ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 33 ห่วงฟ้าขอสมุทร (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ทั้งสองล้วนกำลังสงสัย ตลอดเส้นทางพวกเขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์กำหนดอะไร ตำหนักหลีเจ๋อหาพบได้อย่างไร หรือว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเขามาตลอด พวกเขาถึงกับไม่รู้ตัว? 

 

 

ขณะกำลังคิดอยู่นั่น คนตำหนักหลีเจ๋อทุกคนก็พากันเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้ว โรงเตี๊ยมนี้ไม่กว้าง ไม่นานก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คนหัวดำมืดไปหมด รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอะๆ เดินเข้ามาไม่รีบไม่ร้อน ประสานมือคารวะอู๋จือฉีอย่างมีมารยาท “ผู้น้อยคารวะท่านอู๋จือฉี” 

 

 

อู๋จือฉีแค่นเสียงประหลาดออกจากทางรูจมูก ยกมุมปากเล็กน้อย แสดงท่าทางว่าได้ยินแล้ว รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวอีกว่า “ท่านอู๋จือฉีสถานะสูงส่ง เหตุใดมาพักโรงเตี๊ยมเล็กๆ ซอมซ่อเช่นนี้ ไม่ทราบว่าท่านยินยอมตามผู้น้อยไปนั่งที่ตำหนักหลีเจ๋อสักหน่อยไหม พี่ชายข้าจัดที่จัดทางรอท่านไปเยือน”  

 

 

อู๋จือฉีขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าเข้ามาก็เอาแต่พูดวาจาผายลมเป็นทางการ พูดจาภาษาปกติเป็นไหม เจ้าพูดภาษาคนเป็นไหม” 

 

 

วาจาเขาไม่เกรงใจยิ่ง ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หากเป็นคนอื่นทำเช่นนี้ก็คงโมโหไปแล้ว รองเจ้าตำหนักกลับยิ้มเล็กน้อย แสดงท่าทางถ่อมตนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสั่งสอนได้ถูกต้อง โรงเตี๊ยมซอมซ่อเช่นนี้ไม่ใช่ที่สำหรับรับแขก แขกมานานแล้ว ทำไมไม่มียกน้ำชามาต้อนรับ” 

 

 

กล่าวจบก็ผ่านไปนานพอควร ในฝูงคนก็มีคนสองคนหน้าบึ้งเบียดตัวออกมา ดูท่าเป็นเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์ ออกมาต้อนรับด้วยท่าทางหวาดกลัว รองเจ้าตำหนักกล่าวอีกว่า “สถานที่เล็กๆ เช่นนี้ คาดว่าไม่มีชาดี พวกเจ้าก็เอาชาปี้เจินชั้นรองมาแล้วกัน”  

 

 

อู๋จือฉีอยู่ๆ กล่าวว่า “ข้าไม่ดื่มชา เจ้ามีวาจาจะผายลมก็รีบผาย พูดจาจิ๊กจั๊กทำให้คนเขารังเกียจเอาเปล่าๆ เป็นคนมาพันปี ความสามารถอื่นไม่ได้เรียนรู้เลย ความสามารถกล่าววาจาเหลวไหลลวงหลอกกลับเรียนรู้ได้เหมือนไม่เลว” 

 

 

รองเจ้าตำหนักยังคงไม่โมโห เผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสั่งสอนได้ถูกต้อง เช่นนั้นก็ขอน้ำเปล่าให้ข้าสักแก้วก็พอ” 

 

 

อู๋จือฉีเห็นเขาอ้อมไปอ้อมมาไม่ยอมพูดประเด็นสักทีก็ทนไม่ไหว กำลังจะถลกแขนเสื้อเข้าไป ในใจอยู่ๆ นึกได้ กลอกลูกตารอบหนึ่ง คนผู้นี้ท่าทางนิ่งสงบเช่นนี้ ไม่รู้ในใจมีความคิดชั่วร้ายอันใด ไม่สู้เอาไว้ก่อน ดูว่าเขาจะมาไม้ไหน พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะกลับลงนั่งที่เดิม ไขว่ห้างกล่าวว่า “ไม่เจอกันพันปี พวกครุฑอย่างเจ้าทำตัวได้เหมือนคนจริงๆ เลยนะ ร่างกายถึงกับไม่มีแม้แต่กลิ่นอายปีศาจ เก็บซ่อนเสียมิดชิด หากเจ้าออกมาเดินตามท้องถนนไม่บอกสถานะ ข้าอาจไม่ปรากฏตัวนะเนี่ย” 

 

 

รองเจ้าตำหนักอมยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ในเมื่อคิดจะเป็นมนุษย์ ก็ย่อมควรทำได้ไร้ร่องรอย หากคนไม่คน ปีศาจไม่ปีศาจ มันจะไปได้อย่างไร” 

 

 

คนผู้นี้ฝีปากร้ายกาจ อู๋จือฉีแสร้งทำเป็นฟังวาจาเสียดสีเขาไม่เข้าใจ หัวเราะดังลั่น คว้าเอาเปียที่ไหล่ขึ้นมาพันรอบนิ้วมือไปมา กล่าวว่า “มาเพราะเรื่องห่วงฟ้าเทียนจวินกระมัง” 

 

 

รองเจ้าตำหนักดีใจกล่าวว่า “ผู้น้อยรู้ว่าผู้อาวุโสทราบนานแล้ว บรรพชนสั่งเสียไว้ เรื่องแรก บอกว่าเขามีสหายคบหากันสนิทสนมมากคนหนึ่ง มีโทษความผิดถูกขังอยู่ในแดนปรภพ จุดประสงค์แห่งการมีอยู่ของตำหนักหลีเจ๋อก็เพื่อช่วยอาวุโสผู้นั้น ตอนนี้ผู้อาวุโสก็ปลอดภัยแล้ว คำสั่งเสียบรรพชนก็บรรลุสมปรารถนาแล้ว เรื่องที่สอง ห่วงฟ้าเทียนจวินที่เขาฝากผู้อาวุโสไว้ไม่ได้มีโอกาสเอาคืนสักที ยามนี้ผู้อาวุโสออกจากคุกแล้ว ก็ขอให้คืนห่วงฟ้าเทียนจวินสู่เจ้าของเดิม จะได้ทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของบรรพชนเสร็จสิ้นสมบูรณ์” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะเสียงดังขึ้น ก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “ของคืนเจ้าของเดิม ของคืนเจ้าของเดิม ของคืนเจ้าของเดิม…หากของคืนเจ้าของเดิม ของนี่ก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า”  

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวว่า “เทพศาสตราเดิมก็ไร้เจ้านายครอบครอง ผู้ใดใช้ได้ ผู้นั้นก็เป็นเจ้านาย เช่น ขอสมุทรเช่อไห่ของผู้อาวุโสหรือเป็นเทพศาสตราอื่น ท่านใช้ได้ คนอื่นใช้ไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นของผู้อาวุโสไป” 

 

 

อู๋จือฉีหันกลับไปมองตาเขา สายตาราวสายฟ้า แม้เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัว รองเจ้าตำหนักกลับผงะถอยหลังไปเพียงเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส?” อู๋จือฉีหลุบตาลงยิ้มกล่าวว่า “เจ้านั่นแม้ตายก็เอาแต่ตำหนิว่าข้าไม่ได้มอบของดีอันอื่นให้เขา ถึงกับให้อนุชนรุ่นหลังต้องมายึดมั่นในวาจาน่าเบื่อหน่ายไร้สาระเช่นนี้ น่าขันจริง!” 

 

 

“ผู้อาวุโสไยกล่าวเช่นนี้” รองเจ้าตำหนักโน้มกายลงกล่าวอีกว่า “ขอสมุทรเช่อไห่เป็นเทพศาสตรา วางไว้ก็เท่านั้น เอาให้ผู้อาวุโสใช้จึงราวพยัคฆ์ติดปีก แต่ห่วงฟ้าเทียนจวินผู้อาวุโสใช้ไม่ถนัดมือ ไยไม่ส่งคืนเจ้าของเดิมเล่า” 

 

 

อู๋จือฉียกนิ้วมือเคาะโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ากำลังรุกไล่ข้า? ข้าใช้ขอสมุทรเช่อไห่ พวกเจ้าอิจฉา? ยอมรับไม่ได้?” 

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผู้อาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว ผู้น้อยมีความกล้าเทียมฟ้าเช่นไร ก็ไม่กล้าโต้ฝีปากกับผู้อาวุโส ห่วงฟ้าเทียนจวินเป็นหนี้ที่ติดค้างกันมาพันปี หรือว่าผู้อาวุโสไม่คิดว่าควรจะแก้ไขให้เร็วหน่อย จะได้สบายใจกันเร็วหน่อยหรือ” 

 

 

อู๋จือฉียิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ไม่คิด ข้าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจ กินอิ่มนอนหลับ แต่ไรมาไม่เคยไม่สบายใจ แต่เจ้าหนุ่มเช่นเจ้า มีแต่วาจากดดัน อะไรผู้อาวุโสผู้น้อย! เสแสร้งจอมปลอม เจตนาชัดเจน! กล่าวตามตรง ห่วงฟ้าขอสมุทรล้วนเป็นข้าขโมยมาจากแดนสวรรค์เองคนเดียว ข้ามอบให้บรรพชนพวกเจ้าก็เพราะน้ำใจ ข้าเอาคืนกลับมา เขาไม่ควรมีวาจากล่าวถึงจะเรียกว่ารู้หน้าที่! ถึงกับยังกล้ามาว่าหนี้ค้างพันปี! ข้าติดหนี้อะไรพวกเจ้า เจ้ากล้าดีก็ลองพูดอีกทีสิ!” 

 

 

รองเจ้าตำหนักวางน้ำชาลงบนโต๊ะเบาๆ เงยหน้าขึ้น แววตาลุกโชนพุ่งออกมาจากใต้หน้ากากตรงปะทะหน้าเขา พลันบรรยากาศในโรงเตี๊ยมราวกับค้างเติ่งขึ้นมา ไม่มีคนพูดอะไร คนตำหนักหลีเจ๋อต่างพากันแอบยกมือกำด้ามกระบี่ไว้มั่น รอคำสั่งอย่างเคร่งเครียด 

 

 

เป็นนาน รองเจ้าตำหนักจึงได้กล่าวว่า “ผู้อาวุโสร้ายกาจเช่นนี้ ไยต้องใช้วาจาร้ายกาจข่มขู่ผู้น้อยเช่นพวกเราด้วย ท่านโมโหขึ้นมา นิ้วมือเดียวก็กดทับตำหนักหลีเจ๋อตายหมดแล้ว ไยต้องทำปากแข็งใจอ่อน” 

 

 

เขาค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปสองสามก้าว อยู่ๆ กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง ก่อนเดินทางจากไป ยังจำที่เจ้าสาบานไว้ได้ไหม” 

 

 

ในห้วงเวลาคับขัน อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันใส่อวี่ซือเฟิ่ง ในที่นั้นทุกคนล้วนตะลึงงัน 

 

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ซีดเผือด กล่าวว่า “ไม่นำห่วงฟ้าเทียนจวินคืน ก็ยอมตาย” 

 

 

รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ไปตาย?” 

 

 

เสวียนจีตกใจกระโดดตัวลอย น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าสิไปตาย!” นางกำลังชักกระบี่ออก กลับถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับเขา ข้าสาบานหนักไปเอง” “เจ้าอยู่ดีๆ จะสาบานเช่นนั้นทำไม?!” ไม่เพียงเสวียนจี แม้แต่จิ้งจอกม่วงก็คำรามดัง “เขาจงใจ! ต้องการบีบให้เจ้าไปตาย!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก อยู่ๆ ถามว่า “อาจารย์ข้าล่ะ เหตุใดเขาไม่มาด้วย” 

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่เป็นเจ้าตำหนัก จะออกจากตำหนักง่ายๆ ได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เหมือนกับเจ้า แต่ไรมาข้าไม่ผิดคำสาบาน” 

 

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งเริ่มซีดเผือดอีกครั้ง ตอนนั้นเขาให้คำสาบานไปเช่นนั้นก็เพราะประชดชีวิต ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ตอนนี้มีสาวงามในอ้อมกอด อาการบาดเจ็บก็หายแล้ว หากให้เขาชักกระบี่ปาดคอ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ลง ห่วงฟ้าเทียนจวินเป็นของอู๋จือฉี เขาเองก็ไม่อาจกล่าวอันใด เสียทีที่เขามีปัญญาเฉียบคม ยามนี้ได้แต่ไร้หนทาง รู้สึกมืดแปดด้าน 

 

 

“อู๋จือฉี!” จิ้งจอกม่วงหันกลับไปผลักเขาเต็มแรง ร้องดังขึ้นว่า “นั่งมันห่วงอะไร เจ้ารีบคืนให้เขาไปก็แล้วกัน! เจ้าเก็บไว้ทำซากอะไร?! เจ้าอยากให้ซือเฟิ่งตายหรือ” 

 

 

อู๋จือฉีถูกนางผลักจนตกจากเก้าอี้ หันกลับไปมองนางอย่างเสียไม่ได้ สุดท้ายกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เอาละๆ! ผู้ใดให้ข้าเป็นคนเห็นแก่น้ำใจสหาย! คืนพวกเจ้าก็แล้วกัน!” 

 

 

กล่าวจบ เขาก็ยื่นมือล้วงเข้าไปในอก ฝ่ามืออยู่ๆ ก็มีแสงวาววับวงหนึ่ง สะท้อนใส่ตาแต่กลับนุ่มนวลงดงามยิ่ง ทุกคนพากันจ้องวงแสงนั้นไม่กะพริบตา มองมันค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าอกเขา เปล่งประกายแสงนับพันหมื่น สุดท้ายเขากำฝ่ามือแบออกต่อหน้าทุกคน 

 

 

ดังคาด เป็นวง ไม่รู้ทำจากอะไร ไม่ใช่ทองไม่ใช่หยก ให้ความรู้สึกเหมือนจะกึ่งโปร่งแสง บนผิวมีแสงนับหมื่นสายละมุนยิ่ง ดูแล้วเหมือนกำไลท่อนกรของสตรี แต่หนากว่าเล็กน้อย ใหญ่กว่าเล็กน้อย นี่คือห่วงฟ้าเทียนจวิน หนึ่งในคู่ห่วงฟ้าขอสมุทร ไม่รู้ทำไม พอเสวียนจีเห็น ในใจราวกับมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าทีหนึ่ง แปลกมาก! ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่ง! 

 

 

ในใจนางเต้นโครมคราม ตนเองก็ไม่รู้สาเหตุ สายตาถึงกับไม่อาจละไปจากมัน มองอย่างไรก็ไม่พอ ราวกับมารครอบงำใจ เสียงดังรอบๆ ดังผิดปกติ นางล้วนไม่รู้ตัว สายตานางไม่อาจละไปได้ ไม่อาจละสายตาไปได้จริงๆ … 

 

 

“ห่วงฟ้าเทียนจวิน…” รองเจ้าตำหนักเปล่งเสียง หลากหลายอารมณ์ถาโถม เพียงแค่เข้าใกล้อีกนิด ก็จะรับรู้ได้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมของมัน! เขาอดเข้าใกล้อีกนิดไม่ได้ ยกมือจะคว้า “ช้าก่อน” อู๋จือฉีชักมือกลับ เงยหน้าเผยรอยยิ้มบางมองเขา “พันปีก่อน บรรพชนพวกเจ้าไร้น้ำใจต่อข้าจริงๆ นะ! มอบคืนให้พวกเจ้าง่ายๆ เช่นนี้ จะให้ข้าทำใจยอมรับได้อย่างไร” 

 

 

รองเจ้าตำหนักได้สติคืนมา กล่าวว่า “เช่นนั้น…ความหมายผู้อาวุโสคือ?” 

 

 

อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “อย่างไรก็ต้องให้ข้าสังหารครุฑสองสามตัวระบายอารมณ์ได้ไหม โดนขังมาพันปี ลับคมไอสังหารออกมาแล้ว วันนี้มือไม้คันอยู่สักหน่อย!” เขาจ้องมองรองเจ้าตำหนักเขม็ง แม้แต่คนปัญญาอ่อนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารหนาแน่นเปล่งออกจากกายเขา มนุษย์ธรรมดาในร้านตกใจกันตัวสั่นอยู่ก่อนแล้ว หมอบอยู่กับพื้นไม่กล้าขยับ  

 

 

รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอๆ อยู่ๆ ก็ตัดใจเหี้ยมเกรียมกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วแต่ผู้อาวุโสพอใจ! นอกจากผู้น้อย ผู้อาวุโสอยากสังหารตัวไหนกี่ตัวก็สังหารไปเลย!” 

 

 

“รองเจ้าตำหนัก?!” บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อคิดไม่ถึงเลยว่าเขาถึงกับกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ พากันตกใจตะลึงงัน รองเจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตำหนักหลีเจ๋อเลี้ยงดูพวกเจ้ามาหลายปี ก็ควรตอบแทนคุณที่เลี้ยงดู! ผู้อาวุโส เชิญตามสบาย!” 

 

 

อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น กล่าวว่า “ดังคาด ครุฑเป็นพวกเลือดเย็นไร้ใจ! บอกกันก่อนว่า ห่วงฟ้าเทียนจวินได้แต่มอบพลังปีศาจที่ยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ! เจ้าเอาไปแล้ว คนเผ่าพันธุ์อื่นคงไม่ได้ผลประโยชน์อะไรไปด้วย! เจ้าตัดสินใจจะครอบครองคนเดียวแน่แล้ว?” 

 

 

รองเจ้าตำหนักประสานมือกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขออาวุโสช่วยให้สมหวัง!” 

 

 

อู๋จือฉียิ้ม สวมห่วงฟ้าเทียนจวินเข้าที่ลำแขน ถลกแขนเสื้อกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี เดี๋ยวข้าสังหารให้สะใจไปเลย!” รองเจ้าตำหนักไม่ขวาง ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เปิดทางให้เขา บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อเห็นท่าไม่ดี พากันหนีตายจ้าละหวั่น โดดหน้าต่างได้ก็โดด ผลักประตูออกไปได้ก็ไป อลหม่านกันไปหมด อวี่ซือเฟิ่งทนไม่ไหว กำลังจะเข้าไปห้าม พลันได้ยินหลิ่วอี้ฮวนที่นอนสลบไปอยู่บนพื้นฮึดขึ้นเสียงหนึ่ง เขารีบก้มลงประคอง กล่าวเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกะพริบเปลือกตาเล็กน้อย พลันยกมืออุดดวงตาสวรรค์ที่เลือดไหลออกมาไม่หยุด ส่งเสียงร้องเจ็บปวดเสียงหนึ่ง ร่างขดงอเป็นวง ท่าทางน่าอนาถมาก อวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีร้อนใจไม่รู้ทำอย่างไรดี จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของดวงตาสวรรค์กับอะไรสักอย่าง?!” 

 

 

วาจาไม่ทันจบ ได้ยินเสียงหลิ่วอี้ฮวนน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “มีคนมาแล้ว!” 

 

 

มีคนมาแล้ว? อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เขากล่าวคำพูดนี้ก่อนหน้านี้ พวกเขายังคิดว่าหมายถึงคนตำหนักหลีเจ๋อ หรือว่ายังมีคนอื่นอีก? 

 

 

พลันได้ยินเสียงศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่หนีออกไปพากันส่งเสียงตกใจ รีบทะลักกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยม ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงนอกประตูอยู่ๆ มีหมอกหนาสีแดงราวสีโลหิตคลุมไว้ชั้นหนึ่งจนทำให้แม้แต่ร้านค้าบนท้องถนนก็มองไม่เห็น ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่วิ่งกลับมาช้าถูกหมอกโลหิตโดนตัว ส่งเสียงร้องดังโหยหวนก่อนจะเน่าเฟะเหลือแต่กระดูก เสียงร้องกับสภาพอนาถนั่นทำเอาหวาดกลัวจนขนหัวลุก  

 

 

หมอกโลหิตหนาโอบรอบทั้งโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ใบหน้าทุกคนล้วนถูกทาบทาด้วยแสงสีแดงแลดูบิดเบี้ยวน่าประหลาด