พอออกจากเขาปู้โจวซาน อยู่ๆ เสวียนจีก็ยกมือขึ้นร้องดังขึ้นว่า “ไม่ได้การ! ข้ารับปากหลิงหลงไว้ ไปแดนปรภพดูอูถง! ลืมสนิท!” นางหันหลังจะกลับไป อวี่ซือเฟิ่งรีบรั้งไว้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าไปดูอูถงทำไม ทำไมหลิงหลงให้เจ้าดูเขา”
เสวียนจีมองเขาท่าทางลังเล ไม่รู้ควรพูดอะไร อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ที่แท้เจ้าบอกว่ามาแดนปรภพก่อนก็ด้วยเรื่องนี้เอง เกิดอะไรขึ้นกับหลิงหลง”
เสวียนจีได้แต่เล่าเรื่องราวความฝันแทบทุกวันของหลิงหลงให้เขาฟัง สงสัยว่าอูถงเป็นผีร้ายวิญญาณไม่สลาย เอาแต่ตามตอแยนาง อวี่ซือเฟิ่งฟังจบก็ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร หากเป็นอู๋จือฉีลูบคางยิ้มกล่าวว่า “อย่าเหลวไหล คนลงนรกแล้ว ไหนเลยจะไปก่อกวนคนในแดนมนุษย์ได้! ไม่อย่างนั้นพันปีนี้ข้าก็คงไปเข้าฝันหลายคนแล้วนับไม่ถ้วนแล้ว! ข้าว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผีร้ายวิญญาณไม่สลาย เห็นชัดว่าเกิดจากโรคทางใจ!”
“น่าจะไม่กระมัง ดูแล้วหลิงหลงก็กลัวมาก ก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นอูถงก่อเรื่อง พวกเจ้าไปก่อน ข้าไปดูสักหน่อย จะรีบกลับมา” เสวียนจีโบกมือ ผู้ใดจะรู้ว่าถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าไป เสียเวลาเปล่า”
“อะไรคือเสียเวลาเปล่า!” เสวียนจีเริ่มโมโห หน้าแดงถลึงตาใส่อวี่ซือเฟิ่ง เขาอยากพูดแต่ไม่พูด ได้แต่ขมวดคิ้วลังเล จิ้งจอกม่วงข้างๆ น้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวว่า “เสวียนจี ตามความเห็นข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอูถงจริงๆ คนที่กลายเป็นผีร้ายวิญญาณไม่สลายจะไม่แค่มาเข้าฝัน จิตญาณที่ลงนรกและได้รับการลงทัณฑ์ก็ยิ่งไปเข้าฝันไม่ได้ นับประสาอันใดกับเจ้า ดูเซินซูและอวี้ลวี่เฝ้าอยู่ที่นี่ ในนรกก็ยังมียมทูตเฝ้าแต่ละชั้น อูถงไม่ได้ร้ายกาจเช่นอู๋จือฉี ย่อมไม่อาจหนีออกมาได้ ภาษิตว่ากลางวันเฝ้าคำนึง กลางคืนเก็บไปฝัน ข้ารู้สึกว่าหลิงหลงคิดมากไป อู๋จือฉีกล่าวได้ถูกต้อง นั่นคือโรคทางใจ”
“แต่…” เสวียนจียังคิดไม่ตก อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางแน่น กล่าวว่า “ไปหาโรงเตี๊ยมพักกันก่อน คืนนี้ข้าพูดให้เจ้าฟัง”
ทุกคนล้วนไม่เห็นด้วยหากนางจะกลับไป เสวียนจีได้แต่ตามพวกเขาออกไปอย่างเชื่อฟัง
อู๋จือฉีถูกขังมาพันปี พอออกมาเห็นต้นไม้ใบหญ้าสดใหม่ ก็เริ่มร้องตะโกนวิ่งไปบนทุ่งหญ้ารกร้างไม่หยุด ดีใจเกาหัวเกาหู ไม่ได้หยุดนิ่งเลยสักวินาที พอถึงหมู่บ้าน เห็นฝูงชนไปๆ มาๆ ขวักไขว่ สิ่งก่อสร้างอาคารเรียงกันหนาแน่น ก็เอาแต่จ้องมอง เริ่มนิ่งลงได้
พอเข้าร้านสุรา เสวียนจีทำตามสัญญาที่รับปากไว้ ซื้อสุราสามสี่ไหเสร็จ โยนให้อู๋จือฉี ยิ้มกล่าวว่า “มา พวกเราดื่มสุรากัน!”
พริบตา ดวงตาเขาก็สว่างวาบยิ่งกว่าแสงตะวัน
แม้ว่าอู๋จือฉีอยากกินมาก แต่ไม่ได้เหมือนมกรที่จะยัดเอายัดเอา กลับกัน ไม่ว่าดื่มสุราหรือกินอาหาร ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รีบไม่ร้อน ทุกคนพูดไปหัวเราะไป คุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปของโลกภายนอก ดื่มสุราดอกหลีหมดไปไหหนึ่งอย่างรวดเร็ว อู๋จือฉียกจอกสุรายืนพิงราวชั้นสองมองลงไปยังตลาดครึกครื้นด้านล่าง ยิ้มพลางถอนหายใจ “โลกภายนอกเปลี่ยนไปไม่น้อย พันปีก่อนไหนเลยจะมีสุรารสเข้มเช่นนี้ ยิ่งไม่มีอาคารงดงามเช่นนี้ บ้านก็สร้างจากก้อนหิน ด้านบนยังมีลวดลายอีก…”
กล่าวจบก็กัดขนมหน้าตาประณีตไปคำหนึ่ง ก่อนจะโยนเข้าปากเคี้ยวหยับๆ พลางอู้อี้กล่าวว่า “อืม…อร่อย! คิดไม่ถึง พันปีกว่าได้ออกมา ยังสบายกว่าแดนสวรรค์! ราชันสวรรค์คงอิจฉาตาร้อนอยู่บนสวรรค์แน่ๆ ที่พวกโจรอย่างเราได้เสพสุขยิ่งกว่าเขา”
“เอ๋ เจ้าเคยอยู่แดนสวรรค์?” เสวียนจีแปลกใจมาก
“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว!” อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น “อยู่นานอยู่นะ! ทุกวันมีคนเอาอาหารมาส่งให้ กลัวข้าโมโห ทุกวันเปลี่ยนลูกเล่นไปเรื่อย หาของอร่อยมาให้ข้า น่าเสียดายไร้รสชาติ!”
จริงหรือ แววตาเสวียนจีมองเขาอย่างเริ่มเลื่อมใสแล้ว จิ้งจอกม่วงแค่นเสียงฮึ ค้อนขวับกล่าวว่า “เจ้าฟังเขาโม้! ย่อมถูกขังในคุกสวรรค์ตอนนั้นแน่ แดนสวรรค์ไม่ได้สังหารเขานับว่าดีมากแล้ว ยังเลี้ยงดูเขา?”
“เอ๋ ข้าบอกพวกเจ้าเลยนะ แดนสวรรค์ยังไม่งามเท่าเขาคุนหลุน ลำบากบรรดาเทพเซียนแท้ ยังต้องแสร้งทำท่าทางเป็นการเป็นงาน ในใจย่อมต้องร้องโอดโอย กลับไปได้พบราชันสวรรค์ ก็คงต้องถามเขาหน่อย ทุกวันมีเซียนคิดลงมาโลกมนุษย์เท่าไร ท่านรู้ไหม รับรองเขาทำหน้าปั้นยากแน่!”
ทุกคนกินไปดื่มไป ดื่มจนเริ่มได้ที่ แม้แต่หลิ่วอี้ฮวนก็ไม่อาจปั้นหน้าขรึมต่อ ชนสุรากับอู๋จือฉี เจ้าจอกข้าจอก บรรยากาศเริ่มเมามายกันไปหมด ประคองกันหัวเราะร่วนกลับไปนอนโรงเตี๊ยม เสวียนจีก็เริ่มเมา อยู่ในห้องเริ่มรู้สึกร้อน กำลังจะลงไปข้างล่างหาน้ำมาอาบ ก็ได้ยินจิ้งจอกม่วงหัวเราะร่วนอยู่ลานด้านหลัง เสียงนั่นหวานล้ำมาก
วันนี้นางดื่มไปมากที่สุด เพราะมาถึงโลกมนุษย์ ไม่อาจแปลงกายเป็นจิ้งจอกต่อ กลายร่างเป็นสาวงามชุดม่วง พอดื่มสุราไปหูและหางจิ้งจอกก็โผล่ออกมาจนเกือบถูกคนเห็นเข้า เสวียนจีกังวลว่านางดื่มมากไปจะไม่สบาย จึงผลักประตูจะเดินเข้าไป พลันเห็นจิ้งจอกม่วงเกาะกอดอู๋จือฉีหนึบ จิตใจวุ่นวายสับสน สีหน้าแดงก่ำ ยังมีท่าทางเมามายออดอ้อน ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องใจเต้นโครมคราม
เสวียนจีรีบถอยออกมา เกรงว่าจะรบกวนเขาสองคนฝากรักกัน จิ้งจอกม่วงหัวเราะคิกคักครู่หนึ่ง พลันกล่าวอ่อนโยนว่า “อู๋จือฉี ข้าเป็นมนุษย์แล้วสวยไหม” เสียงเสียงออดอ้อนออเซาะ ราวกับจะเค้นออกมาเป็นคำได้ ผ่านไปนาน เสวียนจีรู้สึกหน้าแดงใจเต้นแรง
อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “สวย จิ้งจอกน้อยเราย่อมสวยมาก”
จิ้งจอกม่วงหัวเราะเริงร่าราวดอกไม้ผลิบาน อยู่ๆ เกี่ยวคอเขาไว้ ยิ้มหวานเยิ้ม กล่าวเบาๆ ว่า “อย่างนั้นท่านก็จูบหน่อย ท่านไม่ชอบข้าหรือ”
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ตนเองไม่ควรอยู่ต่อ หันหลังจะจากไป พลันได้ยินอู๋จือฉีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเมาแล้ว รีบไปนอนเร็ว” เสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็ง ไม่ได้มีแววหลงใหลแม้แต่น้อย จิ้งจอกม่วงยังคงหัวเราะ หัวราะอยู่นานก่อนจะกล่าวเบาๆว่า “ท่านจูบข้าทีหนึ่ง ข้าก็ไปนอน”
“อย่าเหลวไหล” อู๋จือฉีตบหัวนางเบาๆ ราวกับทำกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่เอาแต่ใจ “รีบไปนอน”
จิ้งจอกม่วงหุบยิ้ม ค่อยๆ ปล่อยมือ ยืนตรงหน้าเขา มองเขานิ่งเงียบ อู๋จือฉีไม่มีปฏิกิริยา มองจ้องตากับนาง คิ้วก็ไม่ขมวดสักนิด เป็นนานอยู่ๆ นางก็ยักมุมปาก กล่าวอ่อนโยนว่า “ได้ ข้าไปนอนละ อู๋จือฉี เจ้าก็พักผ่อนเร็วหน่อยนะ ฝันดี จำไว้ว่าต้องฝันถึงข้าน้า~”
อู๋จือฉีโบกมือ “ไปนอน! ยังมากล่าววาจาเหลวไหลมากมายเช่นนี้อีก”
จิ้งจอกม่วงจึงได้หัวเราะคิก ก่อนจะโงนเงนโดดข้ามกำแพงผลักหน้าต่างโดดเข้าไป
เขาสองคนเป็นเช่นนี้ผิดปกติมาก เสวียนจีกลับถึงห้องตนเองเงียบๆ นั่งนิ่งอึ้งอยู่นาน แต่ไรมา นางได้ฟังแต่จิ้งจอกม่วงบอกเล่าฝ่ายเดียวถึงความรักของนางกับอู๋จือฉี ยังคิดว่าสองคนเป็นคู่กัน พวกเขาไปแดนปรภพครั้งนั้น ก็เป็นอู๋จือฉีเองที่เอ่ยปากขอให้จิ้งจอกม่วงอยู่ต่อ ที่แท้บุปผามีใจร่วงหล่น แต่สายน้ำไหลไร้ใจรั้งไว้
จิ้งจอกม่วงงดงามเช่นนั้น เหตุใดอู๋จือฉีไม่ชอบ
อยู่ๆ ประตูห้องพลันมีคนผลักเข้ามา อวี่ซือเฟิ่งยกถาดน้ำชาเข้ามา เห็นเสวียนจียังไม่นอนเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียง เขาอดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ทำไม ยังโมโหข้าเรื่องหลิงหลง?”
เสวียนจีโดดผึงขึ้นโผเข้ากอดคอเขาไว้ ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ากล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…เจ้าจูบข้าที”
มืออวี่ซือเฟิ่งยังยกถาดน้ำชาอยู่ คำขอนางทำเอาเขาอยากจะร้องไห้ ทำหน้าไม่ถูกกล่าวว่า “ที่แท้ไม่ได้โกรธ แต่กำลังคิดเรื่องพวกนี้” วาจาไม่ทันจบก็ถูกริมฝีปากกลืนหายไป เขามอบจุมพิตร้อนแรงให้นาง แม้ว่าทำให้นางพอใจมาก แต่ทว่า…
“อย่า…ฟ้ายังไม่มืด!” เสวียนจีคว้ามือไม้ที่ไม่หยุดนิ่งของเขาพัลวัน หอบกระซิก กว่าจะทำให้เขายอมนิ่งได้ก็นานไม่น้อย อวี่ซือเฟิ่งวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะ รั้งนางมากอดพลางยิ้มเฝื่อน “มีคนชอบทรมานคนอื่นเช่นเจ้าแบบนี้ด้วย?” เสวียนจีกอดคอเขาไว้ ท่าทางละอายใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เอาน่า คืนนี้…คืนนี้ค่อยว่ากัน” กล่าวถึงคำหลัง ก็เริ่มหน้าแดงก่ำ หูอื้อไปหมด
อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าจูบหน้าผากนางทีหนึ่ง วางนางลงขอบเตียง ทั้งสองนั่งเคียงกัน เทน้ำชามาดื่มกันเสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า“ซือเฟิ่ง เจ้าว่า ถ้าไม่ชอบใครสักคน จะยอมให้นางเข้าใกล้ไหม?”
อวี่ซือเฟิ่งฉลาดขนาดไหน เห็นสีหน้านางก็รู้นางหมายถึงอะไร จึงยิ้มกล่าวว่า “จิ้งจอกม่วงก็ดี แต่ผู้ใดก็คงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายดีจึงหลงรัก บางทีพวกเขารู้จักกันนานไป คุ้นเคยกันมากไป ดังนั้นกลับทำให้ไม่อาจกลายเป็นคนรักกันได้”
“ผู้ใดว่า? หลิงหลงกับศิษย์พี่หกเติบโตมาด้วยกัน พวกเขาไม่ใช่ว่าแต่งงานกันแล้วหรือ ในใจหลิงหลงมีเพียงศิษย์พี่หก ในใจศิษย์พี่หกก็มีเพียงหลิงหลง”
อวี่ซือเฟิ่งวางถ้วยชาลง เขี่ยนิ้วมือเรียวของนางเล่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ในใจหมิ่นเหยียนใช่ว่ามีเพียงหลิงหลงหรือไม่ ข้าไม่แน่ใจ แต่ในใจหลิงหลงต้องไม่ได้มีเพียงหมิ่นเหยียน”
หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีมองเขาอย่างสงสัย
เขาหัวเราะ กล่าวอีกว่า “เรื่องคนอื่น ยากข้องเกี่ยว แต่ใจสตรีแต่ไรมาก็ละเอียดและอ่อนไหว นางคิดอย่างไรมีแต่นางเองกระจ่างที่สุด ดังนั้นระหว่างนางกับอูถงมีอะไรที่ทำให้ใจนางป่วยใจ นั่นก็ต้องเป็นเรื่องของนางเอง”
“ข้า ข้ายังไม่เข้าใจ” เสวียนจีพึมพำ “ความหมายเจ้า หรือว่าจะว่าหลิงหลงชอบอูถง ไม่น่านะ เขาเป็นคนเลวแท้ๆ”
อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี เจ้าดู มือก็มีหน้ามือหลังมือ เหมือนกับคน แบ่งออกเป็นภายนอกกับภายใน ภายนอกพวกเราส่วนใหญ่ก็ทำไปตามระเบียบและเหตุผล อะไรถูก อะไรผิด โลกนี้กำหนดไว้แล้ว สำหรับหลิงหลง หมิ่นเหยียน ก็คือการเลือกที่ดีที่สุดของภายนอก โตมาด้วยกันราวกิ่งทองใบหยก ไม่มีวาจาอะไรปิดบัง ยังชอบพอกันอีก นอกจากเขา ยังมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้หรือ”
เสวียนจีส่ายหน้า
“แต่ภายในไม่อาจใช้เหตุผลใดระงับไว้ได้ ถึงกับไม่อาจบังคับใจเราเองได้ มันเป็นอิสระแท้จริง แอบซ่อนอยู่ภายในใจเราอย่างลึกที่สุด ความคิดต้องห้ามที่สุดที่ห้ามเผยออกมา อูถงก็คือโลกในนั้นของหลิงหลง นางไม่คุ้นเคยกับเขาเลย ย่อมต้องมีความลึกลับน่าค้นหา บางทีช่วงเวลาที่ถูกจองจำ อาจเกิดอะไรที่พวกเราไม่รู้ ทำให้นางเกิดความรู้สึกที่แปลกออกไป นางย่อมรู้ดีว่าชายผู้นั้นต่างจากหมิ่นเหยียนสิ้นเชิง นี่ก็คืออีกทางเลือกหนึ่ง ทันทีที่ภายนอกกับภายในเกิดการปะทะกัน ปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนก็ย่อมรีบปิดบังภายในไว้ เพราะภายนอกมีกฎธรรมเนียมมากมายกำหนดไว้แน่นหนา คนต่อต้านก็จะไม่มีจุดจบที่ดี หนึ่งเป็นคนรักที่ดังกิ่งทองใบหยก อีกหนึ่งเป็นศัตรูที่ลึกลับยากคาดเดา นางควรเลือกคนใด”
เสวียนจียังคงส่ายหน้า
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เสวียนจี ข้าบอกเจ้านะ ไม่ว่านางเลือกคนไหน ก็ย่อมนึกเสียใจภายหลัง โลกนี้โหดร้าย มักจะวางสองสิ่งที่ล่อลวงใจไว้ตรงหน้าเจ้า เลือกหนึ่งไป ก็ย่อมต้องทิ้งอีกหนึ่ง ตอนนี้ ภายในจิตใจนางกำลังร้องไห้ให้อูถง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งได้ ยิ่งไม่เกี่ยวกับอูถง ล้วนเป็นใจที่ป่วยของนางเอง”
“อย่างนั้น…ข้าควรทำเช่นไร” เสวียนจีในอ้อมกอดเขาแหงนหน้ามองเขาอย่างเลื่อมใส ดวงตากลมโตราวกับมองเทพเจ้าในโลกของตนเอง ล้วนมีแต่ความรักและศรัทธาเปี่ยมล้นกายใจ
อวี่ซือเฟิ่งอดก้มหน้าจุมพิตลงไปไม่ได้ พึมพำกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น…เวลาคือยารักษาที่ดีที่สุด…กอดข้าแน่นๆ เสวียนจี”
จุมพิตเขาทำให้จิตใจหวั่นไหววุ่นวาย ฟ้ายังไม่มืด…นางอยากพูดต่อ แต่กลับถูกเพลิงร้อนแรงของเขาแผดเผาเสียแล้ว