ความหมายอวี่ซือเฟิ่งก็คือ ในเมื่อราชันสวรรค์กว่าจะมาเขาคุนหลุนก็อีกสองเดือน เช่นนั้นช่วงเวลานี้ทุกคนก็ควรร่วมเดินทางไปตำหนักหลีเจ๋อจัดการเรื่องห่วงฟ้าเทียนจวินให้เรียบร้อยก่อน จะได้ทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จสิ้น ผู้ใดจะรู้ว่าข้อเสนอนี้ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกอู๋จือฉีปฏิเสธ
“หรือว่ายังต้องให้ข้าไปถึงที่” อู๋จือฉีถามอย่างอวดเบ่ง อวี่ซือเฟิ่งอยู่ๆ พลันไร้วาจาจะกล่าว
“คิดเอาของตนเองคืน ก็ต้องมาหาเองสิ ข้าอยากดูนักว่าพวกเขาจะมีความสามารถอะไร”
เสวียนจีเห็นหลิ่วอี้ฮวนกับอวี่ซือเฟิ่งต่างไม่กล่าวอันใด จึงถามว่า “อู๋จือฉี เมื่อก่อนเจ้าเคยกล่าวว่าคนตำหนักหลีเจ๋อทรยศเจ้า เรื่องราวเป็นมาอย่างไร”
อู๋จือฉีราวกับไม่อยากจะตอบคำถามนี้นัก กดขมับคิดอยู่เป็นนาน สุดท้ายจิ้งจอกม่วงผลักเขาทีหนึ่ง เขาจึงได้กล่าวด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “ในชาตินี้เจ้ามีพี่สาวใช่ไหม ข้าถามเจ้า หากมีวันหนึ่งพี่สาวเจ้าขายเจ้าให้ศัตรูเพื่อของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ในใจเจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง ติดอ่างกล่าวว่า “หลิงหลงจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร…”
อู๋จือฉียักไหล่ “เมื่อก่อนข้าก็รู้สึกไม่น่าเป็นได้ ข้ากับคนผู้นั้นรักกันดังพี่น้อง มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน แต่ไรมาไม่เคยคิดเรื่องไว้ใจหรือไม่ ตอนนั้นมีข่าวลือ คลังสมบัติแดนสวรรค์มีของวิเศษ เทพองค์หนึ่งทิ้งไว้ก่อนจะหายตัวไป เราสองคนก็คิดอยากได้ รู้สึกเราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเทพเซียนพวกนั้น ถือสิทธิ์อะไรที่พวกเขาสะสมของวิเศษได้ แต่พวกเราไม่มีแม้แค่ผายลม จากนั้นข้าก็เลยไปเขาคุนหลุน อาศัยจังหวะแสงสวรรค์สาดส่องลงมา แอบขึ้นไปขโมยของวิเศษแดนสวรรค์…เหอะๆ พวกเจ้าก็รู้นี่ ของวิเศษที่ว่าก็คือห่วงฟ้าขอสมุทร แท้จริงแล้วเทพใดทิ้งไว้ ข้าก็ไม่รู้ชัด อย่างไรข้าก็มีใจคิดขโมย”
“ห่วงฟ้าเทียนจวินไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้า สำหรับพี่น้องข้ากลับมีประโยชน์มาก แต่ขอสมุทรเช่อไห่เป็นของที่ข้ารักจนวางไม่ลง ดังนั้นข้าจึงมอบห่วงฟ้าเทียนจวินให้น้องชายผู้นั้นไป ข้าเดาว่าเขาคงเริ่มมีใจคิดเป็นอื่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งถามว่า “หรือว่าน้องชายผู้นั้นเจ้าคิดครอบครองของวิเศษทั้งสองไว้เอง?”
อู๋จือฉีส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “นั่นก็ไม่ใช่ เขาเห็นว่าห่วงฟ้าเทียนจวินเพิ่มพลังปีศาจตนเองได้มาก ย่อมยินดีอย่างเก็บอาการไม่อยู่ คิดไปว่าเทพศาสตราเป็นของดี ตอนไปขโมยเป็นข้าไปคนเดียว เขาไม่ได้ไปด้วย ดังนั้นจึงสงสัยว่าข้ายังแอบซ่อนของดีไม่ให้เขา พูดไปแล้วก็บังเอิญ เรื่องที่ข้าขโมยของนั่นถูกเทพเซียนรู้ตัวอย่างรวดเร็ว ส่งคนมาจับข้า เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ใช้ขอสมุทรเช่อไห่ เกี่ยวไปแค่ทีเดียว ขุนพลเทพที่มาจับข้าก็ตายไปเกินครึ่ง ของวิเศษนั่นร้ายกาจมากจริงๆ แน่นอน หลังศึกนั้นชื่อเสียงข้าก็ระบือไปไกลถึงแดนสวรรค์ กลายเป็นหนามยอกในตาพวกเขา คิดแต่จะกำจัดข้า ต่อมาจึงได้เกิดเรื่องมากมาย…เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวันหน้าแล้ว มาพูดเรื่องน้องชายข้าผู้นั้นก่อน พอเห็นขอสมุทรเช่อไห่ร้ายกาจเช่นนั้น ก็ยิ่งคิดไปว่าข้าแอบซ่อนของดีไม่แบ่งให้เขา เราสองคนทะเลาะกันเป็นครั้งแรก ข้าโมโหเลยโยนขอสมุทรเช่อไห่ให้เขา ให้เขาไปเทียบดู แต่เขาหยิบขอสมุทรเช่อไห่ไปเกี่ยวแม้แต่ต้นไม้ก็ไม่ขาด เห็นชัดว่าเทพศาสตราไม่เหมาะกับเขา ข้าคิดว่าเช่นนี้เขาคงไม่คิดอะไรแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าภายนอกเขาดีกับข้า แต่ในใจยังคงคิดว่าข้าแอบซ่อนของดีไม่ยอมแบ่งให้เขาอยู่ตลอด เฮ้อ จริงๆ แล้วตอนรู้จักเขา ข้าก็รู้เขาดีใจหรือโมโหล้วนไม่แสดงออก มีอะไรก็เก็บงำซ่อนไว้ในใจราวกับงูพิษ จนสุดท้ายได้เวลาจึงจะโจมตีเอาชีวิต”
“ข้าสังหารขุนพลเทพไปมากมาย ทำให้แดนสวรรค์โมโหมาก จากนั้นมา ข้าก็ไม่เคยได้สงบสุขสักวัน ไม่ใช่มาไล่สังหารก็มาขอประลอง ข้าสังหารขุนพลเทพไปมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ราชันสวรรค์น่าจะนึกเสียใจภายหลัง จริงๆ ราชันสวรรค์ก็ใช้ได้อยู่ คิดว่าข้าเป็นคนมีความสามารถ จึงได้เรียกเข้าพบ บอกว่าขอเพียงข้ามอบห่วงฟ้าขอสมุทรคืน ก็จะไม่เอาเรื่องความผิดที่ข้าขโมยของ ยังมอบตำแหน่งขุนนางให้ด้วย กลับไปข้าก็ไปหารือกับน้องชายนั่นว่าจะมอบคืนของ พวกเราสองก็แค่มารปีศาจ อาศัยมีเทพศาสตราร้ายกาจเท่านั้น แต่การเป็นปรปักษ์กับแดนสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา หนึ่งยุ่งยาก สองข้ามักรู้สึกว่าเรื่องนี้ข้าก็ผิดอยู่ก่อน ยังสังหารขุนพลเทพไปมากมาย ในใจก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ข้าไม่ได้อยากเป็นขุนนางอะไร ข้ายังชอบวันเวลาที่อิสระเสรีที่ได้คบหามิตรสหาย ทุกวันได้ดื่มสุราและขี้โม้ใส่กัน วันเวลาเช่นนี้สบายใจดี ผลปรากฎถูกน้องชายข้าด่าเสียยกใหญ่ เราสองทะเลาะกันหนักมาก เกือบจะลงมือกัน”
“เห็นข้าไม่ตอบอยู่นาน ราชันสวรรค์เข้าใจว่าพวกเราตัดสินใจคิดกบฏ ก็ยิ่งไม่ออมมือ ส่งกองทัพใหญ่มาสังหารพวกเรา พวกเขาลงมือสังหาร พวกเราก็ไม่อาจยื่นคอให้พวกเขาสังหาร ข้ามีสหายมาก ล้วนเป็นพวกใจถึงรักสหาย ไม่ถามเหตุก็มาช่วยข้ารับมือแดนสวรรค์ สุดท้ายยิ่งมีเรื่องก็ยิ่งขยายวงกว้าง พอข้าโมโหก็เลยทำน้ำท่วมสวรรค์ไป จากนั้นอยู่ๆ ข้าก็รู้ว่าเรื่องบานปลายไปจนถึงขั้นไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว ทั้งหมดที่ข้าทำลงไปล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าชอบ ก็แค่ไม่ยอมกลืนศักดิ์ศรีและไร้เหตุผลเอง เทพเซียนแดนสวรรค์ตายไปไม่น้อย แต่ข้าเองก็มีสหายตายไปไม่น้อย การตายของพวกเขาทำให้ความเอาแต่ใจของพวกเรากลายเป็นสิ่งไร้ค่า วันนั้นข้าจึงตัดสินใจมอบของวิเศษคืน แดนสวรรค์จะฆ่าจะแกงก็มาที่ข้าคนเดียว ข้าอาศัยจังหวะที่น้องชายผู้นั้นไม่ทันระวังตัว ขโมยห่วงฟ้าเทียนจวินเขามา เตรียมจะหาโอกาสไปแดนสวรรค์ ก็ได้มาพบกับแม่ทัพเทพสงคราม”
เสวียนจีกำลังฟังอย่างออกรส เห็นเขาอยู่ๆ ก็เอ่ยถึงนางจึงตะลึงงัน ยกนิ้วมือชี้หน้าตนเอง อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น พยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ได้พบเจ้า อืม หลังจากได้พบกับเจ้า อยู่ๆ ข้าก็มีลางสังหรณ์ พูดถึงความสามารถเจ้าก็แข็งแกร่งมากจริง แต่ข้าก็ไม่ได้แพ้ให้เจ้าง่ายดายเพียงนั้น แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธ ข้าชอบสาวงาม ไม่อาจตัดใจลงมือรุนแรง นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าชนะข้าได้ แต่แดนสวรรค์พวกนั้นจะคิดใช้ท่านแม่ทัพสาวมาสู้กับข้าได้เองหรือ ตอนนั้นข้าเริ่มแอบรู้สึกว่าน่าจะมีคนทรยศข้า เอาจุดอ่อนที่ข้านิยมชมชอบสาวงามไปเปิดเผย แต่ก็นะ นิยมชมชอบสาวงามก็เป็นเรื่องปกติโลก แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยปิดบัง ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้ ผลปรากฏวันนั้นถูกเจ้ารั้งไว้ ข้าไม่ได้เอาเทพศาสตราไปคืน กลับถูกน้องชายข้ารู้ตัวว่าห่วงฟ้าเทียนจวินถูกข้าขโมยไปแล้ว ครั้งนั้นเขาโมโหไฟลุก ถึงกับตัดสัมพันธ์กับข้าเลย แต่เขายังมาทวงห่วงฟ้าเทียนจวินกับข้า ข้าย่อมไม่คืนให้เขา เดิมก็ไม่ใช่ของพวกเรา ก็ควรคืนให้แดนสวรรค์ ที่ว่าความผิดข้ารับไว้คนเดียว เขายังจะโวยวายอะไร”
“จากนั้นพวกเราก็ต่อสู้กันรุนแรง เขาไม่มีห่วงฟ้าเทียนจวิน ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า ได้แต่จากไปอย่างเจ็บแค้น ตอนข้ากำลังคิดเอาของไปคืน เทพสงครามก็มาปรากฏเบื้องหน้าข้าเป็นครั้งที่สอง ปรากฏข้าเสียสมาธิ ถูกแดนสวรรค์จับกุมตัวได้ จากนั้นแน่นอนก็คือไต่สวนลงโทษ ฮึ ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง เดิมว่าจะคืนของ แต่พอเห็นพวกแดนสวรรค์ยโสวางอำนาจ ข้าก็เลยไม่คืนมันเลย ทำพวกเขาโมโหดีกว่า ห่วงฟ้าขอสมุทรอยู่ในตัวข้า พวกเขาจะเอาไป ก็ต้องสังหารข้าก่อนเท่านั้น แต่แดนสวรรค์ดำรงตนว่ามีเมตตา บอกว่าไม่สังหารข้าแล้วก็ต้องไม่สังหาร ได้แต่ขังข้าไว้ในแดนปรภพที่ลึกที่สุดในกระท่อมนั่น ขังทีก็พันปี ต่อมาก็ได้พบพวกเจ้า เรื่องราวก็เป็นมาเช่นนี้แหละ”
อู๋จือฉีกล่าวจบก็ดื่มชาไปอึกหนึ่ง สีหน้าหลากอารมณ์ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานี้ ลดเลี้ยวเคี้ยวคด ทำเอาคนฟังแล้วตื่นเต้นเลือดในกายพลุ่งพล่านตาม เรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สาเหตุมาจากเรื่องขี้ปะติ๋วแท้ๆ ตอนเขาไปแดนสวรรค์ขโมยห่วงฟ้าขอสมุทรเคยคิดไหมว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนต้องกลายเป็นมารปีศาจใหญ่ที่ทำแดนสวรรค์สะเทือน เรื่องลามบานปลายได้แต่ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจ
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวว่า “ขายจุดอ่อนเจ้า ก็คือน้องชายเจ้าผู้นั้น ใช่ว่าแดนสวรรค์รับปากให้ประโยชน์อันใดกับเขาไหม ปรากฎห่วงฟ้าเทียนจวินถูกเจ้าขโมยไป ความสามารถเขาไม่อาจขึ้นสวรรค์ได้ ดังนั้นจึงถูกบีบให้อยู่โลกมนุษย์ เขาทำใจไม่ได้ ดังนั้นจึงรวมกำลังเผ่าพันธุ์อ้างว่าคิดจะช่วยเจ้าออกมา ตั้งตำหนักหลีเจ๋อขึ้นมา…ตอนเด็กข้ารู้แค่ตำหนักหลีเจ๋อมีงานใหญ่ที่ต้องทำ คิดไม่ถึงงานใหญ่ไม่เพียงแค่ช่วยเจ้า จริงๆ แล้วจุดหมายแท้จริงก็คือขอคืนห่วงฟ้าเทียนจวิน หรือว่าพวกเขายังคิดจะเป็นเทพเซียนแดนสวรรค์”
“อันนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” อู๋จือฉีแคะขี้มูก “ถือว่าข้าไม่รู้จักมองคน แต่เห็นแก่ที่พวกเขาวิ่งวุ่นกันมาพันปี จนสุดท้ายปลดโซ่หมุดทะเลให้ข้า ข้าก็มอบห่วงฟ้าเทียนจวินคืนพวกเขาแล้วกัน แต่บัญชีพันปีก่อน พวกเราก็ต้องชำระให้จบด้วยไม่ใช่หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “…ผ่านมาตั้งพันปีแล้ว น้องชายท่านในวันนั้นก็ไม่อยู่แล้ว บางทีอาจตายตอนไปช่วยท่านแล้ว เหลือแค่คนรุ่นหลังที่ไร้ความแค้นกับท่าน ท่านอย่าเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่เลย”
อู๋จือฉีหัวเราะคิก ตบไหล่เขาทีหนึ่ง พลางป้ายขี้มูกลงไป กล่าวว่า “เป็นคนน่ะ ต้องมีจิตใจดีงามหน่อย แต่ตอนคนอื่นทำผิดกับเจ้า เจ้ายังมีจิตใจดีงามก็เรียกว่าโง่เง่าแล้ว คนเขาไม่ได้เป็นกันแบบนี้นะ เจ้าถูกรองเจ้าตำหนักอะไรนั่นบีบให้ต้องจากบ้านจนยากกลับไป ไม่นับเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว ยังมีคุณธรรมกับพวกเขา ใช่ว่าโง่เง่าหรือไม่”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด จิตใจดีงามหรือ? อาจมีกระมัง! แต่เขาเพียงแต่ทำไม่ลง การคงอยู่ของตำหนักหลีเจ๋อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเคยมีรากเหง้า นับประสาอันใดกับที่นั่นยังมีบิดาเขา แม้ว่าเขาลืมตนเองไปหมดแล้ว ขจัดมันทิ้งไป เขาก็เหมือนคนล่องลอยแล้ว แม้เขาไม่อาจกลับไป แต่อย่างไรที่นั่นก็เป็นบ้านเขา
เขาปาดขี้มูกนั่นทิ้ง ปาดกลับไปบนผมอู๋จือฉี กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตามใจเจ้าเถอะ”
“โมโหแล้ว?” อู๋จือฉีหัวเราะร่ามองเขาจัดการขี้มูกนั่น เขาก็ปาดลงบนโต๊ะต่อ “เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าคือสหาย แต่ไรมาข้าไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อสหาย”
อวี่ซือเฟิ่งแค่นเสียงฮึ หัวเราะตามเขา กำลังจะคิดเรื่องสบายๆ พลันได้ยินหลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงฮึขึ้น ตามมาด้วยเสียง เพล้ง ถ้วยชาในมือเขาถูกเขวี้ยงลงพื้น ทุกคนต่างตกใจ รีบหันไปมอง เห็นเขากุมดวงตาสวรรค์บนหน้าผากแน่น เนื้อหนังรอบหน้าผากเริ่มปูดนูนขึ้น ด้านล่างเหมือนว่ามีเส้นเอ็นนับไม่ถ้วนกำลังบิดตัว แทบกดไว้ไม่อยู่
หยดเลือดมากมายนับไม่ถ้วนไหลรดหว่างนิ้วเขา ฝ่ามือเขาราวกับกุมของร้อนที่เต้นไหวรุนแรง หลิ่วอี้ฮวนพลันกระโดดขึ้น ร่างด้านบนขดงอ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “มี…มีคนมาแล้ว! ระวัง!”
วาจาไม่ทันจบ ร่างเขาพลันโงนเงนล้มลงฟาดกับพื้น อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าไปประคอง เขาเป็นลมสลบไปแล้ว มีเพียงดวงตาสวรรค์บนหน้าผากที่ยังกระตุกไหว กล้ามเนื้อหน้าผากกำลังกระตุก และมีเลือดไหลออกมาปิดรอยแยกดวงตาสวรรค์ เลือดเริ่มท่วมใบหน้าหลิ่วอี้ฮวน น่ากลัวอย่างที่สุด
ขณะทุกคนกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น พลันได้ยินที่ประตูมีคนเสียงกังวานก้องกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอู๋จือฉีออกจากแดนปรภพแล้ว พวกผู้น้อยไม่ได้ไปต้อนรับ เสียมารยาทแล้ว ขอท่านโปรดอภัย”
ทุกคนหันขวับกลับไป เห็นแขกและเสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมไม่รู้แอบหลบกันเข้ามาตอนไหน ประตูออแน่นไปด้วยชายชุดครามสวมหน้ากากอสุรา ก็คือคนตำหนักหลีเจ๋อ ในมือคนนำมาผู้นั้นมีพัดขนนกโบกพัดไปมา ไม่ใช่รองเจ้าตำหนักแล้วจะเป็นผู้ใด