ภาคที่ 1 บทที่ 17 สมรู้ร่วมคิด (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 17 สมรู้ร่วมคิด (2)

เมืองหลินเป่ย ชานเมืองทางใต้

เรือนหลักของบ้านตระกูลหลินตั้งอยู่ที่นี่

พื้นที่ขนาดกว้างขวางมีบ้านหลายร้อยหลังตั้งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีสวนมากกว่าสิบแห่ง บ้านเรือนทุกหลังได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราและระยิบระยับ

บรรพบุรุษของตระกูลหลินเป็นนักล่าโดยกำเนิด ครั้งหนึ่งในการออกล่าสัตว์ของเขาได้บังเอิญพบกับอสูรที่หายาก นับแต่นั้นมาก็มันได้นำพาความมั่งคั่งมาให้เขาและก่อตั้งตระกูลหลินนี้ขึ้น

อันที่จริง อีก 3 ตระกูลเองก็มีจุดเริ่มต้นในเรื่องนี้คล้ายคลึงกัน

เดิมทีซูฉางเช่อเป็นพ่อค้าขายพุทราจีน เขาได้มอบพุทราให้แก่ชายชราผู้หนึ่งที่กำลังหิวโหยและได้รับวิชามโนทัศน์อัคคีพิโรธมา ส่วนบรรพบุรุษของตระกูลเหอก็ได้บังเอิญกลืนผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไป เขาโชคดีที่ไม่ตายและกลับประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแทน จากนั้นคนผู้นั้นก็ได้ก่อตั้งตระกูลเหอขึ้น มีเพียงบรรพบุรุษของตระกูลลี่เท่านั้นที่เกิดมาเป็นทหาร วิชาของเขาเป็นทักษะที่ตัวเขาเรียนรู้มาจากสนามรบ

หากไม่คำนึงถึงโชคลาภที่พวกเขาได้รับ พวกเขาทุกคนต่างก็มีความแข็งแกร่งและพลังเท่านั้น

บางครั้ง ใครบางคนในโลกนี้ก็อาจจะเคยได้รับโชคลาภอื่น ๆ มาก่อนเช่นกัน แต่หากปราศจากความแข็งแกร่งแล้วนั้น ความสำเร็จของพวกเขาก็จะถูกจำกัดเอาไว้

หัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลหลินคือ หลินหยวนซาน เขามีลูกชายอยู่ 3 คนและลูกสาวอีก 2 คน

เช่นเดียวกับตระกูลส่วนใหญ่ ตระกูลหลินก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่หลากหลายเช่นกัน ทว่าธุรกิจที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือสวนสัตว์อสูร สมาชิกของตระกูลหลินเป็นผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรมและเพาะพันธุ์อสูรชั้นต่ำ พวกเขามีแม้กระทั่งอสูรร้ายที่ฝึกอบรมไว้ใช้ในตระกูลเองอีกด้วย

หากจะมีผู้ใดได้ลองสำรวจเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด พวกเขาก็จะพบว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีความสามารถในการทำเช่นนี้

อสูรร้ายก็ตรงตามชื่อเรียกของพวกมันเลย ดุร้าย รุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้ ใช่แล้ว พวกมันมีแนวโน้มที่จะอาละวาดสูง ทั้งยังหัวรุนแรงและยากที่ฝึกให้จะเชื่อง แต่สมาชิกของตระกูลหลินได้อาศัยซากของอสูรกายที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นผู้ค้นพบ ทำให้พวกเขาสามารถฝึกให้อสูรร้ายให้เชื่องได้ จากนั้นก็ขายพวกมันให้กับขุนนางชั้นสูง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสร้างฐานที่มั่นคงให้กลับตระกูลได้

สวนสัตว์อสูรตั้งอยู่ด้านหลังเรือนใหญ่ของตระกูลหลิน และยังเป็นทิศทางที่ซูเฉินกำลังมุ่งหน้าไป

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้อยากได้อสูรร้ายของตระกูลหลิน ทว่าเป็นเพราะกู่ชิงลั่วอาศัยอยู่ในเรือนขนาดเล็ก ที่อยู่ถัดจากทะเลสาบเล็ก ๆ ใกล้ ๆ สวนสัตว์อสูรต่างหาก

มันเป็นทะเลสาบที่สวยงาม ต้นกกสีขาวขนาดใหญ่ถูกปลูกเอาไว้ที่ริมทะเลสาบ บางครั้งก็จะสามารถเห็นหงส์ดำเล่นน้ำอยู่ที่นั่นได้ เมื่อตอนซูเฉินยังเด็ก เขาเคยมาที่นี่ด้วยความอยากเล่นสนุกอยู่ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตระกูลหลินจับได้และส่งกลับไปยังตระกูลซู สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือบทลงโทษจากพ่อแม่ของเขา ในเวลานั้นซูเฉินสาบานกับความเจ็บปวดที่บั้นท้ายว่าจะไม่มาที่นี่อีก ใครจะไปคิดว่าวันนี้เขาจะตัดสินใจไปที่เรือนเล็กริมทะเลสาบอีกครั้งกัน

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ซูเฉินไม่กังวลกับผลที่จะตามมา

ซูเฉินเป็นชายตาบอด แม้ว่าเขาจะถูกจับได้ เขาก็สามารถพูดอ้างได้ว่าเขาเลี้ยวมาผิดทาง

เพราะเขาสามารถพึ่งพาข้อแก้ตัวนี้ได้ ดังนั้นซูเฉินจึงกล้ามุ่งตรงไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร

เมื่อเดินไปตามถนนในป่าอันเงียบสงบ ซูเฉินก็สามารถออกมาจากป่าอย่างรวดเร็ว

ผืนน้ำที่พร่ามัวปรากฏขึ้นตรงเบื้องหน้าของเขา

ซูเฉินมาถึงที่ทะเลสาบเล็ก ๆ แล้ว

แม้ว่าในยามนี้ซูเฉินจะไม่สามารถมองเห็นความงามของทะเลสาบขนาดเล็กนี้อย่างชัดเจนดั่งเช่นในอดีตได้อีก แต่เขาก็ยังคงเดินไปตามเส้นทางในความทรงจำ ตรงไปที่เรือนเล็กทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง

บริเวณนี้เต็มไปด้วยยามลาดตระเวนของตระกูลหลิน โชคดีที่การได้ยินของซูเฉินนั้นดีเยี่ยมและเขาหลบอยู่บนเส้นทางเล็ก ๆ ในป่าซึ่งช่วยบดบังสายตาได้เป็นอย่างดี หน่วยลาดตระเวนทั้งสองจึงถูกเขาพบและหลบเลี่ยงมาได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่เขากำลังจะไปถึงเรือนเล็กริมทะเลสาบ ทันใดนั้น ซูเฉินก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากับใบไม้ที่ร่วงหล่นที่ด้านหน้าของเขา

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก ทว่าก็ยังคงดังไปถึงหูที่เฉียบคมของซูเฉินอยู่ดี เขารีบซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ในทันที

เสียงฝีเท้าอันห่างไกลค่อย ๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ฟังจากเสียงฝีเท้าดูเหมือนว่าผู้ที่เดินอยู่จะมีสองคน

โชคไม่ดีที่ทั้งสองนั้นกำลังมุ่งหน้ามาในทิศทางของซูเฉิน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวกันค่อนข้างเร็วอีกด้วย       ซูเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเสียโอกาสที่จะจากไป แม้ว่าเขาอยากจะจากไปในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว  เด็กหนุ่มทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้โดยไม่ขยับต่อไป

โชคยังดีที่ชายทั้งสองหยุดลงก่อนถึงต้นไม้ใหญ่ไม่ไกล

เสียงทุ้มต่ำและแหบห้าวเริ่มพูดขึ้น “เอาล่ะ ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว ที่นี่เจ้าสามารถพูดออกมาได้”

ต่อมาเสียงที่ฟังดูกระวนกระวายก็ตอบกลับว่า “เราเจอปัญหาบางอย่าง ดูเหมือนว่าเยว่อูตี้จะรู้อะไรบางอย่างและกำลังสืบสวนสมาคมธาราเมฆอยู่”

“มันเจออะไรไปมากแค่ไหน?” เสียงแหบถาม

“เรื่องนั้นยังไม่ชัดเจน เรารู้เพียงแค่มันไปพบและทานอาหารกับรองผู้จัดการ ก่อนที่คืนนั้นรองผู้จัดการก็ได้ฆ่าตัวตาย การตายของชายผู้นั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้เราไม่มีเวลาถามคำถามใด ๆ เลย”

“บ้าเอ๊ย!” เสียงทุ้มต่ำที่เคยกล่าวเบา ๆ เปลี่ยนมาดังขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้านั่นต้องเปิดเผยความลับบางอย่างของออกไปอย่างแน่นอน มันรู้มากแค่ไหน?”

“ไม่มาก อย่างไรก็ตามมันเป็นผู้ดูแลการซื้อขายพลอยม่วงกับผงหิน และยังเคยดำเนินการจัดหาแบบพิเศษให้กับเราอยู่สามครั้ง พิจารณาความฉลาดของเยว่อูตี้แล้ว มีโอกาสยิ่งที่เขาจะค้นพบสิ่งเหล่านี้… ”

“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! เนินกลบวิญญาณต้องการเวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งปีจึงจะสามารถเปิดได้ เวลาเพียงเท่านี้ก็มากเกินพอที่เยว่อูตี้จะเปิดโปงภูมิหลังทั้งหมดของเรา อย่าปล่อยให้มันตรวจสอบต่อไปได้!” เสียงต่ำพูดกัดฟันด้วยความโกรธ

หลังจากหยุดลงครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำก็เสริมเบา ๆ อีกว่า “ปล่อยให้เย่ฉีฆ่าเขา!”

“ขอรับ!”

เมื่อได้ยินคำเหล่านั้น จังหวะหัวใจของซูเฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ซูเฉินอายุเพียงสิบห้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าคน ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถอยออกมา แม้ว่าเสียงฝีเท้าของเขาจะเบามาก แต่ทว่ามันก็ยังเกิดเสียงเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ดี

แม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่มันก็ราวกับเสียงฟ้าร้องในหูของทั้งสองที่กำลังสนทนากัน

“นั่นใคร?” เสียงต่ำตะโกนขึ้น

ซูเฉินรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีแล้ว เขาหันกลับและรีบหลบหนี ถึงกระนั้นลมจากฝ่ามือก็ได้มาถึงตัวเขาและกระแทกลงกับพื้นด้านหลัง แรงกระแทกส่งให้ร่างซูเฉินลอยขึ้น

ซูเฉินพลิกตัวกลางอากาศอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะตกลงมากองกับพื้น ตรงหน้าของคนทั้งสอง

คนหนึ่งเป็นชายชราแต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน

 เมื่อได้เห็นหน้าของซูเฉิน ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีน้ำเงินก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “ซูเฉิน? เป็นเจ้าอย่างไร?”

“เจ้ารู้จักมัน?” ชายชราถาม

“เรียนผู้อาวุโส มันคือซูเฉินนายน้อยสี่ของตระกูลซู มันเป็นคนตาบอด” ชายหนุ่มผู้ตอบกลับมีนามว่าหลินเซี่ย เขาเคยเห็นซูเฉินมาก่อนสองสามครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจำซูเฉินได้ในทันที

“ตาบอด?” ชายชรามองดูซูเฉิน เขาเห็นดวงตาของอีกฝ่ายจ้องมองตรงไปอย่างว่างเปล่า ซูเฉินนั่งอยู่บนพื้นดินและถอยหลังอย่างสิ้นหวัง สายตาไม่มองที่ถนนเลยแม้แต่ เด็กหนุ่มไม่ตอบสนองแม้จะวิ่งตรงไปที่ต้นไม้และเปลี่ยนทิศทางหลังจากที่ชนมันไปแล้ว คนที่มีสุขภาพปกติดีจะวิ่งหนีเช่นนี้ได้อย่างไร?

 เขาตาบอดจริง ๆ

ชายชราหายใจออกแล้วพูดว่า “ไปฆ่ามัน”

“ขอรับ” ชายหนุ่มตอบแล้วเดินเข้าไปหาซูเฉิน

ดูเหมือนว่าซูเฉินจะรับรู้ถึงอันตรายจึงระเบิดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เขาดีดตัวกระโจนขึ้นและวิ่งกลับออกไปในทันที ความเร็วถือได้ไม่ช้าเลย

โชคดีเส้นทางที่ซูเฉินเลือกจะวิ่งไป ตลอดทางนั้นไม่มีต้นไม้ขวางกั้นไว้แม้แต่น้อย เขาจึงสามารถหลบหนีออกมาได้

ขณะที่ชายชราชุดดำกำลังจะไล่ตามไป ชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินก็กล่าวขึ้น “ผู้อาวุโสซาง ทิ้งเด็กเหลือขอนี้ไว้ให้ข้าจัดการเอง มียามตระกูลหลินอยู่ข้างหน้า จะเป็นการดีที่สุดหากท่านหลีกเลี่ยงพวกมันไว้ก่อน มิเช่นนั้นหากพวกมันเจอท่าน นั่นคงจะเกิดปัญหาขึ้นเป็นแน่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้อาวุโสซางจึงหยุดเดินและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น … ข้าจะปล่อยมันให้เจ้าจัดการ”

ในขณะที่กล่าวชายชราชุดดำก็ไม่ได้ให้ความสนใจซูเฉินอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงจากไป การที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างเป็นทางการเป็นผู้ลงไปจัดการกับชายตาบอดที่อยู่เพียงด่านหลอมกายา ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เขาจะต้องเป็นกังวลอีก

เมื่อมองไปที่ซูเฉินผู้กำลังหลบหนีอย่างรีบร้อน หลินเซี่ยก็หัวเราะเย้ยหยันและไล่ตามซูเฉินไปด้วยความรวดเร็ว