ภาคที่ 1 บทที่ 18 การต่อสู้นองเลือด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 การต่อสู้นองเลือด

ภายในป่า ซูเฉินกำลังวิ่งอย่างสิ้นหวัง

เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่าครั้งนี้เขาเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว เมื่อมีผู้ใดล่วงรู้ความลับของอีกฝ่าย ฝ่ายเจ้าของความลับยอมไม่มีทางปล่อยผู้ที่ล่วงรู้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน

หลินเซี่ยเป็นศิษย์รุ่นที่สองของตระกูลหลิน แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้สืบทอดจากตระกูลสาขา แต่ชายหนุ่มก็ได้เข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ถึงแม้ดวงตาของซูเฉินจะหายดีก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงในปัจจุบันนี้ที่เขายังคงนับได้ว่าตาบอดอยู่

ซูเฉินเคยเห็นการโจมตีของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด นั่นไม่ใช่ตัวตนที่อยู่ในแนวคิดแบบเดียวกับผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั่วไปอีกแล้ว พวกเขาสามารถใช้พลังต้นกำเนิดเพื่อปลดปล่อยการโจมตีที่เกินขีดจำกัดทางกายภาพของร่างกายมนุษย์ได้

ต้องรีบคิดหาวิธีที่จะออกไปให้พ้นจากอันตรายนี้โดยเร็ว!

ซูเฉินตะโกนอย่างดังในใจ ขณะที่เขาวิ่งอย่างบ้าระห่ำ

อย่างไรก็ตาม ยิ่งซูเฉินตื่นตระหนกมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถเห็นการคงอยู่ต้นไม้ได้ แต่ดวงตาที่ยังคงย่ำแย่ของเขาไม่มีทางที่จะเห็นรากไม้และเถาวัลย์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

ทันใดนั้นรากไม้ก็ปรากฏขึ้นส่งร่างของซูเฉินให้บินถลาออกไป และทำให้ใบหน้าของเขากระแทกลงกับพื้น

ซูเฉินกำลังจะลุกขึ้น ทว่าเท้าข้างหนึ่งกลับเหยียบลงมาบนหลังเขาเสียก่อน

เสียงที่น่ากลัวและเยือกเย็นของหลินเซี่ยดังขึ้น “วิ่งสิ วิ่งต่อไป! ทำไมเจ้าถึงไม่วิ่งต่อ? ข้าอยากจะเห็นว่าคนตาบอดสามารถวิ่งได้เร็วแค่ไหนกัน”

“บางทีเจ้าควรเห็นว่าข้าสามารถสู้ได้เร็วแค่ไหน!” ซูเฉินกัดฟันและปล่อยเสียงคำรามต่ำ ก่อนจะใช้ศอกของเขากระแทกไปทางด้านหลัง

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเพราะยังมีเท้าเหยียบอยู่ที่หลังของซูเฉิน ทั้งพลังและมุมของข้อศอกนี้จึงล้วนแล้วแต่ถูกจำกัดไว้ หลินเซี่ยสกัดกั้นการโจมตีของศอกจากซูเฉินไว้ได้อย่างสบาย ๆ ทว่าไฟแห่งความโกรธกลับติดขึ้นในดวงตาของเขา “สู้กลับ? เจ้ากล้าสู้กลับจริง ๆ งั้นหรือ!?”

คนตาบอดที่ยังอยู่แค่ด่านหลอมกายา กล้าที่จะสู้กับเขา แทนที่จะวิงวอนขอความเมตตาอย่างงั้นเหรอ!?

การกระทำนี่ทำให้หลินเซี่ยเกิดความโกรธแค้น

หลินเซี่ยจับมือขวาของซูเฉินไว้แล้วออกแรงเล็กน้อย เมื่อเสียง‘กร๊อบ’ดังขึ้น มือขวาของซูเฉินก็ถูกหักออก

“อา!” ซูเฉินร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

หลินเซี่ยยกตัวซูเฉินขึ้นมาจากพื้น มือขวาของเขาเปล่งประกายแสงจาง ๆ ก่อนกำปั้นที่เปล่งแสงนั้น จะชกอัดเข้าไปที่ท้องของซูเฉิน

หมัดนี้ทรงพลังมาก ซูเฉินรู้สึกเหมือนร่างของเขากำลังแยกออกเป็นส่วน ๆ

“เป็นอย่างไร หมัดเหล็กลี้ลับของข้า มันดีใช้ได้เลยใช่ไหม? นี่คือทักษะพลังต้นกำเนิดของข้า เมื่อครู่ข้าใช้แรงออกไปเพียงสามในสิบเท่านั้น หากข้าทุบเจ้าด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้าแล้ว ร่างเล็ก ๆ ของเจ้าก็คงจะแหลกเป็นชิ้น ๆ !” หลินเซี่ยหัวเราะเบา ๆ

ทักษะพลังต้นกำเนิดเป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกับผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั่วไป

วิชาเพลงหมัดแบบเดียวกัน ทว่าเมื่อถูกใช้ออกโดยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ผลที่ได้นั้นทรงพลังกว่ายามผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ใช้ออกอย่างยิ่ง เป็นเพราะพลังต้นกำเนิดที่ถูกเสริมเข้าไปในกำปั้นนั่นเอง

เทคนิคการประยุกต์ใช้พลังต้นกำเนิดกับทักษะวิชา กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ทักษะพลังต้นกำเนิด’ หรือ ‘ทักษะต้นกำเนิด’

ทักษะพลังต้นกำเนิดมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่ละแบบต่างก็มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ทั้งจุดแข็งและระดับของพวกมันก็แตกต่างกันตามธรรมชาติ ทักษะพลังต้นกำเนิด:หมัดเหล็กลี้ลับของหลินเซี่ยนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นหนึ่งในเทคนิคระดับต่ำที่สุดที่บางคนก็ไม่คิดว่ามันเป็นทักษะต้นกำเนิดด้วยซ้ำ

ตามการประเมินของพวกเขา ความสามารถที่เกินขีดความสามารถของมนุษย์ธรรมดาเช่นการเหาะเหินเดินอากาศ  ควบคุมเปลวเพลิง หรือความสามารถล่องหนเท่านั้นที่ถูกพิจารณาให้เป็นทักษะต้นกำเนิด ทักษะอย่างหมัดเหล็กลี้ลับ เทียบได้กับเพลงหมัดธรรมดาที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั่วไปก็ยังก็สามารถใช้งานได้ เพียงแค่ถูกเสริมเพิ่มเข้าไปด้วยพลังต้นกำเนิดเท่านั้นเอง อย่างดีที่สุดพวกมันก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นทักษะการต่อสู้

ไม่ว่าใครจะเรียกพวกมันทักษะต้นกำเนิดหรือทักษะการต่อสู้ ทว่ามันก็เกินพอที่จะใช้จัดการกับซูเฉิน และการโจมตีด้วยพลังสามในสิบนั้นมากพอที่จะทำลายการโจมตีทั้งหมดจากเขาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชีวิตของเขาจะอยู่ในกำมือของหลินเซี่ย ซูเฉินก็ยังคงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะดูดีตรงไหน”

การแสดงออกของหลินเซี่ยเปลี่ยนไป “เจ้าช่างมีความกล้าดี! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลองมันดูอีกครั้งหนึ่ง”

หมัดเหล็กลี้ลับถูกชกเข้าไปที่ร่างของซูเฉินอีกครั้ง พลังของหมัดนั้นหนักมากจนซูเฉินไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ทำให้เขากระอักเลือดสดออกมากองใหญ่

ทว่าทิศทางที่เลือดสดนี้กระจายออกไปนั้นกลับผิดพลาด ผลคือมันได้สาดลงไปทั่วใบหน้าของเขาหลินเซี่ยโดยตรง

ความโกรธหลินเซี่ยได้มาถึงจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์ ..

“เจ้ากล้าทำให้ข้าสกปรกงั้นเหรอ!? รนหาที่ตาย!” ร่างกายของซูเฉินสั่นสะเทือนจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของหมัดเหล็ก

ในตอนนี้หลินเซี่ยระบายความโกรธออกมาอย่างหมดจดและต้องการที่จะฆ่าซูเฉินทั้งเป็น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้พลังต้นกำเนิดและใช้เพียงกำลังต่อสู้ของเขาเองชกหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการโจมตีอย่างหนักจากกำปั้นของหลินเซี่ยยังคงเป็นสิ่งที่ซูเฉินไม่สามารถทนได้ การมองเห็นของเขาแย่ลงจากอาการวิงเวียนศีรษะและกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ซูเฉินจะต้องถูกหลินเซี่ยฆ่าตายอย่างแน่นอน!

ยามนี้มือขวาของซูเฉินถูกทำลายและดวงตาของเขาก็ยังมองไม่เห็น นอกจากนี้เขากำลังถูกหลินเซี่ยและได้รับบาดเจ็บสาหัส

แม้จะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทว่าจิตใจของ       ซูเฉินก็ยังคงชัดเจน

แม้ว่าซูเฉินจะไม่สามารถมองเห็นหลินเซี่ยได้ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นและความบ้าคลั่งของอีกฝ่าย

เขากำลังระบายความโกรธ!

ในขณะเดียวกันหลินเซี่ยก็ทิ้งความตั้งใจที่จะป้องกันตัวทั้งหมด

เพราะเวลานั้นในสายตาของชายหนุ่ม ซูเฉินได้สูญเสียความแข็งแกร่งที่จะต่อต้านและความสามารถในการโต้กลับไปแล้ว

แม้ว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นได้การโจมตีที่อ่อนแอและไร้ค่า

แต่เขาผิด!

หลินเซี่ยได้ตัดสินใจผิด!

ซูเฉินจับจ้องหลินเซี่ยอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ตัวเขาจะถูกพายุหมัดพัดกระหน่ำอยู่ก็ตาม

ซูเฉินหยุดส่งลมปราณไปป้องกันที่หน้าอกทำให้อวัยวะสำคัญของเขาสูญเสียการป้องกัน และเลือกที่จะรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่มือซ้ายของเขาแทน จากนั้นก็ค่อย ๆ ยกมือของตนขึ้น

หลินเซี่ยไม่สนใจการเคลื่อนไหวของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย เขาหมกมุ่นอยู่กับการกระหน่ำโจมตีใส่ร่างกายของซูเฉินอย่างสมบูรณ์ เมื่อเขาเข้าสู่ขั้นรวมลมปราณและสามารถปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดได้ หลินเซี่ยก็สามารถสัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายของซูเฉิน ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแม่นยำในการควบคุมความแข็งแกร่งของตัวเอง เพื่อให้ซูเฉินเจ็บได้รู้สึกปวดที่สุด ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ซูเฉินถึงตาย

“เจ้าโง่ที่สมควรตาย ทนไว้อีกหน่อย พ่อคนนี้ของเจ้ายังสอนบทเรียนให้เจ้าไม่หมดเลย!” หลินเซี่ยปล่อยเสียงคำรามออกมา “อัจฉริยะของตระกูลซูอะไรกัน แต่ก็ได้แค่นี้! ทำไมไม่คุกเข่าและขอความเมตตาจากข้าเสียเล่า?”

“ถ้าข้าคุกเข่า เจ้าจะปล่อยข้าไป?” ทันใดนั้นซูเฉินก็ถามขึ้น

หลินเซี่ยตกใจชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ไม่อย่างแน่นอน แต่มันจะทำให้ข้ารู้สึกดีมาก!”

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน” ซูเฉินกล่าวตอบ

เขายกมือขึ้น

นิ้วทั้งสองของซูเฉินพุ่งตรงเข้าไปที่ดวงตาของหลินเซี่ยอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า

ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา!

“อา! ดวงตาของข้า!” เสียงครวญครางดังก้องสะท้อนออกมาจากด้านในป่าเล็ก ๆ

ดวงตาทั้งสองของหลินเซี่ยถูกซูเฉินดึงออกมาจริง ๆ

มือของหลินเซี่ยที่จับตัวซูเฉินไว้คลายออกในทันที ส่วนตัวของหลินเซี่ยนั้นได้สะดุดถอยไปทางด้านหลัง มือของเขาปกปิดใบหน้าเอาไว้ เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากซอกระหว่างนิ้วของเขา

ซูเฉินใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ที่เขาไม่ได้ถูกจับไว้อีกต่อไป กลิ้งลงไปกับพื้น

เสียง “หวือ” พร้อมด้วยสัมผัสเย็นเฉียบและลำแสงมีดเปล่งประกายวาดผ่านได้เหนือศีรษะของซูเฉินไป

หลินเซี่ยดึงมีดปีกจักจั่นออกมาจากด้านหลังของเขา และสะบัดไปมาขณะที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “บัดซบ! เจ้า… ไอ้ตัวบัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า!”

คมมีดพัดผ่านอากาศเป็นเกลียวขณะที่มันกรีดผ่านไป

หลินเซี่ยยังคงโบกมีดปีกจักจั่นของเขาอย่างบ้าคลั่งและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง หลินเซี่ยปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีออกมาอย่างต่อเนื่อง คมมีดกรีดกระจายไปทั่วผืนป่า เสียงกรีดร้องที่ชั่วร้ายฉีกออกมาจากลำคอของเขา “ข้าจะฆ่าเจ้า!”

หลินเซี่ยบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์

เขาตาบอด!

เขาตาบอดแล้วจริง ๆ!

ดวงตาของเขาถูกคนตาบอดดึงออกไป!

เขาไม่มีอนาคตอีกต่อไป ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

หลินเซี่ยต้องการแก้แค้น เขาต้องการฆ่าซูเฉิน

‘แม้ว่าข้าจะมองไม่เห็น แต่ข้าก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด มันมากเกินพอแล้วที่จะฆ่าเจ้า!’

หลินเซี่ยคร่ำครวญในใจของเขา ขณะที่โบกมีดของเขาอย่างบ้าคลั่ง

ตาข่ายคมมีดกรีดผ่านเต็มอยู่ในอากาศทั่วป่า แม้ว่า       ซูเฉินจะค่อยหลบอย่างต่อเนื่อง แต่สายตาของเขาก็ยังพร่ามัวอยู่ ซูเฉินไม่สามารถหลบมันทั้งหมดได้พ้น คมมีดได้กรีดผ่านร่างและทิ้งบาดแผลสาหัสเอาไว้บนกลางท้องของเด็กหนุ่ม

“ฮืม” ซูเฉินปล่อยเสียงฮึดฮัด

เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็เล็งไปยังทิศทางของซูเฉินในทันที

หวือ หวือ!

ทั้งแผ่นหลังและแขนซ้ายของซูเฉินถูกคมมีดกรีดผ่านอีกครั้ง

ซูเฉินล้มลงบนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นได้ชั่วคราว

ไม่ไกลจากตรงนี้ หลินเซี่ยยังคงยืนโบกมีดในมืออย่างบ้าคลั่งต่อไป ในฐานะผู้เชี่ยวชาญพลังงานต้นกำเนิด นี่จึงทำให้เขามียังพลังอยู่เหลือเฟือ ความโกรธทำให้หลินเซี่ยไม่สนใจที่จะออมแรง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีปัญหาที่จะคงจังหวะบ้าคลั่งนี้ไว้อีกสักพัก

เป็นไปได้ไหมที่เขา ซูเฉินจะมาตายลงที่นี่หรือ?

แม้ว่าซูเฉินจะใช้ประโยชน์จากโอกาสเดียวของเขา แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องพ่ายแพ้เพราะความไม่เท่าเทียมระหว่างระดับพลังงั้นหรือ?

แม้ว่าจะเป็นคนตาบอดกับคนตาบอด แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย?

ซูเฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

การมองเห็นของซูเฉินเริ่มพร่ามัว ดวงดาวเริ่มปรากฏต่อหน้าต่อตาเขา ซูเฉินเข้าใจดีว่าดวงดาวเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาเพราะเขาเสียเลือดมากเกินไปแล้ว

ซูเฉินรู้ว่าเขากำลังจะทนไม่ไหวอีกต่อไป

เดี๋ยวก่อน!

ดวงดาวในดวงตา!?

สติของซูเฉินกลับมาชัดเจนในทันทีทันใด

ฉากตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไป!

ทิวทัศน์ที่คลุมเครือและฝ้ามัวค่อย ๆ รวมตัวกัน วิสัยทัศน์ของซูเฉินไม่ได้ถูกบดบังด้วยหมอกอีกต่อไป แต่มันค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

ท้องฟ้าสีครามสดใสและเมฆสีขาวล่องลอยอยู่เหนือหัว ต้นไม้สูงตระหง่านรอบตัว หญ้าสีเขียวขจีและหลินเซี่ยผู้ยืนบ้าคลั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา

ปรากฏว่าหลินเซี่ยมีใบหน้าที่ยาวและใหญ่ ทำให้เขาดูเหมือนลาจริง ๆ

ซูเฉินพูดไม่ออก เขาค่อนข้างประหลาดใจที่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จะมีความคิดไร้สาระเช่นนั้นปรากฏขึ้นมาในสมองของเขา จากนั้นความประหลาดใจก็เปลี่ยนกลายเป็นความสุขอย่างช้า ๆ

ข้าเห็น!

ข้ามองเห็น!

ซูเฉินเกือบจะตะโกนดัง ๆ ออกมาอย่างมีความสุข

ความหวังที่ซูเฉินไม่เคยปฏิเสธที่จะยอมแพ้ เขาเฝ้ารอการฟื้นตัวอย่างขมขื่น และการฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดที่เขาคาดหวังไว้ก็ได้ปรากฏขึ้นมาแล้วในตอนนี้!

ซูเฉินตื่นเต้นจนอยากที่จะร้องไห้ หัวเราะและตะโกนออกมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาสำหรับการเฉลิมฉลอง

ซูเฉินไม่มีเวลาที่จะดื่มด่ำกับความตื่นเต้นในยามนี้ เขาสังเกตเห็นแสงของคมมีดกรีดผ่านอากาศมาหาตน

ตอนนี้ซูเฉินสามารถมองเห็นได้ชัดเจน มีดทั้งหมดมุ่งหน้าตรงมาทางด้านของเขา

ก่อนที่คมมีดจะมาถึงตัวซูเฉิน เด็กหนุ่มก็ใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษออกมาทันที

ร่างของเขาบินขึ้นไปในอากาศราวกับงู

โชคไม่ดีที่ซูเฉินยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงคมมีดได้อย่างสมบูรณ์ เขาทำได้เพียงแค่หลีกเลี่ยงจุดที่อันตรายถึงชีวิตที่ลำคอเท่านั้น

คมมีดกรีดลงบนหน้าอกของเขา สลักบาดแผลลึกลงไปส่งผลให้เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศ

โชคดีที่หลินเซี่ยพึ่งเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้ไม่นานนัก สำหรับการที่เขาสามารถปล่อยคมมีดออกมาก็นับว่าค่อนข้างดีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ดีพอที่จะสามารถสับซูเฉินเป็นครึ่งหนึ่งได้

ดวงดาวนั่นปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของซูเฉินอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาและถอยกลับไปอย่างช้า ๆ เพื่อหลบหนีออกจากการขอบเขตโจมตีของหลินเซี่ย

การฟื้นฟูวิสัยทัศน์ของซูเฉิน ดูเหมือนว่าจะทำให้พลังของซูเฉินฟื้นตัวขึ้นด้วยเช่นกัน

ซูเฉินหยิบไม้ไผ่แหลมขึ้นมาจากพื้นอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เริ่มใช้ออกก้าวย่างหมอกอสรพิษเพื่อเดินไปทางด้านหลังของหลินเซี่ย นี่คือตอนที่ม่านละอองน้ำคุณสมบัติพิเศษของก้าวย่างหมอกอสรพิษมีบทบาทสำคัญ แม้ว่าเขาจะเดินผ่านพื้นป่าที่ปกคลุมด้วยใบไม้ ทว่าแต่ละย่างก้าวของเขาก็ยังคงเงียบ

ยามนี้ซูเฉินเป็นผู้ที่มีสายตาปกติ ในขณะที่หลินเซี่ยกลายเป็นชายตาบอด

หลินเซี่ยยังคงกวัดแกว่งมีดอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้ตัวว่าศัตรูของเขาได้มาอยู่ที่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว

ลาก่อน!

ซูเฉินกล่าวในใจของเขาขณะที่แทงไม้ไผ่แหลมออกไปข้างหน้า

ฉึก!

ปลายไผ่แหลมเจาะทะลุคอด้านหนึ่งของหลินเซี่ยแล้วโผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง

ร่างกายของหลินเซี่ยชะงักค้าง

อย่างไรก็ตามหลินเซี่ยยังไม่ตาย ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ทันใดนั้นชายหนุ่มก็กรีดร้องขึ้นและหันกลับมาโบกมีดปีกจักจั่นในมือของเขา

น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา ตกอยู่ในสายตาของซูเฉินอย่างสมบูรณ์

ในขณะที่หลินเซี่ยเหวี่ยงมีด ซูเฉินก็ใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษหลบเลี่ยงออกไป มีดปีกจักจั่นไม่ได้โจมตีโดนซูเฉิน เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อฉีกแผลที่คอของหลินเซี่ยให้เปิดออก ลำคอของหลินเซี่ยกลายเป็นช่องโหว่จากการถูกฉีกออกครึ่งหนึ่ง เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุในทันที

กระดูกสันหลังส่วนคอไม่แข็งแรงพอที่จะพยุงศีรษะไว้อีกต่อไป ศีรษะของหลินเซี่ยตกลงมาและแขวนห้อยอยู่ตรงหน้าอกของเขา

หลินเซี่ยก็ได้ตายลงเช่นนั้นเอง