึ่ง หยานหวู่ชวงก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ไม่ว่าการป้องกันจะเข้มงวดสักเพียงใด อย่างไรเสียมันก็ถูกสร้างด้วยมือของมนุษย์ หากเราต้องการให้การป้องกันของศาลาหยกพิสุทธิ์พังทลาย เช่นนั้นเราก็ต้องเริ่มจากคนของพวกมัน เจ้าเคยลองติดสินบนใครสักคนในหมู่พวกมันดูหรือยัง?”

ข้ารับใช้ตอบว่า “พวกข้าลองพยายามแล้ว แต่ผลก็ออกมาได้ไม่ดีนัก ยกเว้นซูเฉินแล้ว มีผู้อยู่ในศาลาหยกพิสุทธิ์ทั้งหมด 9 คน ในบรรดา 9 คนนั้น 3 คนเป็นผู้ดูแล 1 เป็นนักบัญชี 2 คนงาน 2 สาวใช้ และอีก 1 เป็นพ่อครัว พวกมันแต่ละคนต่างก็มีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ซูเฉินมาถึง ความรับผิดชอบของคนพวกนั้นก็ถูกกำกับชัดเจนยิ่งขึ้น การลงโทษก็เข้มงวดมากขึ้นและไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวก่ายงานที่อยู่นอกเหนือหน้าที่อย่างเด็ดขาด”

“ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าได้พยายามติดสินบนคนงานคนหนึ่งให้แอบลอบเข้าไปยังคลังเก็บของ ยามที่พวกมันไม่ได้ตั้งตัว ทว่าใครจะได้ทันคาดคิดกันว่าซูเฉินผู้ตาบอดจะมีหูที่เฉียบคมกัน? เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด มันก็ร้องเรียกให้คนมาจับตัวคนงานผู้นั้นและไล่ออกจากร้านโดยไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังปฏิเสธที่จะจ้างคนผู้นี้อีกครั้งด้วย”

“คนงานนั้นถึงกับเริ่มคร่ำครวญและมาบอกกับข้าว่า จะบอกเรื่องที่เราติดสินบนมันกับซูเฉิน ท้ายที่สุดพวกข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมอบทองคำบริสุทธิ์เป็นค่าปิดปากให้แก่มัน 100 ตำลึงทอง เพื่อให้มันเงียบและจากไป”

“ใช้ทองคำบริสุทธิ์ 100 ตำลึงเพียงเพื่อปิดปากมัน? นี่พวกเจ้าแน่ใจจริงหรือว่าพวกเจ้าใช้จ่ายเงินเป็นใช่ไหม?” หยานหวู่ชวงขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธ

ในยุคนี้ กำลังซื้อทองคำนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง สำหรับทองคำบริสุทธิ์ 100 ตำลึง นี่ก็เพียงพอที่จะให้คนงานผู้นั้นมีชีวิตอยู่ได้เป็น 10 ปีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มเลยแม้แต่น้อย

ข้ารับใช้กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูหมดหนทาง  “ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่รู้วิธีใช้จ่ายเงิน แต่ซูเฉินนั้นร้ายกาจเกินไป”

“หลังจากที่จับคนงานนั้นได้ ซูเฉินก็บอกมันว่า

 ‘ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเจ้า แต่ข้าจะบอกเจ้าให้เข้าใจว่า ตอนนี้ตัวเจ้านั้นต้องสูญเสียงานเพราะทำเพื่อพวกมัน ดังนั้นหากเจ้ายังฉลาดอยู่ก็ควรไปขอเงินชดเชยจากพวกนั้นซะ ข้าขอแนะนำให้เจ้าเรียกค่าปิดปากเป็นทองคำบริสุทธิ์สัก 100 ตำลึง เชื่อข้า เพื่อให้เจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดพวกมันย่อมจะยอมมอบให้เจ้า แน่นอนเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายพยายามปิดปากเจ้าด้วยการฆ่า เจ้าควรจะเตรียมแผนฉุกเฉินเผื่อไว้สักทางสองทาง ในกรณีที่เจ้าตายลงความจริงก็จะได้ถูกแพร่ออกไป ด้วยวิธีนี้พวกมันจะไม่กล้าฆ่าเจ้าและทำได้เพียงจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าเท่านั้น’

“เมื่อเจ้านั้นได้ยินเช่นนั้น มันก็รีบมุ่งหน้ามาเพื่อเรียกร้องเงินจากเรา และแน่นอนพวกข้าย่อมต้องการฆ่าปิดปากมันลงที่นั่นในเวลานั้น ทว่ามันได้ทำตามอย่างที่ซูเฉินได้กล่าวเอาไว้ มันเตรียมแผนฉุกเฉินไว้เรียบร้อยแล้ว พวกข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายให้มันไป!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยานหวู่ชวงก็โกรธมากจนร่างของนางเริ่มสั่น

‘เยี่ยมมากซูเฉิน! เจ้าโต้กลับข้า โดยใช้เครื่องมือของข้ามารีดไถตัวข้างั้นหรือ’ แผนการของนางในการยึดศาลาหยกพิสุทธิ์ต้องมาล้มเหลว และนางยังต้องสูญเสียเงินจำนวนมากเพราะ     ซูเฉิน ความโกรธในใจของหยานหวู่ชวงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นางตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าได้ลองกับพวกผู้ดูแลร้านนั้นแล้วหรือยัง?!”

“หัวหน้าผู้ดูแลร้านถังเจิ้น คนผู้นั้นเป็นบุคคลที่ติดตาม ถังหงรุ่ยมาจากตระกูลถัง ชายชรานั่นซื่อสัตย์ต่อตระกูลถังอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย! จางเหิงผู้ดูแลร้านคนที่ 2 ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาโดยตรงจากเจ้านายของมัน และผู้ดูแลร้านคนที่ 3 เหลาอวี้ ถังเจิ้นเป็นผู้ที่เลือกเขามาเองกับมือ พวกมันทั้งหมดภักดีต่อศาลาหยกพิสุทธิ์ การที่จะซื้อคนพวกนั้น เกรงว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย……”

หยานหวู่ชวงกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเหลาอวี้มีลูกชายที่ชอบเล่นการพนันใช่หรือไม่?”

ข้ารับใช้ตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ คนผู้นี้มีลูกชายที่ชอบเล่นการพนัน! อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหลาอวี้จะรู้เรื่องข้อบกพร่องนี้เช่นกัน ช่วงนี้มันจึงกักตัวลูกชายเอาไว้ในบ้านและไม่อนุญาตให้ออกจากบ้านไปไหน”

“แม้มันจะกักเขาไว้ได้หลาย 100 วัน แต่หากต้องกักไว้เป็นปีมันจะทำได้หรือ? หลังจากนี้ 2-3 เดือน มันก็คงจะลดความระแวงลงแล้ว”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะไปจัดการให้ในทันที!”

“ไปซะ แล้วคราวนี้อย่าพลาดอีกเสียล่ะ” หยานหวู่ชวงพูดอย่างร้ายกาจ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะทำให้ซูเฉินต้องชดใช้!”

อาจกล่าวได้ว่าก่อนหน้านี้นางเพียงวางแผนที่จะขโมยธุรกิจมาเท่านั้น แต่หลังจากถูกทำให้อับอายและถูกขัดขวางหลายครั้ง ความคิดของหยานหวู่ชวงก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชัง

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการแก้แค้น แต่นางก็ไม่ต้องการให้ซูเฉินกลับมาได้อีก

—————-

“ฮะ!”

เมื่อเขาหายใจออกและตะโกน เสาหินก็แตกกระจายลง

ที่ลานด้านหลังของศาลาหยกพิสุทธิ์ ซูเฉินดึงกำปั้นของเขากลับมา การฝึกอบรมของวันนี้ก็สิ้นสุดตรงนี้

การเรียนกับถังเจิ้นไม่ได้หยุดซูเฉินจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของตน เป้าหมายสูงสุดของเส้นทางที่ซูเฉินตั้งไว้คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด

ไม่นานมานี้ซูเฉินพึ่งประสบความสำเร็จในการทะลวงเข้าสู่ด่านหลอมกายาขั้น 9 เป็นที่เรียบร้อย อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้เขายืนอยู่หน้าประตูสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแล้ว

“อีกหนึ่งปี ยังคงมีเหลือเวลาอยู่” ซูเฉินพึมพำ

ทุกฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งการเปิดลงทะเบียนรับสมัครของสถาบันมังกรซ่อนเร้น

สถาบันมังกรซ่อนเร้นถือได้ว่าเป็นสถานศึกษาชั้นนำในอาณาจักรหลงซาง ทุกปีผู้มีพรสวรรค์มากมายต่างก็พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อได้รับการคัดเลือกเข้าสู่สถาบัน

ในปีหน้าซูเฉินจะอายุครบ 16 ปี เป็นช่วงเวลาที่เขาจะเข้าสถาบันพอดี

หากซูเฉินสามารถเข้าสู่ขั้นรวมลมปราณได้และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมาก นี่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เด็กหนุ่มได้รับการคัดเลือกเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมากขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซูเค่อจี่ได้พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสให้กับซูชิง และหวังว่าซูชิงจะเข้าสู่ขั้นรวมลมปราณได้ก่อนหน้านั้น

ทว่าซูเฉินเองก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้เช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มไม่สามารถรอจนกระทั่งดวงตาของเขาหายดีก่อนแล้วค่อยฝึกฝนต่อได้

หากทำเช่นนั้น มันจะสายเกินไป

โอกาสมักจะให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอเท่านั้น

ในตอนแรกซูเฉินก็เป็นกังวลว่าดวงตาของเขาจะฟื้นตัวได้หรือไม่ หลังจากเขายืนยันได้แล้วว่าพวกมันสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ ความกังวลของซูเฉินก็เริ่มเปลี่ยนจากว่าเขาจะฟื้นตัวได้หรือไม่เป็นเขาจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ได้หรือเปล่า

ความเร็วการฟื้นตัวในปัจจุบันของเด็กหนุ่มยังคงช้าเกินไป

ซูเฉินไม่ต้องการจะไปยังการคัดเลือกของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ด้วยสายตาที่ยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์เช่นนี้

“สงสัยเสียจริง ข้าจะสามารถประสบความสำเร็จครั้งใหญ่เหมือนเช่นเมื่อตอนที่ข้าฝึกก้าวย่างหมอกอสรพิษหรือไม่”   ซูเฉินถอนหายใจ

เมื่อนึกถึงเรื่องก้าวย่างหมอกอสรพิษ ซูเฉินก็จำได้ว่าเขาไม่ได้เห็นกู่ชิงลั่วมาหลายวันแล้ว

ช่วงนี้ดูเหมือนว่ากู่ชิงลั่วจะกำลังยุ่งอยู่กับบางอย่าง จำนวนครั้งในการมาที่ภูเขาด้านหลังน้อยลงอย่างมาก เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เจอกัน

“ข้าเองไม่รู้ว่านางกำลังยุ่งอยู่กับอะไร” ซูเฉินส่ายหัว

ไปหากู่ชิงลั่ว!

หลังจากความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ซูเฉินก็ไม่สามารถระงับความปรารถนาในใจของเขาได้อีก และตัดสินใจลงมือในทันที

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้คิดที่จะพุ่งไปยังประตูของตระกูลหลินอย่างประมาท ตระกูลหลินและตระกูลซูไม่เคยญาติดีกัน และความสัมพันธ์ระหว่างกู่ชิงลั่วกับซูเฉินก็เป็นความลับเสมอ

อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ สิ่งนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับซูเฉิน