ตอนที่ 485 ปลูกฝัง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 485 ปลูกฝัง

อันหลิงเกอรู้แก่ใจดีว่ามู่จวินฮานมิใช่คนเยี่ยงนี้ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นก็ทำให้ในใจของนางอดสงสัยมิได้

“ช่างเถิด มิต้องพูดแล้ว”

นางมิอยากได้ยินสิ่งใดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

แต่อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าเสี่ยวเสวียที่ตนเก็บไว้ข้างกายตลอด วันหนึ่งจะทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้

มินานก็ถึงงานฉลองครบร้อยวันขององค์ชายน้อย ฮ่องเต้ได้พระราชทานนามให้เขาว่าจ้าวหลานชาง

“ชางเอ๋อ เจ้าอยากพบท่านแม่หรือไม่ ? ” ค่ำคืนนี้ขณะที่เสี่ยวเสวียกำลังอาบน้ำให้องค์ชายน้อยอยู่ก็กล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาโดยตั้งใจและมิตั้งใจ

องค์ชายน้อยยังเยาว์วัยย่อมมิเข้าใจความหมายของเสี่ยวเสวีย

“วันพรุ่งนี้พี่สาวจะพาเจ้าไปพบท่านแม่ดีหรือไม่ ? ”

ถึงอย่างไรองค์ชายน้อยก็ต้องคอยพึ่งพาเสี่ยวเสวียราวกับเป็นพี่สาวคนโตอยู่แล้ว อีกทั้งในชีวิตประจำวันของเขาก็ล้วนแต่มีเสี่ยวเสวียคอยดูแล ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงมิธรรมดา

เช้าตรู่วันที่สองเสี่ยวเสวียใช้ข้ออ้างว่าพาองค์ชายน้อยออกไปเดินเล่น แต่ความจริงพามายังวัดที่อยู่หลังภูเขาแทน

ซึ่งเป็นที่พักพิงของหลี่กุ้ยเฟย คิดแล้วนางก็คงอยากเจอบุตรชายอยู่มิน้อยและในใจของเสี่ยวเสวียก็ตื่นเต้นอย่างมาก

“ไป เราเข้าไปข้างในกันเถิด” เสี่ยวเสวียมองหน้าตาขององค์ชายน้อยที่ละม้ายคลายคลึงหลี่กุ้ยเฟยมาก จากนั้นก็อุ้มเขาเดินเข้าไป

ภายในใจของเสี่ยวเสวียอยากปลูกฝังเด็กคนนี้ให้เริ่มเกลียงชังอันหลิงเกอตั้งแต่เด็ก

เวลานี้หลี่กุ้ยเฟยกำลังใช้จอบขุดดินอยู่ในลานกว้างด้านหลัง แม้ลำบากมากแต่นางก็ยังเบิกบานใจ เมื่อเปรียบเทียบกับตอนอยู่ในวังหลวงแล้ว นางยังรู้สึกว่าช่วงเวลานี้สบายใจกว่ามาก

เสี่ยวเสวียมิได้พาองค์ชายเข้าไปหาทันทีแต่เลือกยืนอยู่ไกล ๆ ให้เขาเห็นมารดาของตน ถึงอย่างไรที่นี่ก็ต้องมีคนของมู่จวินฮานอย่างแน่นอน หากโดนพบเข้าก็คงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

“นั่นคือมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายน้อย ชางเอ๋อจำไว้นะเพคะ ที่มารดาขององค์ชายมีวันนี้ล้วนเป็นเพราะอันหลิงเกอและมู่จวินฮานทั้งสิ้น” เสี่ยวเสวียยกยิ้มพร้อมลูบไปบนหน้าผากขององค์ชายน้อย เขาเป็นเด็กฉลาดต้องจำมารดาได้อย่างแน่นอน

จ้าวหลานชางยังมิเข้าใจ เขาเห็นแค่สตรีกำลังทำไร่และเนื้อตัวสกปรกจึงอดขมวดคิ้วมิได้

“แง” เด็กยังเล็กจึงร้องไห้ออกมาโดยมิรู้ตัว

เขายังมิเข้าใจว่าเสี่ยวเสวียกำลังกล่าวเรื่องอันใดแต่ก็ร้องไห้จนแทบขาดใจทีเดียว

“เอาล่ะ เอาล่ะ เราไปกันเถิด” เสี่ยวเสวียรู้ว่ามิสามารถเปิดเผยตนในเวลานี้ได้ นางจึงรีบพาองค์ชายน้อยไปจากที่นี่โดยเร็ว “ชางเอ๋อ เราต้องกลับกันแล้ว”

หลี่กุ้ยเฟยที่อยู่ด้านหลังดูเหมือนได้ยินเสียงอันใดบางอย่าง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มิพบอันใด สงสัยว่าตนคิดมากไป

วันนี้เสี่ยวเสวียเห็นเจ้านายลำบากยากเข็ญทั้งยังมิสบายเหมือนยามประทับในวัง นางก็ยิ่งรู้สึกมิดีทั้งยังเป็นการยืนยันการตัดสินใจด้วย

องค์ชายเจ็ดตรัสถูกต้อง มีแค่กำจัดจวนอ๋องมู่เท่านั้นจึงทำให้ช่วงเวลาของพวกตนดีกว่าในอดีต !

เวลาผ่านพ้นไปอีกช่วงหนึ่ง หลายวันมานี้ความสัมพันธ์ของอันหลิงเกอและมู่จวินฮานเริ่มผ่อนลงบ้าง มู่จวินฮานมาพักในเรือนของอันหลิงเกออยู่หลายครา ดูเหมือนทั้งสองคนจะกลับมาสนิทสนมกันแล้ว

“เกอเอ๋อ เรื่องของเสี่ยวเสวียนั้น…” มู่จวินฮานอยากอธิบายเรื่องของเสี่ยวเสวียให้อันหลิงเกอเข้าใจ แต่นางทำได้แค่ส่ายหน้าและบอกให้เขาหยุดกล่าว

มู่จวินฮานรู้ว่าวันนี้อันหลิงเกอยังมิยอมรับคำอธิบาย เขาจึงมิได้กล่าวอันใดต่อและกอดอันหลิงเกอไว้แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยกัน

หนึ่งเดือนหลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ตรวจพบว่าตนตั้งครรภ์ เรื่องนี้สำหรับมู่จวินฮานและอันหลิงเกอคือเรื่องน่ายินดีมากทีเดียว บัดนี้องค์ชายน้อยมีพระชนมายุ 6 เดือนแล้วจึงมิต้องให้นางมาดูแลทุกวี่วันอีก

นางมีบุตรแล้ว ในที่สุดนางก็มีบุตรของตนเอง แต่พอเรื่องนี้รู้ถึงหูของเสี่ยวเสวียกลับมิใช่เรื่องน่ายินดีเอาเสียเลย

เสี่ยวเสวียมิอยากให้อันหลิงเกอมีชีวิตที่ดี เมื่อรู้ว่าอันหลิงเกอตั้งครรภ์แล้วยิ่งมิสบายใจ

เสี่ยวเสวียขมวดคิ้วเล็กน้อย หากนางเข้าไปก้าวก่ายในตอนนี้ก็เกรงว่ามิดีต่อนายของนางเป็นแน่ มิสู้นางถือโอกาสส่งเสริมแผนการขององค์ชายเจ็ดดีกว่า

หากอันหลิงเกอและเด็กในครรภ์หายไปพร้อมกัน…

เมื่อเห็นใบหน้าเรียวเล็กขององค์ชายน้อยแล้วในใจของเสี่ยวเสวียก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ถ้าอยากให้ชางเอ๋อมีชีวิตสมบูรณ์แบบ นางต้องสั่งสอนเขาว่าควรรับมือกับอันหลิงเกอเยี่ยงไร

ในขณะที่มู่จวินฮานมาหาอันหลิงเกออีกครานั้นเสี่ยวเสวียย่อมรู้ว่านี่เป็นโอกาสในการชิงลงมือ นางมองไปยังองค์ชายน้อยที่อยู่ข้างกาย นัยน์ตาฉายแววอาลัยอาวรณ์

การกระทำของเสี่ยวเสวียในครั้งนี้มิสำคัญว่ากำจัดเด็กในครรภ์ของอันหลิงเกอได้หรือไม่ แต่ต้องทำให้ในใจของชางเอ๋อเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ถึงอย่างไรนางก็เข้าใจว่าลูกน้องของอันหลิงเกอมีจำนวนมาก หากลงมือลับหลังคงเป็นไปมิได้

ในเวลานี้มิสู้นางสังหารอันหลิงเกออย่างเปิดเผยดีกว่า มู่จวินฮานและอันหลิงเกอจะต้องลงโทษนางอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้เสี่ยวเสวียก็ยกน้ำชาเข้าไปและทันทีที่วางน้ำชาบนโต๊ะ นางก็หยิบมีดพกในกระเป๋าแขนเสื้อออกมา

“พระชายามู่ จงมอบชีวิตเจ้ามา ! ”

อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าคนที่อยู่ข้างกายมาเป็นครึ่งปีจักลอบสังหารตนโดยฉับพลันเยี่ยงนี้ !

เพียงแต่ในยามที่อันหลิงเกอยังมิทันตั้งตัว เสี่ยวเสวียก็ถูกมู่จวินฮานโจมตีจนล้มไปกองกับพื้นและไร้เรี่ยวแรงขัดขืน

ทักษะการต่อสู้ของนางเมื่อเทียบกับอันหลิงเกอและมู่จวินหานแล้วยังอ่อนหัดเกินไป หมดทางหนีอย่างแน่นอน

“แง ! ”

หมิงซินถูกเสี่ยวเสวียกำชับให้พาองค์ชายน้อยเข้ามายังห้องโถงในเวลานี้โดยนางบอกว่าให้มาคารวะมู่จวินฮานและอันหลิงเกอ

แต่ผู้ใดจะนึกได้ว่าต้องการให้องค์ชายน้อยมาเห็นภาพเยี่ยงนี้พอดี

เด็กหกเดือนยังมิรู้ความ ทว่ากลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งสร้างผลกระทบต่อเขาจึงทำให้เขาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

“เหตุใดเจ้าต้องทำเยี่ยงนี้ ! ” อันหลิงเกอมองเสี่ยวเสวียอย่างมิอยากเชื่อ มิเคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำกับตนเยี่ยงนี้ ดูท่าแล้วเรื่องที่มู่จวินฮานเป็นกังวลก็คือความจริง

“เพื่อนายท่านของข้า ! ” เสี่ยวเสวียมิได้พูดมากความแต่มองอันหลิงเกอด้วยแรงอาฆาต อันหลิงเกอเห็นสายตาเยี่ยงนี้ก็รู้ทันทีว่ามิควรเก็บไว้ข้างกายอีก

ก่อนหน้านั้นนางใจอ่อนเกินไปจึงเก็บหายนะไว้ข้างกาย คิดแล้วก็มิรู้ว่าในใจขององค์ชายน้อยได้ผลกระทบหรือไม่ โชคดีที่นางให้ปี้จูและหมิงซินพาชางเอ๋อออกไปก่อน

อันหลิงเกอเก็บมีดสั้นในมือของเสี่ยวเสวียขึ้นมา จากนั้นก็จี้ไปบนลำคอของเสี่ยวเสวียทว่านางยังอาลัยอาวรณ์เพราะอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมานานครึ่งปีย่อมผูกพันมิน้อย

“แง แง ! ” เสียงร้องไห้ของเด็กดังข้างประตู ปี้จูเพิ่งพาเขาออกไปดังนั้นภาพเหตุการณ์จึงยังมิได้จางหายจากแววตา

เสี่ยวเสวียได้ยินเสียงร้องไห้ขององค์ชายน้อยจึงกระแทกตัวเข้าหามีดของอันหลิงเกอโดยมิลังเล เลือดของเสี่ยวเสวียสาดกระเซ็นเต็มพื้นและอันหลิงเกอรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก