ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 301 หามโลงศพกลับกว่างเฉิง!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในคูเมืองอันเป็นที่ตั้งของยันต์อักษร ‘คน’ เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่บนอักขระยันต์ นัยน์ตาทั้งสองปิดสนิท

มิติอันมืดมิด ภายในมหาค่ายกลแสงขาว รวมทั้งตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ มีจุดแสงสีทองสองจุดส่องประกายระยับแล้ว

มีเพียงจุดแสงอันเป็นตัวแทนของตำแหน่งฟ้ายังคงไม่สว่างขึ้นมาจนถึงตอนนี้

เยี่ยนจ้าวเกอรอคอยอย่างใจเย็น ทว่าทันใดนั้น ในใจเขาพลันไหววูบ

เมื่อลืมตาขึ้น เขาก้มหน้าลงมอง เห็นว่ารอยประทับมารหลังมือซ้ายของตนเอง ที่แต่ไรเริ่มเลือนหาย เข้มขึ้นทวีคูณฉับพลัน!

“…อาจารย์ลุงใหญ่!” ในใจเยี่ยนจ้าวเกอพลันเจ็บปวดครั้งหนึ่ง

รอยประทับมารเข้มขึ้น หาใช่เพราะนพยมโลกไม่ หากแต่เป็นเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับสือเถี่ย ผู้ที่ผนึกนพยมโลกพร้อมกับตนในตอนนั้น

ทันใดนั้น เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่ามหาค่ายกลนภาโคจรดังกึกก้อง

ขณะที่สมองและจิตสำนึกว่างเปล่า ภายในมหาค่ายกลแสงขาว จุดแสงที่สามส่องสว่างขึ้นในที่สุด!

สุดท้ายตำแหน่งฟ้าก็ตั้งขึ้นอย่างมั่นคง!

ไตรภาคฟ้า ดิน และคนกลับเข้าสู่ตำแหน่ง ร่วมกันส่งผลให้มหาค่ายกลนภาสั่นไหวอย่างรุนแรง!

ลวดลายค่ายกลจำนวนมากทอแสงวาบเป็นประกายขึ้นมา โดยมีฟากฟ้าเหนือเขากว่างเฉิงเป็นศูนย์กลาง แผ่ขยายยื่นออกไปทั่วสารทิศตลอดเวลา

ฟ้าดินราวกับเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาอีกครั้ง ราวกับม้วนภาพผืนหนึ่ง บิดพลิ้วเป็นลูกคลื่นอย่างรุนแรง

เยี่ยนจ้าวเกอกดความกังวลในใจอย่างหนัก ประกบสองฝ่ามือเข้าด้วยกัน จากนั้นแยกจากกันอย่างแรง มือหนึ่งบนมือหนึ่งล่าง ร่วมกันโจมตีออกไป

ฝ่ามือหนึ่งไปทางฟ้า ฝ่ามือหนึ่งไปทางดิน การไหลเวียนพลังชีวิตภายในมหาค่ายกลนภาเปลี่ยนทางฉับพลัน โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นแกนกลาง

ซินตงผิงที่ยังคงสู้รบปรบมืออยู่กับเยี่ยนตี๋อยู่ในมิติต่างแดนบนท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิง รู้สึกผิดแผกในทันใด

อักขระยันต์ภายในลูกตาดำทั้งสอง กับบริเวณกลางฝ่ามือสองข้างของเขา แตกสลายออกมาพร้อมกัน!

ไม่ว่าซินตงผิงจะพยายามอีกสักเพียงใด อำนาจควบคุมของมหาค่ายกลนภาในขณะนี้ ล้วนห่างออกจากเขาไปไกล!

ในคูเมือง เยี่ยนจ้าวเกอร้องคำรามลากเสียง ฝ่ามือทั้งสองที่แยกกันข้างหนึ่งบนข้างหนึ่งล่าง ประกบเข้าหากันอีกครั้ง

ด้วยผลของยันต์ทั้งสามฟ้า ดิน และคน มหาค่ายกลนภากลางท้องฟ้าที่กระเพื่อมไหว พลันเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งในชั่วเสี้ยวขณะ กลับคืนสู่ปกติ

อันดับแรก เยี่ยนจ้าวเกอใช้พลังมหาค่ายกลนภา เสริมหนุนไปที่ตำแหน่งยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ทว่ากลับไม่เป็นผล

รวมพลังมหาค่ายกล จัดการอำนาจควบคุมมหาค่ายกล ไม่ใช่ระดับความรู้ซึ้งค่ายกลแตกฉานมากพอ ก็เป็นพลังความสามารถและระดับพลังฝึกปรือสูงล้ำมากพอ

สวีเฟยและอิงหลงถูล้วนไม่เข้าขั้นเงื่อนไขเหล่านี้ บริเวณอันเป็นตั้งของยันต์อักษร ‘ฟ้า’ จึงมีเพียงสือเถี่ยสามารถแบกรับไว้

กระนั้นตอนนี้กลับไม่อาจเสริมหนุนพลังมหาค่ายกล…

เยี่ยนจ้าวเกอเม้มริมฝีปากแน่น “เกิดเรื่องขึ้นกับอาจารย์ลุงใหญ่แล้วจริงๆ”

อาหู่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจ “คุณชาย ท่านจะพูดว่าท่านผู้อาวุโสสือเขา…”

ชายหนุ่มหลับตาไม่ปริปากพูด แยกฝ่ามือที่ประกบกันออกจากกันอีกหน มือหนึ่งกลายเป็นหมัด อีกมือหนึ่งกลับเหยียดนิ้วชี้ออกไปทางลูกตาดำซ้ายของตนเล็กน้อย

ในลูกตาดำซ้ายของเขาพลันปรากฏลวดลายค่ายกลหลายสายอันลึกลับซับซ้อน รวมกันกลายเป็นมหาค่ายกลนภาที่ราวกับลดขนาดลงไม่รู้กี่เท่า

เขากำหมัดแน่น ต่อยหมัดหนึ่งออกไปด้านหน้า เจตจำนงหมัดวรยุทธ์สาดกระเพื่อม

มหาค่ายกลนภาในลูกตาดำแปรสภาพเป็นแสงสุกใส ตกลงสู่ส่วนลึกในสายตาโดยสมบูรณ์ทันใด

เยี่ยนจ้าวเกอปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้นในดวงตาซ้ายปะทุแสงขาวจ้าตาออกมา ในแสงขาวมีจุดแสงสีทองสามจุดวามวามละลานตา

“ขึ้น!” เยี่ยนจ้าวเกอคว้าอาหู่ไว้ แล้วสืบเท้าหนึ่งออกไป

ลวดลายค่ายกลนภากลางท้องฟ้าเปล่งแสง คล้ายกับทางสายใหญ่ข้ามผ่านนภา นำพาเยี่ยนจ้าวเกอบินตะบึง ด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือมหาปรมาจารย์ระดับสุดยอด

ชายหนุ่มสัญจรอยู่ภายในลวดลายค่ายกล ประหนึ่งข้ามมิติ ทอดผ่านฟากฟ้าเร็วรี่ ไปทางยอดเขาเดี่ยวอันเป็นที่ตั้งของยันต์อักษร ‘ฟ้า’

ยอดเขาที่สูงเสียดเมฆปรากฏอยู่ในสายตา เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตาลงไป ค้นพบว่าบริเวณยอดเขาอันไกลลิบ มีทะเลทรายกว้างใหญ่อันโดดเด่นบนพื้นปฐพี

เงาร่างหนึ่งตั้งอยู่กลางทะเลทราย

เยี่ยนจ้าวเกอพาอาหู่ลงสู่พื้น เขาเห็นสวีเฟยและอิงหลงถูกต่างก็คุกเข่าลงตรงหน้าเงาร่างราวกับรูปปั้นสำริดร่างนั้น

ครั้นเห็นเงาร่างนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันหลับตาลง แหงนหน้าขึ้น พูดไม่ออก

ผู้อาวุโสสูงสุดตำหนักอาญาสำนักเขากว่างเฉิงที่ทั้งเข้มแข็ง อดทนไม่ย่อท้อ และเด็ดขาดยุติธรรมผู้นั้น

ราชสีห์โลหะที่ไม่ฝักใฝ่ตำแหน่งอำนาจ และกล้าหาญเป็นผู้นำผู้นั้น

อาจารย์ลุงใหญ่ที่นิ่งเงียบพูดจาน้อยคำ ภายนอกเย็นชาทว่าภายในอบอุ่นผู้นั้น…

ต่อสู้จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย หลั่งเลือดตนจนหยดสุดท้าย จากทุกคนไป เพื่อเขากว่างเฉิง

“พวกเรารีบกลับไปหนุนทางสำนักเถิด” สวีเฟยผุดลุกขึ้น บุรุษผู้เด็ดเดี่ยวนัยน์ตาแดงระเรื่อ น้ำเสียงอันสั่นเครือค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราบเรียบมั่นคง “แม้ชิงมหาค่ายกลนภาได้ในที่สุด แต่พวกเรายังไม่อาจคลายใจ จะต้องโค่นศัตรูที่เข้ามาทั้งหมดให้จงได้”

ขณะกล่าว แววตาสวีเฟยมีความหม่นอีกอยู่บ้าง “น่าเสียดาย อาจารย์ไม่อาจเห็นภาพฉากนี้ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอลืมตาขึ้น “เขาทำได้!”

เขาเบือนหน้ามองทางสวีเฟย “กระเป๋าย่อส่วนที่อาจารย์ลุงใหญ่ได้มาจากศิษย์พี่สือซงเทาเล่า?”

สายตาสวีเฟยทอประกาย ของล้ำค่าของสือเถี่ยเก็บเอาไว้กับเขา เขาหยิบกระเป๋าย่อส่วนออกมา หลังจากเปิดออก ในนั้นมีโลงเย็นโปร่งใสสามโลง สองโลงในนั้นบรรจุร่างของมารดาบุตรอิ๋งอวี่เจินและสือจวินเอาไว้

เยี่ยนจ้าวเกอรับโลงเย็นนั่นจากมือของสวีเฟย แล้วเปิดฝาโลงออก

สวีเฟยโอบร่างที่ใกล้จะแหลกสลายของสือเถี่ยขึ้น ใส่ลงไปในโลงเย็น

เมื่อปิดฝาโลง เยี่ยนจ้าวเกอแลมองศพของสือเถี่ยที่อยู่ในโลงเย็น เม้มริมฝีปากแน่น

อาหู่มองดูคุณชายของตน รู้สึกเพียงว่าตัวเองคล้ายกับเผชิญหน้ากับภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

ชายหนุ่มยกมือขึ้น ขยับไหล่ครั้งหนึ่ง จากนั้นแบกโลงเย็นขึ้นไว้บนหัวไหล่ของตน

“พวกเรากลับเขากว่างเฉิง!” เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

เขาต่อยหมัดหนึ่งไปด้านหน้า ลวดลายมหาค่ายกลนภาสายหนึ่งตกลงมา ประหนึ่งทางสัญจร

เยี่ยนจ้าวเกอแบกโลงเย็นไว้ สืบเท้านำหน้าขึ้นไป

พวกสวีเฟยทั้งสามตามหลังเขาไป เดินทางบนเส้นทางกลับเขากว่างเฉิง

บนเขากว่างเฉิงในตอนนี้ สงครามเดือดยังคงไม่สงบลง ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อสู้ชนิดที่ไม่มีใครถอย

มหาค่ายกลนภาก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกหน ทำให้ฝูงชนต่างมึนงงอยู่บ้าง ดูเหมือนสองจิตสองใจ

ทว่าผ่านไปไม่นานนัก บนท้องฟ้าไกลลิบก็ทอแสงโชติช่วงพร่างพราว มีเส้นทางสายหนึ่งยื่นขยายมาจากเส้นขอบฟ้า ทอดยาวมาถึงประตูสำนักเขากว่างเฉิง!

ฝูงชนทอดสายตามองไป คนคนหนึ่งสืบเท้านำหน้ามา แบกโลงเย็นโปร่งใสโลงหนึ่งไว้ เดินมาทางเขากว่างเฉิง

ผู้ที่แบกโลงคืออัจฉริยะที่ล้ำเลิศที่สุดในรุ่นเยาว์สำนักเขากว่างเฉิง…เยี่ยนจ้าวเกอ

ภายในโลงเย็น มีคนคนหนึ่งที่สงบเยือกเย็นเอนกายอยู่…สือเถี่ย

ลวดลายแต่ละสายของมหาค่ายกลนภากะพริบวาบ ทั่วหล้าราวกับส่งเสียงร่ำไห้โศกเศร้าดังขึ้น

เวลานี้ คนผู้หนึ่งบนเขากว่างเฉิงตะโกนเดือดดาล “สือเถี่ย! เยี่ยนจ้าวเกอ!”

กลับเป็นผู้อาวุโสหลิวที่คิดหาวิธีใช้พลังมหาค่ายกลแดนมารเกาะทราย ชักนำไปยังเกาะนภาใต้ทำให้นพยมโลกมาเยือน

หุบเขาผนึกเวหาถูกทำลาย เขาและผู้อาวุโสหวังหนีออกมาด้วยกัน

บัดนี้แลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับสือเถี่ย เหมือนศัตรูพบหน้ากันเดือดดาลรุนแรง!

“สือเถี่ย เจ้าตายแล้วหรือ? ช่างตายได้ดีเสียจริง!” ผู้อาวุโสหลิวมองดูโลงเย็น หัวร่อเสียงดังลั่น

เยี่ยนจ้าวเกอยกโลงเย็นไว้บนไหล่ขวา แหงนหน้ามองขึ้นฟ้า “อาจารย์ลุงใหญ่ ท่านดูพวกเรา”

ครั้นสิ้นเสียง ชายหนุ่มก็ฟาดฝ่ามือซ้ายออกไป!

ท่ามกลางเสียงอึกทึก มหาค่ายกลนภาเหนือศีรษะโคจร พลังผสานเข้ากับฝ่ามือนภากว่างเฉิงของเยี่ยนจ้าวเกอ กลายเป็นมือยักษ์บดบังฟ้า ฝ่ามือหนึ่งคล้อยลงมา!

ผู้อาวุโสผลักฝ่ามือออกต้านทาน “ไอ้เศษสวะ!”

ที่กระเสือกกระสนไปทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ ยันต์วิญญาณที่ลอยว่อนแตกสลาย ทะเลเพลิงที่ฝ่ามือดุสิตม้วนขึ้นดับมอดในชั่วพริบตา

ผู้อาวุโสหลิวถูกกระบวนท่าฝ่ามือนภากว่างเฉิงที่เยี่ยนจ้าวเกอขับเคลื่อนมหาค่ายกลนภา ตบลงบนพื้นดินโดยพลัน!

แหลกเหลวไม่เหลือซาก!

เยี่ยนจ้าวเกอจดจ้องคนชั่วช้าสามานย์ทั้งหมดบนเขากว่างเฉิง ประกายตาดุจเพลิง “พวกเจ้าจงเป็นเบาะรองให้อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าทั้งหมดเสียเถอะ”

………………………………