บทที่ 19 ปกปิด (1)
ตุ้บ
ร่างไร้ชีวิตของหลินเซี่ยร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
วัตถุบางอย่างร่วงออกมาจากศพของหลินเซี่ยตอนล้มลงมากองกับพื้น มันดูเหมือนจะเป็นป้ายคำสั่งอะไรบางอย่าง
ป้ายคำสั่งนี้ดูเหมือนว่าจะทำขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ ที่ด้านบนมีรูปประตูสีดำสลักเอาไว้ ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ด้านหลังประตูเป็นแสงเปล่งประกายสว่างไสว ยากที่จะบอกได้ว่ามันคืออะไร
ซูเฉินเก็บป้ายคำสั่งนี้เข้าไปในแขนเสื้อของเขา จากนั้นจึงทำการค้นศพของหลินเซี่ยอีกครั้ง เด็กหนุ่มพบเพียงทองคำและเงินอีกนิดหน่อยเท่านั้น แต่มันก็ไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บทองและเงินเอาไว้
ซูเฉินเลือกที่จะทิ้งมีดปีกจักจั่นไว้และเตรียมจะจากไป
อย่างไรก็ตามหลังจากซูเฉินเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็มีเสียงให้ได้ยินดังขึ้นมาจากทางหน้าของตน
ซูเฉินเข้าใจในทันทีว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีแล้ว ยามของตระกูลหลินย่อมต้องรับรู้ถึงความวุ่นวายและกำลังจะมุ่งหน้ามาตรวจสอบอย่างแน่นอน เสียงกรีดร้องอันน่าเศร้าของหลินเซี่ยก่อนหน้านี้สร้างเสียงดังมากเกินไป
หากถูกสมาชิกของตระกูลหลินจับได้ในสภาพปัจจุบันของเขา มันคงเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ไม่มีทางให้เดินไปข้างหน้า ดังนั้นซูเฉินจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันและตัดสินใจที่จะวิ่งกลับไปในทิศที่เขาจากมา
แม้ว่าบาดแผลของซูเฉินจะสาหัสมาก ทว่าความตื่นเต้นที่เขาได้รับจากการกลับมามองเห็นได้อีกครั้งยังคงกระตุ้นเขาอยู่ ในขณะที่วิ่งผ่านทิวทัศน์ของผืนป่า เด็กหนุ่มรู้สึกว่าดอกไม้ทุกดอก ใบหญ้าทุกใบและต้นไม้ทุกต้นรอบ ๆ ตัวเขาล้วนดูสวยงามอย่างยิ่ง
สีสัน แสงสว่างและทิวทัศน์เคยหายไปได้กลับคืนมาสู่สายตาอีกครั้ง ความตื่นเต้นนี้ทำให้ซูเฉินแทบจะร้องไห้
ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังหลบหนีให้พ้นจากพวกยามตระกูลหลิน ซูเฉินคงแทบรอไม่ไหวที่จะคุกเข่าลงแล้วร้องไห้อย่างมีความสุข ก่อนจะเฝ้าดูสิ่งที่เขาต้องการเห็นมาตลอดไปทั้งวันโดยไม่กะพริบตา
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สิ่งที่ซูเฉินจำต้องทำหลังจากที่เพิ่งจะได้รับวิสัยทัศน์ที่สวยงามคืนมาเป็นครั้งแรกคือการฆ่าใครบางคน ครั้งที่สองคือเพื่อหลบหนี มันช่างน่ากลัวและทำลายอารมณ์ที่จะชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามไปจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ซูเฉินก็ทำได้เพียงถอนหายใจกับความไม่แน่นอนของโชคชะตาเท่านั้น ท้ายที่สุดหากไม่ใช่เพราะการต่อสู้ในวันนี้บางทีเขาอาจจะไม่สามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ในขณะที่ซูเฉินวิ่งไปพลางครุ่นคิดกับตนเองไปพลาง เขาก็กลับมาถึงทะเลสาบขนาดเล็กอีกครั้ง
บริเวณใกล้ ๆ กับริมทะเลสาบมีลานบ้านส่วนหนึ่งพร้อมเฉลียงรอบ ๆ ยื่นออกไปเหนือน้ำ ห้อมล้อมไปด้วยบัวหลวงและบัวสายมากมาย ตอนนี้เป็นเดือนที่สี่ของปีแล้ว ดอกบัวทั้งหลายต่างก็พากันเบ่งบาน ผลัดกันสั่นไหวเบา ๆ ไปตามสายลม ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์กระจายออกมา นั่นคือเรือนเล็กริมทะเลสาบ
ในขณะนี้สาวน้อยนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ใกล้ขอบระเบียงของเรือนเล็ก เด็กสาวสวมชุดคลุมสีเขียวอ่อนและสวมแถบคาดศีรษะหยกสีเขียว ดวงตาของนางเรียวได้รูป แก้มสีแดงอ่อน ๆ ดุจผลแอปริคอต ไม่สามารถคำใดอธิบายได้นอกเสียจากคำว่างดงาม ขณะนั้นนางกำลังเท้าคางจ้องมองลงไปในน้ำ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่
ซูเฉินไม่เคยเห็นกู่ชิงลั่วชัด ๆ มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าใช่นางหรือไม่ อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าที่ดูหรูหราของเด็กสาวและความจริงที่ว่านางกำลังนั่งอยู่คนเดียวใกล้กับทะเลสาบเล็ก มันเห็นได้ชัดว่านางย่อมจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่
และถึงแม้จะเป็นกู่ชิงลั่วจริง ซูเฉินก็ไม่แน่ใจว่านางจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เพราะยังไงเสียท้ายที่สุดเขากับกู่ชิงลั่วก็รู้จักกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ นางยังไม่ได้รู้จักเขามากพอ ปัจจุบัน ซูเฉินไม่ได้ไร้เดียงสาจนเชื่อว่าตราบใดที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อน อีกฝ่ายจะมาช่วยเขาอย่างแน่นอนอีกต่อไป
แต่ยามนี้ซูเฉินไม่มีทางเลือกอื่น
เด็กหนุ่มกัดฟันของเขาแน่น จากนั้นก็รีบมุ่งตรงไปยังเรือนเล็กริมทะเลสาบและจงใจทำให้เกิดเสียงดังขึ้น
ทันทีที่ซูเฉินพุ่งออกมาจากป่าเล็ก ๆ เด็กสาวในศาลาก็ได้ยินเสียงดังที่เขาสร้างขึ้นและหันกลับมามอง แวบแรกนางดูงุนงงและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกดีใจ ครู่ต่อมานางก็หันมองไปรอบ ๆ
จากการแสดงออกและพฤติกรรมของนาง ส่งผลให้ซูเฉินยืนยันได้ในทันทีว่านางคือกู่ชิงลั่วอย่างแน่นอน
กู่ชิงลั่วเหินตัวเข้าไปหาซูเฉิน เมื่อนางมาถึงก็ยื่นมือคว้าตัวเขาไว้แล้วพูดขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงได้มาที่นี่? แล้วทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น สวรรค์ อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสมาก”
“หากเจ้ามีอะไรจะพูดก็เอาไว้ทีหลังเถิด ยามของตระกูลหลินยังอยู่ข้างหลังข้า” ซูเฉินรีบพูดขัด
กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “ข้ารู้ว่าสี่ตระกูลใหญ่ของพวกเจ้ามีความขัดแย้งกัน แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ นอกจากนั้นแม้ว่ามันจะอันตรายมาก แต่เจ้าก็ยังมาหาข้า……”
เห็นได้ชัดว่ากู่ชิงลั่วได้เข้าใจบางอย่างผิดไป และสายตาที่นางใช้มองซูเฉินก็เต็มไปด้วยอารมณ์
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องจริงที่ซูเฉินยังคงเสี่ยงต่อการถูกตระกูลหลินจับได้ แม้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะไม่เกิดขึ้น หากเขาถูกเจอชะตากรรมของเขาก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าดี แม้จะไม่เลวร้ายเท่ากับสถานะปัจจุบัน แต่ก็ย่อมไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจเป็นแน่แท้
ซูเฉินเป็นกังวล “แม่นางน้อยของข้า ก่อนที่เราจะคุยกัน เจ้าช่วยข้าซ่อนตัวก่อนได้หรือไม่? ข้ากำลังจะไม่ไหวแล้ว”
กู่ชิงลั่วตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครกล้ามาตรวจสอบอะไรข้าหรอก”
ในขณะที่พูด นางก็พาซูเฉินกลับไปที่เรือนเล็กริมทะเลสาบ
กู่ชิงลั่วอยู่ที่นี่ในฐานะแขก ตระกูลหลินต้องจัดหาคนรับใช้มาให้กับนาง ทว่ากู่ชิงลั่วไม่ต้องการให้สมาชิกของตระกูลหลินรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูเฉิน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เข้าไปทางประตูหน้าและเลือกที่จะพาซูเฉินเข้ามาในห้องจากทางสวนด้านหลังแทน
“เอาล่ะ เมื่อเจ้าอยู่ในที่ของข้า ยามนี้เจ้าก็ปลอดภัยแล้ว เจ้า……”
ไม่ทันที่กู่ชิงลั่วจะได้กล่าวจบ นางก็เห็นซูเฉินเงยหน้าขึ้นและเป็นลมไปเสียแล้ว
การต่อสู้กับหลินเซี่ยทำให้ซูเฉินผลาญพลังทั้งหมดของเขาไปมาก อีกทั้งด้วยอาการที่สาหัส มันเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่สามารถคงสติเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ ในเมื่อตอนนี้ซูเฉินได้มาถึง “สถานที่ที่ปลอดภัย” เขาจึงได้รู้สึกผ่อนคลายและหมดสติลงไปตามธรรมชาติ
ซูเฉินเป็นลมไปอย่างง่ายดาย จนทำให้กู่ชิงลั่วรู้สึกตะลึงงัน “นี่ นี่ ทำไมเจ้าถึงได้เป็นลมไปก่อนเล่า? เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าจะทำอย่างไรต่อ แล้วยังอาการบาดเจ็บของเจ้า … “
คุณหนูของตระกูลกู่ที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่เคยดูแลใครด้วยตัวเองมาก่อน ทันใดนั้นก็กลับมีผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสตกมาอยู่ในมือของนาง ส่งผลให้เด็กสาวได้แต่ชะงักค้างด้วยความลังเลและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
แม้ว่าจะไม่เคยดูแลคนอื่น ๆ แต่นางก็ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ
บาดแผลที่ซูเฉินได้รับนั้นเป็นบาดแผลภายนอกทั้งหมด ดังนั้นแม้ว่ามันจะดูสาหัส แต่การรักษาพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องสักพัก กู่ชิงลั่วก็สงบลงและครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไร
กู่ชิงลั่วกัดฟันของนาง แล้วฉีกเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของซูเฉินออก
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญหน้ากับร่างเปลือยเปล่าของผู้ชาย นางไม่สามารถหยุดหน้าแดงและการหายใจติดขัดจากความอายได้เลย
โชคดีที่เหล่าบาดแผลอันน่ากลัว นี่จึงช่วยดึงให้สติของ กู่ชิงลั่วกลับมาอย่างรวดเร็ว
กู่ชิงลั่วหยิบกระปุกขี้ผึ้งหยกม่วงประจำตระกูลของนางออกมาและจุ่มนิ้วลงไป ก่อนทาลงบนแผลเบา ๆ ทีละแผล ขี้ผึ้งหยกม่วงนี้เป็นยาสูตรลับของตระกูลกู่ มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลภายนอก หลังจากทาลงไปบนบาดแผล มันจะช่วยห้ามเลือดและยังบรรเทาอาการเจ็บปวดลงเล็กน้อย
ขณะที่นางกำลังทายาให้ซูเฉินอยู่ นางก็ได้ยินเสียงคนรับใช้ดังขึ้นที่ด้านนอกห้อง “คุณหนู ยามสองคนจากตระกูลหลินต้องการพบท่าน”
“พวกมันมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” กู่ชิงลั่วถาม
สาวใช้ตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นในป่าเล็ก ๆ ใกล้ทะเลสาบ สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลินเสียชีวิตลงที่นั่น”
อะไรนะ?
กู่ชิงลั่วสับสน “เป็นฝีมือใครกัน?”
“ข้าเองก็ยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ยามจากตระกูลหลินกล่าวว่าศพยังคงอุ่นอยู่ พวกมันคาดว่าฆาตกรเพิ่งจะจากไป และเพราะมีรอยเลือดเหลือทิ้งไว้ ดังนั้นพวกมันจึงได้ติดตามออกมาจากป่าตลอดทางมาจนถึงที่นี่ พวกมันจึงอยากถามคุณหนูว่าท่านได้พบเห็นอะไรบ้างหรือไม่?”
กู่ชิงลั่วตอบกลับไปว่า “บอกพวกมันไปว่าข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ข้ากำลังฝึกฝนอยู่ ไม่สะดวกที่จะถูกรบกวน ให้พวกมันไปหาดูที่อื่น”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้จากไปอย่างรวดเร็ว
ยามของตระกูลก็จากไปเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะพวกเขากลัวตัวตนของกู่ชิงลั่วหรือเพียงแค่เชื่อคำพูดของนางกันแน่
เท่านี้กู่ชิงลั่วก็สามารถรักษาบาดแผลของซูเฉินต่อได้แล้ว
“หากเจ้าต้องการจะมาเจ้าก็แค่มา จำเป็นต้องไปฆ่าคนจากตระกูลหลินด้วยหรืออย่างไร” กู่ชิงลั่วบ่นพึมพำในขณะที่นางดูแลซูเฉินไปด้วย “อย่างไรก็ตาม การที่คนตาบอดเช่นเจ้าก็ยังสามารถฆ่าคนได้ ช่างเป็นอะไรที่หาได้ยากเสียจริง”
ระหว่างที่คุยกับตัวเอง นางก็ปิดแผลร่างของซูเฉินด้วยขี้ผึ้งรักษาไปด้วย
บาดแผลจากมีดสั้นนั้นง่ายต่อการรักษา ทว่าสำหรับแขนขวาที่หักของเขามันค่อนข้างจะยาก
แขนของซูเฉินหักลงด้วยแรงบิดของหลินเซี่ย การแตกหักแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรักษาด้วยยาได้ กระดูกจะต้องได้รับการจัดเรียงให้เข้ารูปเสียก่อนจากนั้นใส่เฝือกดามไว้ มันต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นฟู ยาที่ดีสามารถช่วยได้แค่ลดระยะเวลาในการพักฟื้นเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยในการจัดตำแหน่งกระดูก
การปล่อยให้กระดูกจัดตัวเองแบบนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝึกไปถึงในระดับที่เนื้อกับกระดูกสามารถงอกและสร้างใหม่ได้ ในสถานการณ์นั้นเราสามารถเอากระดูกที่หักออกแล้วงอกกระดูกใหม่ขึ้นมาแทนที่ซึ่งจะช่วยทำให้กระบวนการรักษาง่ายมากยิ่งขึ้น
กู่ชิงลั่วไม่มีประสบการณ์ในการรักษากระดูกหัก นางทำได้เพียงแค่กัดฟันทนและช่วยให้ซูเฉินจัดกระดูกของเขาใหม่ ตามปกติแล้วในช่วงเวลานี้มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดและต้องจัดใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง นับเป็นปาฏิหาริย์ที่นางไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนสร้างเสียหายอย่างถาวรกับแขนของซูเฉิน ในขณะที่นางพยายามหามุมที่เหมาะสมเพื่อจัดแนวกระดูก
หลังจากการพยายามอย่างหนัก กู่ชิงลั่วก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเฝือกแขนขวาของซูเฉิน ทุกอย่างถูกจัดวางได้อย่างเหมาะสม
เมื่อมองดูผลงานของตัวเองแล้ว กู่ชิงลั่วก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก “ตอนนี้ข้าก็เป็นคนที่รู้วิธีรักษาความเจ็บป่วยและบาดแผลแล้ว น่าเสียดายที่เจ้าได้รับบาดเจ็บมาน้อยเกินไป ข้าจึงไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถในการชุบคนตายให้กลับมามีชีวิตได้อีกของข้า”
ก่อนหน้านี้กู่ชิงลั่วเคยบ่นว่าบาดแผลของซูเฉินสาหัสเกินไป ทว่ายามนี้นางกำลังจมอยู่กับความกระตือรือร้นในการช่วยชีวิตคน ทำให้รู้สึกว่าแผลของซูเฉินนั้นเบาเกินไปและไม่เพียงพอที่จะให้นางแสดงความสามารถทั้งหมดออกมา
สำหรับแผลที่ถูกแทงทั้งหมดนั้นถูกทาด้วยขี้ผึ้งหยกม่วงในขนาดที่สามารถรักษาคนได้ถึง 10 คน เช่นเดียวกับการจัดแนวกระดูกใหม่ที่ใช้ความพยายามไปทั้งหมด 7 ถึง 8 ครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคุณหนูกู่ผู้นี้ย่อมเมินประเด็นยิบย่อยเหล่านี้ไปโดยปริยาย