กลางดึกรอบด้านมืดมิด ภูเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปเห็นเป็นเงาดำตะคุ่ม ต้นไม้ใกล้ๆ เห็นเป็นสีขาวแกมเทา หมู่บ้านเล็กๆ ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านมาให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก

เซียวเถี่ยเฟิงกอดกู้จิ้งไว้กับอกพลางกระซิบตรงข้างหูเธอเบาๆ “คราวนี้รู้สึกหนาวรึยัง? ไม่ให้เจ้ามาก็ดึงดันจะมา ต้องให้ข้ากอดเอาไว้แล้วสินะ”

กู้จิ้งแค่นเสียงฮึดฮัดก่อนจะซุกตัวกับอกของเขาเพื่อแสวงหาความอบอุ่น “ฉันจะมา จะให้นายกอด!”

เซียวเถี่ยเฟิงขบติ่งหูของเธอเบาๆ “เด็กโง่!”

แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่ลมหายใจที่สัมผัสกับติ่งหูของเธอกลับร้อนผ่าว กู้จิ้งเริ่มทนไม่ไหว ดังนั้นจึงกล่าวเสียงสั่น “นายเป็นผู้ชายของฉัน ฉันก็ต้องให้นายกอดอยู่แล้ว!”

เซียวเถี่ยเฟิงหัวเราะเสียงแหบ “รู้ก็ดีแล้ว”

ระหว่างที่พูด เขาไม่ขบอีก แต่เปลี่ยนไปเคี้ยวเบาๆ แทน

กู้จิ้งจั๊กจี้มากก็เลยพยายามหลบ

กำลังเล่นสนุกกันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาแต่ไกล ทั้งสองจึงรีบกลั้นหายใจนิ่ง

ไม่นานนักก็เห็นคนสองคนหาบคานเดินลับๆ ล่อๆ มาที่บ่อน้ำ

“ท่านลุงบอกว่านั่นเป็นแค่เรื่องโกหก ท่านอยู่มาจนอายุปูนนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีอาคมแบบนี้มาก่อน เราคงไม่ได้หลงกลหรอกนะ?”

“ถุย! ฟังเขาพูดเหลวไหล คราวก่อนเราก็หลงกล หากไม่ใช่โลภอยากได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากเขา เราต้องทำเรื่องแบบนี้หรือ? ข้าจะบอกให้นะ ถึงเซียวเถี่ยเฟิงจะจนก็ไม่ใช่จะตอแยได้ง่ายๆ ข้าได้ยินมาว่าสมัยอยู่ข้างนอก เขาทั้งเคยฆ่าคนทั้งเคยค้าของเถื่อน หากล่วงเกินเขา เราต้องแย่แน่!”

ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าขึ้นจะเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กำลังยืนจ้องพวกเขาด้วยสายตาเยียบเย็น

ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวจนหาบหล่นลงบนพื้น ใบหน้าซีดขาว เสียงสั่นระริก “เจ้า…เจ้า…”

เซียวเถี่ยเฟิงไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งนั้น เขาก้าวเข้าไปจับตัวคนทั้งสองไว้ในมือคนละข้างพลางเค้นถามเสียงเย็น “บอกมา พวกเจ้าเป็นคนไปวางเพลิงที่ถ้ำใช่ไหม?”

“ไม่… ไม่ใช่อยู่แล้ว เราจะทำเรื่องแบบนั้น…”

พวกเขายังพูดไม่ทันจบ เซียวเถี่ยเฟิงก็จับร่างพวกเขายกขึ้นแล้วกระแทกเข้าด้วยกันอย่างแรง

ทั้งสองต่างรู้สึกว่าแผงอกของฝ่ายตรงข้ามแข็งมาก กระแทกเข้าด้วยกันแบบนี้ พวกเขาก็ทั้งเวียนหัวทั้งตาลายทั้งเจ็บอกจนแทบกระอักเลือดออกมา

“พูด!” เซียวเถี่ยเฟิงตะคอก สีหน้าเยียบเย็นน่าเกรงขามมาก

ทั้งสองตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง สุดท้ายก็เข่าอ่อนทรุดฮวบลงตรงนั้น ปากพร่ำวิงวอนขอความเมตตาพลางสารภาพความจริง

“ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย! เป็นพวกเรา แต่เราไม่ได้ตั้งใจนะ!”

“เถี่ยเฟิง เห็นแก่ที่เรามีบรรพบุรุษคนเดียวกัน เจ้าก็ปล่อยเราไปเถอะ? ที่บ้านข้ายังมีเมียมีลูกมีแม่แก่ๆ อีก!”

“อ๊าก… เถี่ยเฟิง ถ้ายังทำอย่างนี้อีกเราต้องตายแน่ ขอร้องเจ้าปล่อยเราไปเถอะนะ!”

“ปล่อยเราไปเถอะ!”

ถึงตอนนี้ คนอื่นๆ ในหมู่บ้านซึ่งได้ยินเสียงต่างก็พากันสวมเสื้อผ้าวิ่งออกมาดู แม้กระทั่งหมาในหมู่บ้านที่ชื่อวั่งไฉก็ส่งเสียงเห่าไม่หยุด

ทุกคนได้ยินทั้งสองยอมรับสารภาพเต็มสองหู “เป็นเรา เราเป็นคนไปวางเพลิงเผาถ้ำ แต่เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เราไม่ได้เจตนา เรา…”

แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับเป็นเท้าของเซียวเถี่ยเฟิง “ปากนี่ไม่รู้จักพูดความจริงใช่ไหม?”

กล่าวพลางเตะฝ่ายตรงข้ามจนเลือดกบปาก

“ข้าพูด ข้าพูด เราถูกคนบงการ ท่านลุงจ้าวเป็นคนบอกให้เราไปเผานางปีศาจ!” หนึ่งในนั้นร้องตะโกนทั้งน้ำตา

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตะลึงงันไปทันที

ท่านลุงจ้าว? จ้าวฝูชาง?

เขา…ทำเรื่องแบบนี้งั้นหรือ?

ชั่วพริบตาต่อมา จ้าวฝูชางซึ่งยืนเอามือไพล่หลังก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

“ถูกต้อง เป็นข้า ข้าเป็นคนบอกให้พวกเขาไปเผาถ้ำของนาง”

ชายชราเดินตรงมาด้วยย่างก้าวมั่นคง “นางปีศาจเช่นนี้ เขาเว่ยอวิ๋นไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด”

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่พูดอะไรอีก ตระกูลจ้าวหยั่งรากฝังลึกมานาน หลายปีมานี้ก็เป็นที่เกรงขามของทุกคน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าต่อต้าน อย่างน้อยก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาต่อหน้า

เซียวเถี่ยเฟิงแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “ท่านลุง หากเป็นท่าน เถี่ยเฟิงด้อยอาวุโสกว่าย่อมพูดอะไรไม่ได้ ดูท่าข้าคงต้องลงเขาไปขอความเป็นธรรมจากทางการเสียแล้ว”

“ฮ่าๆ เถี่ยเฟิง หากข้าคิดฆ่าคนจริง ทางการย่อมสมควรเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้ แต่นางเป็นคนหรือ? ในอำเภอมีรายชื่อของนางอย่างนั้นหรือ? มีเอกสารประจำตัวของนางอย่างนั้นหรือ?”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ตระหนักถึงปัญหาที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที

เธอข้ามเวลามา ดังนั้นจึงไม่มีฐานะอะไรในโลกนี้

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ตามองกู้จิ้งที มองจ้าวฝูชางที ในใจก็อดนึกสงสัยไม่ได้

นางเป็นปีศาจจริงหรือ? หากเป็นปีศาจ จ้าวฝูชางวางเพลิงฆ่านางก็คงจะไม่มีความผิดนะ?

แต่ในตอนนั้นเอง ภรรยาของจ้าวจิ้งเยว่ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนกลับตะโกนขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเมียของเถี่ยเฟิงเป็นปีศาจหรือเป็นเซียน นางเคยช่วยเรา! หากไม่ใช่นาง หยางต้านของข้าคงถูกหมาป่ากินไปแล้ว! ต่อให้เป็นปีศาจ นางก็เป็นปีศาจที่ดี! ปีศาจที่มีใจเมตตา ดีกว่าคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเสียอีก! อยู่ดีๆ ก็มีคนวิ่งไปวางเพลิงฆ่านาง นี่มันคนเสียสติชัดๆ”

“ใช่ๆๆ เขาเว่ยอวิ๋นของเราไม่ยอมรับคนจิตใจอำมหิตเช่นนี้เด็ดขาด!”

“หากไม่ใช่ต้าเซียน ลูกข้าคงตายไปนานแล้ว! ต้าเซียนช่วยชีวิตลูกของข้าไว้ ใครกล้าทำร้ายนาง ข้าจะแลกชีวิตกับมัน!”

“หากต้าเซียนเป็นอะไรไป ต่อไปถ้าคนบนภูเขาของเรามีเรื่องอะไร ใครจะมาช่วยเรา?”

“พูดถูก คนที่ทำร้ายต้าเซียนก็คือคนที่ทำร้ายพวกเรา!”

สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้ สตรีซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้นพุ่งเข้าไปหาจ้าวฝูชาง “ไอ้แก่ไม่รู้จักตาย กล้าล่วงเกินต้าเซียน!”

“หยุดนะ!” เสียงตะโกนดังขึ้น จากนั้นจ้าวจิ้งเทียนก็ก้าวออกมา

ยามนี้ จ้าวจิ้งเทียนซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อหลายวันก่อนสามารถเดินกะโผลกกะเผลกออกมาโดยมีท่านหมอเหลิ่งช่วยพยุงได้แล้ว

เสียงตะโกนโหวกเหวกเงียบลง แต่ไม่นานนักก็มีเสียงสตรีกล่าวเสียดสีขึ้นว่า “โอ้โฮ นี่ไม่ใช่หัวหน้าพรานเขาเว่ยอวิ๋นหรอกหรือ เป็นอะไรไป ยังไม่หายดีอีกรึ?”

“สนใจทำไมว่าหายดีหรือยัง อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจ แต่สามีของข้ากลับตายไปแล้ว!”

คนที่กล่าวคำพูดนี้ย่อมเป็นภรรยาของจ้าวลิ่วจื่อที่เสียชีวิตไป

ดวงตาของจ้าวจิ้งเทียนปรากฏแววขมขื่น เขายกมือขึ้นคารวะทุกคน จากนั้นจึงกล่าวกับเซียวเถี่ยเฟิงว่า “เถี่ยเฟิง เรื่องในวันนี้ พ่อของข้าเป็นฝ่ายทำไม่ถูก แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นพ่อของข้า ข้าจะยืนมองดูท่านลำบากอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เรื่องในวันนี้ ข้ายินดีรับการลงโทษแทน ข้าจ้าวจิ้งเทียนยืนอยู่ที่นี่ เจ้าจะลงโทษอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น”

จ้าวฝูชางได้ยินเช่นนี้ก็ตวาดเสียงดัง “บัดซบ ใครให้เจ้าออกมา! เจ้าเป็นหัวหน้าพรานเขาเว่ยอวิ๋นเรา จะยอมขายหน้าแบบนี้ได้อย่างไร? วันนี้ข้าจ้าวฝูชางทำผิด ใครทำคนนั้นรับผิดชอบ เซียวเถี่ยเฟิงจะทำอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา!”

“ท่านพ่อ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย!”

จ้าวจิ้งเทียนกัดฟันด้วยความจนใจ

เขาย่อมรู้ว่าทำไมบิดาของเขาถึงต้องทำร้ายกู้จิ้ง ก็เพราะกลัวว่ากู้จิ้งมีอาคมสูงส่ง วันหน้าจะช่วยเถี่ยเฟิงต่อกรกับเขาน่ะสิ

แต่ว่า…จ้าวจิ้งเทียนมองกู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างกายเซียวเถี่ยเฟิง

ต่อให้นางช่วยเถี่ยเฟิงแล้วจะทำไม เขาเอง…ก็อยากให้นางมีชีวิตที่มีความสุข

เซียวเถี่ยเฟิงมองดูคนสองคนซึ่งแย่งกันรับโทษ จากนั้นก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ

“นี่ คือหนังสือแต่งงานของข้ากับเมียข้า ส่วนนี่ คือเอกสารประจำตัวของนาง”

หลังจากแน่ใจว่าทุกคนเห็นแล้ว เซียวเถี่ยเฟิงก็เก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง “แม้นางจะมีอาคม แต่ไม่ใช่ปีศาจอะไรทั้งนั้น นางเป็นคน เป็นภรรยาที่ถูกต้องของข้า มีคนคิดฆ่านาง ไม่ว่าเป็นใครก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปร้องเรียนต่อทางการ”

สุดท้ายเรื่องวุ่นวายครั้งนี้จบลงด้วยการที่คนตระกูลเซียวหลายคน

เช่น เซียวซู่หลี่ยื่นมือเข้ามาแทรก ทุกคนนั่งลงแล้วเริ่มปรึกษากันว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร คนเฒ่าคนแก่หลายคนในเขาเว่ยอวิ๋นต่างก็เห็นว่าควรตกลงกันเงียบๆ แม้กระทั่งกู้จิ้งเองก็ยังรู้สึกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นบรรพบุรุษของเขาเว่ยอวิ๋น คนที่เธอเคยเรียกอาเรียกอาสะใภ้ล้วนเป็นลูกหลานของคนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ท่านบรรพบุรุษลำบากใจ ปล่อยพวกเขาไปเถิด

ยิ่งไปกว่านั้น เธอกับเซียวเถี่ยเฟิงยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป หลังจากเกิดเรื่องครั้งนี้ จ้าวฝูชางคงไม่กล้าคิดร้ายอะไรอีก

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับไม่เห็นด้วย เขายืนกรานจะแจ้งทางการให้ได้ แม้คนตระกูลเซียวจะช่วยกันเกลี้ยกล่อม เซียวเถี่ยเฟิงก็ยังยืนกรานจะแจ้งทางการอยู่ดี

“เถี่ยเฟิง ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสของเขาเว่ยอวิ๋น อย่างน้อยก็ไว้หน้าเขาสักครั้งเถิด?”

เซียวเถี่ยเฟิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “นี่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะให้ข้าไว้หน้าเขา แต่ถ้าเมียของข้าเป็นอะไรไป ใครจะคืนเมียให้ข้า?”

แววตาทั้งคู่ของเขาเยียบเย็นราวคมธนู ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายแทบจะไม่กล้ามองตรงๆ