ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1468 – ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ทักษะสูงสุดของเหล่าสัตว์อสูร

 

หลังจากที่ได้ใช้เวลากว่า 1 เดือนในการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชิงสุ่ย ก็สามารถใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 5 ได้ ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของรากฐานพลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีก 120 สุริยา ซึ่งทำให้พลังพื้นฐานของเขามีมากกว่า 3100 สุริยา หรือเพิ่มโดยรวมประมาณ  4 ล้านสุริยา

 

และแม้ว่าพลังของเขาจะก้าวหน้าแต่ทักษะของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ คือหนึ่งในทักษะที่ยังคงอยู่ในระดับเดิม ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับคนของนิกายห้าพยัคฆ์อมตะไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระแล้วเราก็เขาก็คงไม่อาจต้านทานการโจมตีเหล่านั้นได้นาน

 

สำหรับตอนนี้ ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าการพัฒนาความแข็งแกร่งของเขานั้นเริ่มช้าลง และต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากขึ้น

 

แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเรียกสัตว์อสูรออกมาต่อสู้พร้อมกันได้ทั้งหมด 3 ตัว ตัวของมังกรไอยราเกล็ดทองคำในตอนนี้มีพลังรากฐานมากถึง 100 ล้านสุริยา ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือพลังในการป้องกัน นอกจากนี้มันยังมีทักษะการต่อสู้ที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมากและสามารถควบคุมคลื่นพลังได้ตามใจสั่ง จึงทำให้พลังในการทำลายล้างของมันสามารถควบคุมได้เช่นกันนั่นก็ทำให้ตัวมันสามารถลดจำนวนผู้คนที่โดนลูกหลงจากพลังของมันได้เช่นกัน

 

ส่วนอสูรอัสนีคลั่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามังกรไอยราเก็บทองคำเลย มันคือสัตว์อสูรชนิดควบคุมและเป็นสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ แม้ว่าตัวมันจะต้องใช้เวลามากกว่าสัตว์อื่นอื่นๆในการพัฒนา และแม้ว่าจะมีดินแดนห้วงมิติในการยืดระยะเวลา แต่ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างตัวมันกับวิหคเพลิงนรกานต์หรือมังกรไอยราเกร็ดทองคำก็ยังคงมากอยู่

 

ทางด้านอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียร ค่อนข้างจะเด่นทางด้านการจับศัตรู ซึ่งก็คงไม่อาจเทียบได้กับพลังอันน่ากลัวของมังกรไอยราเกร็ดทองคำ แต่ตัวของมันนั้นสามารถใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ได้มากมายและมีทักษะความสามารถที่ช่วยเพิ่มให้สัตว์อสูรตัวอื่นมีความสามารถเพิ่มไปด้วยเช่นกัน

 

สัตว์อสูรทุกตัวมีพลังเพิ่มขึ้นได้ก็เพราะการพัฒนาไปข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นตะเกียงร้อยวิญญาณหรือสมบัติวิเศษชนิดอื่นๆของชิงสุ่ย แต่สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขมากที่สุดก็คือการที่พวกมันสามารถพัฒนาจนก่อให้เกิดความสามารถประจำตัวนั่นก็คือทักษะสังหารไร้ปรานี

 

ตัวของอสูรสยบมังกรที่ได้พัฒนาไปถึงทักษะสังหารไร้ปรานีจึงก่อให้เกิดเป็นทักษะแยกเงา

 

ทักษะแยกเงาจะเพิ่มความเร็วของผู้ใช้เป็น 2 เท่าและสามารถโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังตั้งท่าป้องกันได้รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และมีโอกาสอีก 5%  ที่จะทำให้ศัตรูไม่อาจหลีกเลี่ยงและบังคับให้ศัตรูต้องป้องกันอย่างเดียว ทักษะเหล่านี้จะเป็นทักษะที่ติดตัวตลอดเวลา โดยที่การดูดกลืนพลังปราณเป็นศูนย์

 

ส่วนทักษะสังหารไร้ปรานีของสัตว์อสูรมังกรไอยราเกร็ดทองคำนั่นก็คือทักษะผสานวิญญาณ

 

ทักษะผสานวิญญาณ จะช่วยเพิ่มพลังในการโจมตีในท่วงท่าทักษะ 2 เท่า ในขณะเดียวกันก็ลดการดูดกลืนพลังปราณ 20% และเวลาในการปลดปล่อยทักษะก็ลดลง 20% ด้วยเช่นกัน โอกาสที่จะโจมตีทะลุปราการป้องกันของศัตรูก็เพิ่มขึ้น 20% หากทำสำเร็จอัตราความสำเร็จก็จะทบซ้ำไปเรื่อยๆครั้งละ 20% ซึ่งแน่นอนว่าทักษะนี้เป็นทักษะติดตัวตลอดเวลา และอัตราการดูดกลืนพลังปราณเป็นศูนย์เช่นกัน

 

ชิงสุ่ยค่อนข้างพึงพอใจกับทักษะที่ได้รับมาใหม่เหล่านี้ เมื่อประสานกับพลังที่เขามีบางทีเขาอาจจะสามารถรับมือกับเหล่าผู้ฝึกตนของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะที่อาจจะนำหายนะมาในอนาคตก็เป็นได้

 

ส่วนทักษะสังหารไร้ปรานีของวิหคเพลิงนรกานต์นั่นอยู่ในรูปแบบทักษะที่ต้องเปิดการใช้งาน มันจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในทุกๆด้านของผู้ใช้ โดยทักษะนี้จะถูกเรียกว่า ทักษะพิฆาตอสูร

 

ทักษะพิฆาตอสูร จะช่วยเพิ่มพลังแห่งความกล้าหาญให้กับผู้ใช้เป็นเวลา 15 นาที และเมื่อผู้ใช้อยู่ภายใต้ผลของทักษะพิฆาตอสูร พลังปราณจะเพิ่มพูนขึ้น 10 เท่า โดยแต่ละวันจะใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

วิหคเพลิงนรกานต์เป็นที่เลื่องชื่ออยู่แล้วว่าเป็นสัตว์ที่ดูดกลืนพลังปราณอย่างมหาศาล แต่เพื่อแลกกับขอบเขตพลังที่ไม่อาจก้าวถึงได้ในระยะสั้นนั่นคือสิ่งที่คุ้มค่า

 

ทักษะสังหารไร้ปรานีของอสูรอัสนีคลั่ง นั่นก็คือทัณฑ์อัสนี

 

ทัณฑ์อัสนีจะเพิ่มพูนในทุกด้านของทักษะทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเวลาหรือความรุนแรง โดยที่ทักษะนี้คือทักษะติดตัว และอัตราการดูดกลืนพลังปราณเป็นศูนย์

 

สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นทักษะที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับตัวของชิงสุ่ย นอกจากมันจะเพิ่มพูนพลังที่แสนน่ากลัวแล้ว มันยังเป็นทักษะที่ไม่ดูดกลืนพลังปราณอีกด้วย

 

ตัวของชิงสุ่ยค่อนข้างงงงงกับทักษะที่ได้รับมาใหม่จากอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียร เพราะมันปรากฏเป็นทักษะสังหารไร้ปรานี 2 ชนิด ซึ่งแน่นอนว่าอันที่หนึ่งก็คือ พันธนาการอสูร

 

พันธนาการอสูรคือทักษะติดตัวที่จะช่วยเพิ่มความหนาของใยแมงมุมเป็น 2 เท่าและทำให้ศัตรูไม่อาจหลุดพ้นไปจากใยแมงมุมสังหารเหล่านี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นทักษะที่ไม่ดูดกลืนปราณเลยแม้แต่น้อย

 

แน่นอนว่าตัวของอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรย่อมต้องอาศัยอยู่บนใยแมงมุมของตนเอง ดังนั้นเมื่อเส้นใยของมันแข็งแกร่งขึ้นโอกาสที่ศัตรูจะตกหลุมพรางหรือดูกับดักก็ยอมมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

 

พลังอย่างที่ 2 คือ วายุสลาตัน

 

วายุสลาตัน จะช่วยเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใช้สูงสุด 2 เท่าทันที ซึ่งจะมีผลในการใช้งานเพียงแค่ 15 นาที และจะสามารถใช้มันได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้น

 

นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ชิงสุ่ยเอาชีวิตอยู่รอดได้โดยลำพังไม่ได้พึ่งพาสัตว์อสูรดังเก่าในช่วงแรกทุกตัวนั้นมีประโยชน์กับเขามากแต่หลังจากเวลาผ่านไปพวกมันค่อยๆกลายเป็นสัตว์อสูรที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขา แต่ตอนนี้พวกมันมีทักษะสังหารไร้ปรานีเป็นของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทักษะนี้อยู่ในมือของมนุษย์มันจะเพิ่มพูนพลังให้มนุษย์ก้าวขึ้นสู่ระดับพลังที่ไม่อาจฝันถึงได้ เมื่อมันอยู่ในตัวของสัตว์อสูร มันจะทำให้สัตว์อสูรก้าวขึ้นสู่ระดับพลังที่ไม่อาจฝันถึงได้เช่นกัน และทักษะเสริมต่างๆก็คุ้มค่ามากพอที่จะนำมันออกมาใช้ในการส่งเสริมตัวของชิงสุ่ยเองอีกด้วย

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรตัวใดที่อยู่ภายใต้อาณัติของชิงสุ่ย เขาก็สามารถเพิ่มพูนพลังอำนาจของมันให้บรรลุในระดับน่าหวาดกลัวได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิหคเพลิงนรกานต์ เมื่ออยู่ภายใต้ทักษะพิฆาตอสูรแล้วจะทำให้มันบรรลุในระดับพลังมากถึง 300 ล้านสุริยาในทันที

 

ซึ่งถ้าหากเขาผสานพลังรวมกับทักษะที่ใช้ในการลดพลังศัตรู หากย้อนกลับไปในตอนที่เผชิญหน้ากับผู้คนที่มาจากนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะแล้วล่ะก็ เขาคงจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย

 

……………

 

“อะไรนะ? นิกายสาปอสูรกำลังพุ่งเป้าไปที่นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยจ้องมองถานท่าย หลิงเยียน ราวกับว่าเขากำลังหูฝาด

 

“ใช่แล้วล่ะ นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทกำลังขอความช่วยเหลือจากเรา”ถานท่าย หลิงเยียน ตอบกลับชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับนิกายสาปอสูรอีกครั้ง แต่เขาไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะกลับมาในเร็ววัน ดูเหมือนว่านิกายสาปอสูรมีแผนการบางอย่างที่ต้องการและเพื่อแผนการนั้นพวกมันเลือกที่จะทำลายทั้งนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทและพระราชวังจอมอสูรไปพร้อมๆกัน

 

“นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทก็เป็นพันธมิตรของพระราชวังจอมอสูร ในความคิดของข้า ข้าคิดว่าเราควรช่วยเหลือพวกเขา เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”ชิงสุ่ย ถามกลับพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“คงเป็นเพราะเจ้ากังวลเกี่ยวกับเพื่อนของเจ้าใช่หรือไม่? ได้ยินว่าเธอเองก็มาหาเจ้าหลายครั้งแล้ว”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวในทำนองล้อเลียน

 

ในช่วงที่ประมุขอสูรขังตัวเองเพื่อฝึกฝนวิชา มันเป็นเวลาเดียวกับที่เฉินหลิงเดินทางมาหาชิงสุ่ยหลายต่อหลายครั้ง ชิงสุ่ยคาดเดาทันทีว่าจะต้องเป็นฮัว รูเหม่ยที่บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เธอฟัง มันอาจจะดูเป็นคำพูดหึงหวงซึ่งชิงสุ่ยค่อนข้างจะมีความสุขอย่างยิ่งเขาจึงยิ้มและตอบกลับทันทีว่า “หลิงเยียน ถ้าหากเจ้าไม่ชอบนาง ข้าจะรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับนางทันที”

 

“อย่าได้ดึงข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเจ้า”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เขินอาย เธอเพิ่งตระหนักได้ถึงสิ่งที่เธอกล่าวออกไปว่ามันฟังแล้วคล้ายกับคำหึงหวง

 

ชิงสุ่ยตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยถานท่ายหลิงเยียน “อย่าได้สนใจคำถามเหล่านั้นเถอะ สำหรับนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทพวกเราจะรีบมุ่งหน้าไปในวันพรุ่งนี้ทันที”

 

“ตกลง พวกเราจะทำตามที่หลิงเยียนของข้ากล่าว”ชิงสุ่ยยิ้มและตอบกลับ

 

ถานท่ายหลิงเยียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตพวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่เหินห่างกันแต่ในปัจจุบันความสัมพันธ์ทั้งสองค่อยๆก้าวหน้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งเขาเริ่มกล่าวกับเธอโดยการเรียกชื่อตรงๆว่า หลิงเยียน แต่ตอนนี้เขากลับเรียกเธอว่า “หลิงเยียนของข้า” ดูเหมือนชิงสุ่ยจะพยายามใช้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วถ้าหากต่อไปล่ะ เขาจะเรียกเธอว่าอะไรอีก?

 

“หลิงเยียน ในตอนนั้นพวกเราได้ขับไล่นิกายสาปอสูรให้ออกไปได้ แต่ตอนนี้มันกลับกล้าลงมือคิดจะปิดฉากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท ดูเหมือนพวกมันจะไม่กลัวพวกเราเลยสินะ?”ยังไงซะ ชิงสุ่ยก็รู้เรื่องเกี่ยวกับนิกายสาปอสูรน้อยมาก

 

“ในเมื่อมันกล้าคิดที่จะกำจัดคนที่ขวางทางพวกมันขนาดนี้ แสดงว่าพวกมันจะต้องไม่หวาดกลัวเราอย่างแน่นอน”

 

“หรือว่าเจ้ากำลังหวาดกลัวพวกมันแทน?”ชิงสุ่ยกล่าว

 

“ทำไมพวกเราต้องหวาดกลัวพวกมัน? ข้าคิดว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะกำลังประเมินความแข็งแกร่งของกันและกัน”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง