ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 300 ราชสีห์โลหะชั่วนิรันดร์!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สือเถี่ยออกแรงที่มือทั้งสองข้างพร้อมกัน หอกมังกรดำ อาวุธวิญญาณระดับสูงเล่มนั้นที่ตอกตรึงเขาไว้กับพื้นดิน ถูกถอนออกมาทีละน้อยๆ

ทุกครั้งที่หอกมังกรดำถูกดึงขึ้นทีละนิด ร่างกายของสือเถี่ยก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส

หอกยาวและค่ายกลบนพื้นสอดประสานก่อตัว หลอมกลายเป็นหนึ่งเดียว ร่วมกันกลายสภาพเป็นเครื่องจองจำที่พันธนาการราชสีห์ไว้!

โซ่ตรวนนี้ฝังเข้าไปในเลือดเนื้อ ทุกๆ การเคลื่อนไหวที่พยายามจะกำจัดมันออกไป ล้วนทำให้เนื้อหนังมังสาสือเถี่ยแหลกเหลว!

สีหน้าท่าทางสือเถี่ยไม่มีหวั่นไหวแม้สักครึ่งส่วน เขาพยายามถอนหอกยาวออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด

ทว่าก็เป็นดังเช่นที่ซือหม่าฉุยเอ่ยไว้ ทำเช่นนี้ช้าเกินไป!

หลังจากหลุดพ้นไปได้ แม้ว่าสือเถี่ยยังคงมีกำลังที่จะสู้รบต่อ แต่ทางสวีเฟยและอิงหลงถูรอไม่ได้แล้ว!

ด้านล่างยอดเขาเดี่ยว พลังของซือหม่าฉุยแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่เริ่มทะลุผ่านพายุลมงวงสีทอง จู่โจมเข้าไปทางสวีเฟยกับอิงหลงถูที่อยู่บนยอดเขา

พลังดุจดั่งมังกรเจียวหลงสีดำหลายสายพุ่งถลาไปทางยันต์อักษร ‘ฟ้า’ และพวกสวีเฟยอย่างโหดเหี้ยม!

ระดับชั้นและพลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายต่างชั้นจนเกินไป แม้ซือหม่าฉุยจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ใช่ว่าสวีเฟยจะสามารถต้านทานพลังของเขาได้เช่นกัน เรื่องนี้สวีเฟยรู้แจ้งแก่ใจดี หากแต่ใบหน้าเขาไร้แววกลัวเกรง ปกป้องอิงหลงถูไว้หลังกายด้วยความเด็ดเดี่ยว

ที่ทำให้สวีเฟยไม่สบายใจเพียงอย่างเดียวก็คือ เบื้องล่างยอดเขาสั่นคลอน รักษายันต์อักษร ‘ฟ้า’ เอาไว้ไม่ได้!

ทำให้วิธีไตรภาคฟ้า ดิน และคนยากจะตั้งรากฐานอย่างมั่นคง และหมดทางช่วงชิงอำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภาจากมือซินตงผิงกลับมา!

ด้านนอกยังมีสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ และศัตรูที่แข็งแกร่งอื่นๆ จวนจะโผเข้ามาในไม่ช้า

เขากว่างเฉิงตกอยู่ในอันตรายแล้ว!

อิงหลงถูเอ่ยถามด้วยความฉงน “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์เล่า?”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงวาจา เสียงราชสีห์คำรามอย่างห้าวหาญก็ดังขึ้นจากไกลๆ !

ซือหม่าฉุยที่อยู่ตีนเขาเหลียวกลับไปมองด้วยความตะลึงงัน เส้นสายตาของเขาทอดผ่านท้องฟ้า จ้องมองไปยังทะเลทรายกว้างแห่งนั้น

สือเถี่ยที่ถูกหอกมังกรดำตอกตรึงไว้กับพื้น บัดนี้มือขวากุมด้ามหอก มือซ้ายชูขึ้นสูง!

มือซ้ายของเขากำหมัด แสงวาววับเกาะกลุ่ม สาดส่องไปทั่วฟ้าดินทั้งสี่ด้าน!

ชั่วพริบตาถัดมา หมัดซ้ายของสือเถี่ย ขับเคลื่อนพลังทำลาย ทุบไปบนด้ามหอกมังกรดำเสียงดังสนั่น!

เสียงดุจฟ้าร้องทุ้มต่ำดังขึ้น อาวุธวิญญาณระดับสูงหอกมังกรดำ ถูกสือเถี่ยหักสะบั้น!

หอกมังกรดำหักออกเป็นเสี่ยง แสงม่วงที่พันธนาการบนนั้น และพายุลมงวงสีดำก็ไม่อาจผูกมัดร่างของสือเถี่ยต่อไปได้อีก

ทว่าในชั่วขณะนี้ พลังอันบ้าคลั่งก็ระเบิดปะทุหมดสิ้นชั่วเสี้ยวขณะ ย้อนสะเทือนสือเถี่ยด้วยเช่นกัน!

กระนั้นสือเถี่ยก็ยังเงียบงันไม่ปริปาก ร่างกายโผนทะยานขึ้นบน

เอี๊ยด…

เอี๊ยด…

ระหว่างด้ามหอกที่แตกหักจากร่างกายของเขา พลันมีส่งเสียงเสียดสีดังออกมาอีกครา น่าประหวั่นขวัญผวายิ่ง

ซือหม่าฉุยมองดูสือเถี่ยอย่างยากจะเชื่อ “เจ้าบ้าไปแล้ว! ทำเช่นนี้ สุดท้ายเจ้าต้องตายแน่!”

ลมกระหน่ำพัดผ่านทะเลทรายกว้างโดยรอบ โดยมีสือเถี่ยเป็นศูนย์กลาง

ขณะที่ฝุ่นทรายซัดสาดไล่หลัง ร่างกายของสือเถี่ยลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง

ประหนึ่งเทวรูปองค์หนึ่งที่ไม่มีทางเอนล้ม แม้จะแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ แม้จะบิดเบี้ยว สุดท้ายแล้วก็ยังคงตั้งตระหง่านขึ้นมาใหม่อีกครั้งเช่นกัน!

สือเถี่ยจับด้ามหอกมังกรดำครึ่งท่อนอยู่ในมือ เบิกตาโตดุจพยัคฆ์จ้อง สะบัดมือไปทางซือหม่าฉุยฉับพลัน!

ด้ามหอกมังกรดำครึ่งท่อนแปรสภาพเป็นสายฟ้าแลบสีดำสายหนึ่ง ฟาดไปทางซือหม่าฉุย!

ซือหม่าฉุยจะหลีกหนี แต่กลับพบว่าขณะเดียวกับที่ตนเองประชันกับยันต์อักษร ‘ฟ้า’ และพายุลมงวงสีทอง ก็ถูกมันดูดเอาไว้ด้วยเช่นกัน!

ระหว่างที่หมดทางเคลื่อนกาย นัยน์ตาซือหม่าฉุยเบิกโพลงราวกับจะระเบิด ทำได้เพียงแบ่งมือข้างหนึ่งออกไปตรงหน้า ต้านทานแสงดำที่ลอยเข้ามา!

“เปรี้ยง!”

บนแสงดำระเบิดแสงอันน่าตื่นตะลึงออกมา แข็งกล้าดุจเพชร วับวามดุจฝนดาวตก

แขนของซือหม่าฉุยแหลกละเอียดโดยพลัน ต่อไปคือร่างกายของเขา!

แหลกแล้วแหลกอีก แหลกแล้วแหลกอีก ระเบิดปะทุออกมาดังลั่น!

มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายทั้งสาม คนสุดท้ายซือหม่าฉุย ‘ราชันมังกร’ ถูกราชสีห์โลหะสือเถี่ยฟันสังหารคาสนามรบ!

ครั้นสูญสิ้นการควบคุมของซือหม่าฉุย พายุลมงวงสีทองก็ฟื้นคืนสภาพ ส่งเสียงดังสนั่นกลับเป็นปกติ ขับเคลื่อนพลังจนถึงขีดสุด

ยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ผสานเข้ากับค่ายกลบนฟากฟ้าเหนือยอดเขาเดี่ยวโดยสมบูรณ์ กระแสปราณไร้รูปหลายสายยื่นขยายออกไป ประสานเข้ากับมหาค่ายกลนภาของเขากว่างเฉิง!

ในที่สุดตำแหน่งไตรภาคฟ้า ดิน คน ตำแหน่งฟ้าอันดับสุดท้ายก็ตั้งขึ้นอย่างมั่นคง

สวีเฟยแลเห็นยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ตั้งรากฐานมั่นคงในที่สุดก็ไม่คิดมากอีก เขากระโจนลงจากเขาพุ่งไปหาสือเถี่ย ส่วนอิงหลงถูก็ตามไปหลังกายเขาติดๆ

บนพื้นทะเลทรายไกลออกไป มีเงาร่างหนึ่งตระหง่านอยู่ ราวกับรูปปั้นแกะสลักที่มีลายพร้อย

ทั่วร่างรูปปั้นมีรอยร้าวกระจายทั่ว บาดแผลเกลื่อน ทรุดโทรมเป็นลายพร้อย คล้ายกับไม่รู้ว่าผ่านลมฝนมามากเพียงใด

กระนั้นกลับยังคงอาศัยพลังที่แผ่ออกมาไม่เว้นวาง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ราวกับเสาเอกที่ค้ำยันผืนฟ้าขึ้นไป

ใบหน้าสวีเฟยปรากฏแววเศร้าเสียใจ คุกเข่าลงตรงหน้าเงาร่างนี้ เงียบงันไม่พูดจา

สือเถี่ยลืมตา แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างยากลำบาก

ธารแสงพุ่งไปทางเบื้องหลังตน ไปทางทิศเขากว่างเฉิงสายแล้วสายเล่า

สือเถี่ยอยากจะหันหลังไปมองทางเขากว่างเฉิงด้านนั้น แต่กลับทำไม่ได้เสียแล้ว

ทว่าตรงหน้าเขายังคงผุดภาพหลายภาพขึ้น ภาพที่อยู่ในส่วนลึกความทรงจำ สลักอยู่บนจิตวิญญาณเหล่านั้น พาเขาข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนาน

บิดามาดรจากไปเนิ่นนานแล้ว ตนเองมีชีวิตอยู่อย่างยากเย็นอีกทั้งพยายามอย่างนัก

วันหนึ่ง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏเบื้องหน้าของตน ยิ้มพลางถามว่ายินยอมฝึกยุทธ์กับเขาหรือไม่

ผู้นั้นคือหยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์คนที่ตอนนี้กำลังกักตนเข้าฌานอยู่หลังเขาสำนักเขากว่างเฉิง ทุ่มสุดกำลังเพื่อเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกัน

อาจารย์ในตอนนั้นอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์พอดี ไม่แสดงให้เห็นความแก่ชรา เฉกเช่นตนเองก่อนหน้านี้…

ขณะที่ฉากสถานที่แปรเปลี่ยน ตนเองใจจดใจจ่อฝึกยุทธ์ อาจารย์พาเด็กชายคนหนึ่งกลับสำนัก เหมือนเช่นพาตนเองกลับมาในปีนั้น

เด็กชายคนนั้นอายุยังน้อย ทว่าประกายตาสงบนิ่ง สุขุมและมากประสบการณ์ราวกับผู้ใหญ่

ผู้นั้นคือศิษย์น้องสองฟางจุ่น คนที่ตอนนี้กำลังยับยั้งมหาค่ายกลแดนมารอยู่ที่หลังเขา หยุดยั้งไม่ให้นพยมโลกมาถึงยังโลกมนุษย์ทางนี้

หลังจากนั้น อาจารย์ก็ทยอยพาเด็กจำนวนหนึ่งกลับมาอย่างต่อเนื่อง ล้วนกลายเป็นศิษย์น้องของตน มีบางคราตนต้องถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์

หนึ่งในนั้นมีเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่ง นางได้รับความเอ็นดูจากอาจารย์อย่างมากจนไม่สนกฎเกณฑ์ ภายหลังแม้แต่อาจารย์ล้วนยังปวดเศียรเพราะนาง

มีเพียงตนเองที่ตีหน้าขรึม เด็กหญิงถึงจะเกรงกลัว สงบนิ่งลงด้วยท่าทีแลบลิ้น ทำเป็นกริ่งเกรง

ผู้นั้นคือศิษย์น้องฟู่

สุดท้าย ตนเองล้วนกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ชื่อเสียงระบือไกลแล้ว อาจารย์ที่แก่ชราลงพาหนุ่มน้อยคนหนึ่งกลับมา เอื้อนเอ่ยว่านี่คือศิษย์น้องเล็ก เป็นศิษย์ปิดสำนักของเขา ศิษย์คนสุดท้าย

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อยนิด ทว่าก็สำแดงฝีมือออกมาทั้งหมด รุดหน้าอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ

ผู้นั้นก็คือเยี่ยนตี๋ที่กำลังอยู่ภายในมหาค่ายกลนภา ต่อสู้กับหยวนเทียนและซินตงผิงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในขณะนี้

นอกจากนี้แล้ว ยังมีศิษย์ร่วมสำนักอีกอักโข บ้างยังอยู่ บ้างไม่อยู่แล้ว

บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลายถึงแก่กรรม ทว่าก็มีคนหนุ่มสาวใหม่ๆ เข้าสำนักมาแทนที่

เฉกเช่นสวีเฟยและอิงหลงถูศิษย์ ผู้เป็นที่รักแลน่าภาคภูมิใจตรงหน้า

เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และคนอื่นๆ ก็เป็นอนาคตของกว่างเฉิงเช่นเดียวกัน…

ภาพเปลี่ยนผันไม่หยุด จนสุดท้ายก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง

ภรรยาได้รับบาดเจ็บช่วงตั้งครรภ์ แข็งใจคลอดบุตรออกมา ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็สิ้นใจ

สิ่งเดียวที่ปลอบใจเขามีเพียงบุตรชายผู้นี้ที่เติบใหญ่อย่างเข้มแข็ง จากเด็กชายที่ซุกซน จนกระทั่งเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว สุดท้ายเติบใหญ่เป็นหนุ่มฉกรรจ์ที่สูงชะลูด กลายเป็นความภูมิใจชั่วชีวิตของตน

ภายหลัง บุตรชายก็แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเช่นกัน

ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าตนเองก็จะมีช่วงเวลาที่ได้อมขนมหวานล่อเด็ก[1] ครอบครัวพร้อมหน้า และมีชีวิตสุขใจที่สุดเช่นกัน

ลูกสะใภ้อิ๋งอวี่เจินอุ้มหลานสือจวินเอาไว้ อิงแอบอยู่ข้างกายสือซงเทา หนึ่งครอบครัวสามคน ระบายยิ้มมองมา

สือจวินน้อยยื่นมือเล็กๆ จ้ำม่ำคู่หนึ่งมาทางตน…

ภาพในสมองสือเถี่ย สุดท้ายหยุดนิ่งที่ตรงนี้

ไกลโพ้น เขาเดี่ยวอันเป็นที่ตั้งของยันต์อักษร ‘ฟ้า’ พายุลมงวงบริเวณนั้นรวมปราณวิญญาณจากทั่วสารทิศ ประสานเข้ากับมหาค่ายกลนภา

กลางท้องฟ้า ลวดลายค่ายกลหลากสายเปล่งประกายขึ้นมา มหาค่ายกลนภาสั่นสะเทือนอีกครั้ง!

นี่อธิบายได้ว่าตำแหน่งดินและตำแหน่งคน ล้วนตั้งขึ้นอย่างมั่นคงแล้วเช่นกัน

สามไตรภาครวมกัน พาให้นภาแปรผันอีกครั้ง!

สือเถี่ยยิ้มน้อยๆ หลับตาลงทั้งสองข้างลงอย่างเชื่องช้า

…………………………………………………..

[1] อมขนมหวานล่อเด็ก อุปมาถึงคนชราที่มีความสุขที่ได้อยู่กับลูกหลาน