เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวต่อ “แต่ผู้อาวุโสทุกท่านล้วนเห็นข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่มีเหตุผลแล้วจะไม่ยอมปล่อยปละละเว้นผู้คน เรื่องในวันนี้ อยากยุติก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องแสดงความจริงใจ ชดเชยอะไรบางอย่างปลอบขวัญภรรยาของข้า ไม่เช่นนั้น ต่อให้ไม่แจ้งทางการ ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยคนที่ทำร้ายภรรยาของข้าไปแน่”
ทุกคนปรึกษากันแล้วก็เชิญเซียวเถี่ยเฟิงไปทางด้านหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป
จ้าวฝูชางสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะช่วยสร้างบ้านใหม่ให้เซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งตรงนอกถ้ำที่ถูกไฟไหม้ และจะออกเงินซื้อเครื่องเรือนให้ใหม่ครบชุด นอกจากนี้ยังต้องสาบานต่อหน้าศาลบรรพชนตระกูลจ้าวว่านับแต่นี้จะไม่คิดร้ายต่อผู้อื่นอีกด้วย
ส่วนคนสองคนที่ลงมือวางเพลิงย่อมถูกไล่ให้ไปใช้แรงงานช่วยสร้างบ้านด้วย
เรื่องทั้งหมดยุติลงชั่วคราว เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวกับจ้าวฝูชางว่า “ท่านลุง เรื่องในวันนี้ ไม่ใช่เด็กอย่างข้าจงใจบีบคั้น แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงชีวิต หวังว่าต่อไปนี้ท่านลุงจะระวังตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นอาคมของเมียข้ากับกำปั้นของข้า ใช่ว่าจะตอแยได้ง่ายๆ”
กล่าวจบก็พากู้จิ้งจากไปโดยไม่รอให้จ้าวฝูชางตอบ
ทุกคนซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างไม่กล้าพูดอะไร รอจนกระทั่งเขาจากไปแล้วถึงได้มีคนพูดขึ้นว่า “เห็นเถี่ยเฟิงเป็นคนซื่อๆ คนทั้งกลุ่มก็รุมรังแก ตอนนี้พวกเจ้าจะได้รู้เสียบ้างว่าเสือไม่สำแดงอำนาจก็เห็นเป็นแมวป่วย ได้รับบทเรียนแล้วสินะ!”
“ใช่ อาคมของต้าเซียน พวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น ทำไมต้องไปตอแยด้วย ต้องรอให้มีฝนตกหนักติดต่อกันอีกสามวัน ให้น้ำท่วมเขาเว่ยอวิ๋นก่อนถึงจะยอมเลิกราอย่างนั้นหรือ?”
ถ้อยคำเสียดสีเหล่านี้ทำให้จ้าวฝูชางอับอายมาก ร่างของเขาเซไปด้านหนึ่ง เกือบจะทรุดลงกับพื้น
สุดท้ายท่านหมอเหลิ่งเป็นคนก้าวออกมาช่วยไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้ท่านลุงจ้าวทำผิด แม้อายุจะมากแต่ก็ยอมรับผิดและได้ขอโทษแล้ว ทุกท่านต่างก็ได้รับบทเรียน นับแต่นี้ไป ควรไหว้เทพก็ไหว้เทพ ควรไหว้พระก็ไหว้พระ อย่าได้มีใจคิดทำร้ายผู้อื่น”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันพยักหน้ารับคำ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แม้ท่านหมอเหลิ่งจะไม่มีอิทธิพลมากเท่าตระกูลจ้าวตระกูลเซียว แต่หลายปีมานี้ก็ช่วยรักษาผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน คำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักอยู่บ้าง
เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาหักหน้าจ้าวฝูชางอย่างรุนแรง ซ้ำยังได้บ้านอีกหนึ่งหลังเป็นค่าเสียหาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าลงโทษจ้าวฝูชางเบาไป แต่จ้าวฝูชางมีอิทธิพลในเขาเว่ยอวิ๋นมาก เขาเองก็ไม่สามารถจับตัวจ้าวฝูชางส่งไปที่ว่าการอำเภอได้จริงๆ คนในภูเขาจะสร้างบ้านสักหลังย่อมใช้เงินไม่น้อย คนทั่วไปเก็บสะสมเงินมาทั้งชีวิตก็พอแค่สร้างเรือนหอให้ลูกชายเท่านั้น ดังนั้นครั้งนี้สำหรับคนตระกูลจ้าวแล้ว ย่อมไม่ต่างจากการตัดขาสองข้างของแพะออกมา
“คราวนี้เราไม่ต้องทำอะไรก็มีบ้านให้อยู่แล้ว”
เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้ร้องจะเอานั่นเอานี่แล้วก็มองเธอยิ้มๆ “เจ้าอยากได้อะไรอีกนะ?”
กู้จิ้งนึกถึงภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเตียง รสชาตินั้น เรี่ยวแรงนั้น แม้กระทั่งวิญญาณก็แทบจะหลุดออกจากร่าง คิดขึ้นมาร่างของเธอก็อ่อนปวกเปียก แต่ปากกลับจงใจแค่นเสียงฮึดฮัด “ฉันยังจะกล้าขออะไรอีกงั้นรึ? ฮึ!”
ปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวแล้ว!
เซียวเถี่ยเฟิงมองสีชมพูเรื่อบนแก้มขาวเนียนของเธอ ดวงตาสุกใสทั้งคู่ฉายแววกล่าวโทษ เสน่ห์เย้ายวนนั้นมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้
เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นบนเตียงเมื่อครู่ เส้นผมสีดำซึ่งแผ่กระจายอยู่บนเตียงขยับเบาๆ ราวระลอกคลื่นตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา ช่างดูเย้ายวนใจอย่างไม่มีอะไรเทียบได้เลย
ความรู้สึกมากมายผุดขึ้นในหัวใจของเขา เซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอไว้กับอกพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ดีเอง ข้าคิดว่าตัวเองได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มามากพอแล้วก็เลยไม่เห็นทรัพย์สินนอกกายอยู่ในสายตา คิดว่าแม้จะยากจนแต่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ แต่เจ้าเคยอยู่แต่ในโลกปีศาจ ไม่เคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษย์ เอาไว้ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวชมโลกภายนอก ดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยแววรักถนอมแกมเอาอกเอาใจ ราวกับว่าต่อให้เธออยากได้พระจันทร์บนฟ้า เขาก็จะหาทางเด็ดลงมาให้ ดังนั้นกู้จิ้งจึงจงใจทำปากเชิดพลางกล่าวเบาๆ ว่า “นายไม่มีเงิน พูดแต่ปากจะมีประโยชน์อะไร? จะให้ฉันตามนายออกไปกินลมอย่างนั้นหรือ?”
ดังนั้น นายต้องออกไปหาเงิน!
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นท่าทางละโมบของเธอก็จนใจนัก เขาก้มลงกระซิบตรงข้างหูเธอว่า “หากข้านำเงินทองมามอบให้เจ้าได้ เจ้าจะขอบคุณข้ายังไง?”
“หากฉันเสกไข่มุกเสกอำพันออกมาได้ นายจะขอบคุณฉันยังไง?” กู้จิ้งล้อเขา
เซียวเถี่ยเฟิงหยิกแก้มเธอเป็นการลงโทษ
“บอกมา ถ้าข้าเอาเงินทองทั้งสีทองสีขาวทั้งกลมทั้งแบนมามอบให้เจ้าได้ เจ้าจะขอบคุณข้ายังไง?”
กู้จิ้งกะพริบตาปริบๆ ใส่เขาด้วยท่าทางเย้ายวน
“นายว่ายังไงก็ว่าตามนั้น”
เซียวเถี่ยเฟิงขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมพลางกล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่ง
กู้จิ้งหรี่ตามองเขา “โลภมาก”
เซียวเถี่ยเฟิงมองท่าทางเย้ายวนของหญิงสาวในอ้อมกอด ประกอบกับนึกถึงรสชาติที่เคยได้ลิ้มลอง เขาก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขารีบพูดปลอบประโลมเธอเสียงเบา “เสี่ยวจิ้งเอ๋อคนดี ได้หรือไม่? ทำให้ข้าอีกครั้งได้ไหม?”
นิ้วหยาบกร้านของเขาถูไถกับริมฝีปากบอบบางอ่อนนุ่มของเธอ
“ครั้งก่อน ยอดเยี่ยมมากเลย”
เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมริมฝีปากน้อยๆ ที่แสนบอบบาง ริมฝีปากที่เปล่งปลั่งแดงระเรื่อเช่นนี้ ทำไมถึงได้…
นึกถึงตรงนี้เขาก็ไม่กล้าคิดต่อไปอีก ชายหนุ่มสูดหายใจลึก “หืม?”
“ถ้าอย่างนั้นนายต้องให้ทองฉัน ต้องให้เงินฉัน~~~”
เพื่อผลประโยชน์ของลูกหลานรุ่นหลัง เพื่อที่นาหลายไร่ของยาย กู้จิ้งเต็มใจเสียสละตัวเอง
“ตามข้ามา” เซียวเถี่ยเฟิงยิ้มพลางดึงเธอให้เดินตามไปที่ลานหลังบ้าน ตรงนั้นมีต้นพุทราแก่อยู่ต้นหนึ่ง
เขาหยิบพลั่วออกมาแล้วเริ่มลงมือขุด
“นายจะทำอะไร ในนั้นมีสมบัติประจำตระกูลซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?” กู้จิ้งงุนงง แต่อดอยากรู้ไม่ได้
“จุ๊ๆ ระวังคนอื่นได้ยินเข้า” เซียวเถี่ยเฟิงส่งสัญญาณให้เธอพูดเบาๆ หน่อย
“อ้อ ได้ๆๆ” กู้จิ้งรีบลดเสียงให้เบาลง จู่ๆ หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้น เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หรือเขากำลังขุดสมบัติจริงๆ?
ผ่านไปครู่หนึ่ง พลั่วของเซียวเถี่ยเฟิงก็กระแทกเข้ากับของแข็งๆ บางอย่าง จากนั้นเขาก็เลิกขุดแล้วย่อตัวลงใช้มือขุดแทน
กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายวูบ เธอรีบเข้าไปช่วยเขาขุดดินทันที
สิ่งที่อยู่เบื้องล่างคือหีบซึ่งมีลวดลายแบบโบราณ แค่ดูก็รู้ว่ามีราคาไม่น้อย หากอยู่ในสมัยปัจจุบันก็นับได้ว่าเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่ง
กำลังคิดอยู่ เซียวเถี่ยเฟิงก็เปิดหีบใบนั้นออก ทันใดนั้น กู้จิ้งก็ต้องตาพร่า
สิ่งที่อยู่ด้านในเป็นรูปเรือกลมป้อมสีเหลืองทองเปล่งปลั่ง เมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์เช่นนี้มันก็เปล่งประกายสีทองระยิบระยับจับตาเหลือเกิน
“นี่…นี่?” กู้จิ้งตื่นตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
เซียวเถี่ยเฟิงยกหีบใบนั้นขึ้นมาแล้วก็จูงกู้จิ้งกลับเข้าไปในบ้าน
ก้อนทองสีทองอร่ามถูกวางไว้บนเตียง กู้จิ้งนั่งนับอยู่ข้างๆ หนึ่งสองสามสี่ห้า นับก้อนหนึ่งก็ยิ้มทีหนึ่ง
“เป็นยังไง เมื่อครู่เจ้ารับปากแล้วนะ” เซียวเถี่ยเฟิงเอ่ยเตือน
“อะไรหรือ?” กู้จิ้งยิ้ม มือกอดก้อนทองเอาไว้พลางแสร้งทำเป็นโง่
“น้อยๆ หน่อย” เซียวเถี่ยเฟิงย่อมมองลูกไม้ของเธอออก
“วันนี้ไม่ค่อยอยากกินอะไร” กู้จิ้งแค่นเสียงฮึดฮัดพลางหลุบตามองต่ำ
เซียวเถี่ยเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมากวาดก้อนทองทั้งหมดไปกอดเอาไว้
“ไม่ให้เจ้าแล้ว…”
“อย่า!” กู้จิ้งรีบแย่งกลับไปแล้วกอดไว้ไม่ยอมปล่อย “ได้ๆๆ ฉันพูดคำไหนคำนั้น บอกแล้วว่านายว่ายังไงก็ว่าตามนั้น!”
กู้จิ้งไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ดึกๆ ดื่นๆ ทำศึกบนเตียงเสร็จก็ไปจับคนร้าย จับคนร้ายเสร็จก็มาขุดสมบัติ ขุดสมบัติเสร็จก็ยังมีอารมณ์อีก**?**
เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีปรนนิบัติจนปากเมื่อยไปหมด ในที่สุดท่านบรรพบุรุษก็ยอมเลิกรา
กู้จิ้งนอนแผ่อยู่ตรงนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ปากก็พึมพำว่า “เพื่อคุณยาย ฉันต้องลำบากไม่น้อยเลย”
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเธอพูดถึงคุณยายมาหลายครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ “ยายของเจ้า?”
“ใช่ ฉันทำเพื่อคุณยาย”
“เพราะยายของเจ้า เจ้าก็เลยจากโลกของตัวเองมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
“นี่…” กู้จิ้งหยุดคิด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”
หากไม่ใช่กระเป๋าหนังสีดำของคุณยาย เธอก็คงไม่ข้ามเวลามาในอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อนแบบนี้หรอก
เซียวเถี่ยเฟิงนอนแผ่อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่ดวงตาที่หรี่ลงกลับจ้องเขม็งไปที่เพดานกระดำกระด่างด้านบน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร
กู้จิ้งปรายตามองชายหนุ่มด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงขุดของดีแบบนี้ออกมาจากใต้ต้นพุทราได้ล่ะ?”
“ฝังเอาไว้น่ะสิ”
กู้จิ้งเห็นเขาตอบแบบขอไปทีก็ใช้มือกระตุกขาของเขาทีหนึ่ง
“ใครฝัง?”
เซียวเถี่ยเฟิงตอบเสียงเรียบ “ข้า”