อู๋จือฉีเหมือนงุนงงเล็กน้อย เขาหยุดไล่ตาม ที่จริงเดิมเขาก็ไม่ได้คิดสังหารจริงๆ ก็แค่นึกสนุกทำให้คนตกใจเล่นเท่านั้น พอเห็นหมอกโลหิตมาหยุดตรงกรอบประตูพอดี ไม่เข้ามาและไม่ถอยกลับ ราวกับมีชีวิต เขาอดผลักหน้าต่างออกไม่ได้ ยกมือไปลองดู พอนิ้วมือตะโดนหมอกโลหิตนั่นดัง จี๊ด ปลายนิ้วเจ็บแสบ ราวกับถูกอะไรบางอย่างกัดกิน
เขาหันกายกลับพลางคิดว่าคืออะไร ยกนิ้วมือแตะที่ปากเลียเบาๆ จิ้งจอกม่วงกอดแขนเขาไว้ เผยสีหน้าหวาดกลัวกระซิบถามว่า “นั่นคือ…อะไร” เขาผลักนางออกเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าไปอยู่กับพวกเสวียนจี อย่ามา อันตราย” กล่าวจบก็เสียงดังกล่าวว่า “พันปีไม่เจอกัน ความสามารถสร้างภาพน่ากลัวผีหลอกเจ้าไม่ลดเลยนี่! ในเมื่อมาแล้วทำไมไม่ปรากฏตัวเลยล่ะ สร้างหมอกโลหิตบ้าบออะไรกัน เจ้าดูคนบริสุทธิ์ตายไปเท่าไรแล้ว”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงคนโมโหกล่าวว่า “หุบปาก!” ตามมาด้วยเงาร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏท่ามกลางหมอกโลหิตหนา เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม สายตาทุกคนพลันไปรวมตัวกันที่คนผู้นั้น เขาสวมชุดเกราะสีแดงสด รูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวเต็มศีรษะส่องประกายมันวาว ท่าทางองอาจเกรียงไกร พอเข้ามาในห้อง ผู้ใดก็ไม่เคยพบเห็นคนผู้นี้ เอาแต่ยกกระบี่ชี้หน้าอู๋จือฉีตวาดว่า “โอ้ว่าวานรชั่ว! กล้าหนีจากคุก! ยังไม่รีบยอมจำนนให้จับกุม?!” บารมียิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่ง แต่ไม่รู้ทำไม ทุกคนแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
คนผู้นั้นเห็นอู๋จือฉีแคะจมูกไม่สนเขา อดยิ่งโมโหไม่ได้ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “โอ้ว่าวานรชั่ว! พูดกับเจ้าอยู่นะ!”
จิ้งจอกม่วงอดขำพรืดออกมาไม่ได้ แต่พอเห็นสีหน้าดุดันคนผู้นั้นก็รีบหุบปาก แอบถอยหลังไปหลายก้าว อู๋จือฉีค้อนขวับกล่าวว่า “ขอร้อง พันปีแล้ว ทำไมเจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรขึ้นเลย ที่นี่ไม่ใช่โรงงิ้ว เจ้าร้องบทเพลงทำนองอะไรล่ะนั่น”
“บังอาจ! เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วสิ!” คนผู้นั้นยังคงคำรามท่วงทำนองงิ้ว ปรากฎแม้แต่อวี่ซือเฟิ่งก็ทนไม่ไหวหลุดขำเบาๆ ออกมา แอบลอบสังเกตคนผู้นั้น แม้ว่ารูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจ แขนขวากลับหายไปข้าง แขนเสื้อว่างเปล่า ในใจเขาพลันสะดุ้ง นึกถึงอู๋จือฉีตอนเมาเคยเล่าว่า เขาสังหารเต่าดำเสวียนอู่ ยังตัดแขนหงส์แดงจูเชวี่ยข้างหนึ่ง ชายผู้อยู่ท่ามกลางเพลิงแดงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หากเป็นขุนพลเทพหงส์แดงจูเชวี่ยแดนสวรรค์?
อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น ประสานมือเลียนแบบท่วงทำนองน้ำเสียงหงส์แดงจูเชวี่ย กล่าวประหลาดๆ ว่า “เฮอะ! โอ้ว่าเทพเซียน! เจ้าอยากจะโดนตัดอีกแขนไหม”
ท่าทางพูดจาคล่องแคล่วน่าขันของเขา ทำเอาบรรดาคนในโรงเตี๊ยมพากันลืมว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย รู้สึกเพียงแค่ภาพตอนนี้ประหลาดและน่าขำ ต่างอดลอบขำกันไม่ได้ หงส์แดงจูเชวี่ยสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว เป็นนานก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าเอาข้ามาล้อเล่น?!” วาจาเย็นเยียบกล่าวได้เป็นปกติมาก ดูท่าต้องตอนโมโหเท่านั้น เขาจึงจะมีท่วงทำนองพูดจาปกติ แปลกคนจริง
อู๋จือฉีหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ แคะขี้มูกต่อ อู้อี้กล่าวว่า “เอาน่า วาจาเหลวไหลพอแล้ว เจ้าลงมาทำไม ราชันสวรรค์ให้เจ้ามาจับข้ากลับไป? หรือว่าจับพวกเทพสงครามกลับไป?”
หงส์แดงจูเชวี่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “มิใช่! ข้าลงมาครั้งนี้ด้วยรับพระบัญชาจากไป๋ตี้ นำห่วงฟ้าเทียนจวินกลับแดนสวรรค์ ไม่อาจให้อยู่ในแดนมนุษย์ต่อไป”
“อ๋อ?” อู๋จือฉีตกใจเล็กน้อย กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เพียงแค่ห่วงฟ้าเทียนจวิน? ไม่พูดถึงขอสมุทรเช่อไห่? ไป๋ตี้ใจกว้างจริงนะ! คิดมอบขอสมุทรเช่อไห่ให้ข้า?”
“บังอาจ!” หงส์แดงจูเชวี่ยคำรามดัง “เจ้ายั่วแหย่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยังมีโทษขโมยอีก เดิมควรนำเจ้ากลับไปลงโทษสถานหนัก! หากไม่ใช่สวรรค์มีเมตตา ราชันสวรรค์เห็นแก่ที่เจ้ากล้าทำกล้ารับ เจ้าคงได้ตายไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้ว! ถึงกับยังกล้าต่อรอง! รีบคืนห่วงฟ้าเทียนจวินมา!”
อู๋จือฉีถอดห่วงฟ้าเทียนจวินออก แกว่งไปแกว่งมาด้วยนิ้วมือ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่จับ! มีความสามารถเจ้าก็มาแย่งไป แย่งไปได้ ข้าคืนขอสมุทรเช่อไห่ให้พวกเจ้าไปด้วยเลย!”
สีหน้าหงส์แดงจูเชวี่ยกระตุกเล็กน้อย ราวกับคิดลงมือ พลันได้ยินปีศาจด้านหลังกล่าวว่า “ช้าก่อน! ในเมื่อเป็นใต้เท้าขุนพลเทพ เช่นนั้นข้าน้อยมีวาจาขอถาม!” เขาหันกลับไปเห็นชายชุดครามสวมหน้ากากอสุรายืนอยู่ตรงนั้น เป็นรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ หงส์แดงจูเชวี่ยไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายปีศาจจากตัวเขา คิดว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงกล่าวว่า “เจ้าถามมา!”
รองเจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ขอบังอาจถามใต้เท้าขุนพลเทพ ตำหนักหลีเจ๋อทำความผิดต่อสวรรค์อันใด ทำไมต้องนำโทษหนักเช่นนี้มาทรมานพวกเรา?!” เขาชี้ไปยังศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่ประตู ตอนนี้กำลังร้องไห้โวยวาย เป็นพวกที่หนีออกไปหน้าประตูเมื่อครู่ คนที่ถูกหมอกโลหิตทำบาดเจ็บ ยังมีอีกสองสามคนครึ่งกายเน่าไปหมดแต่ไม่ตาย เอาแต่ส่งเสียงร้องไห้ น่าอนาถอย่างที่สุด
สีหน้าหงส์แดงจูเชวี่ยดูย่ำแย่ทันที เป็นนานก่อนจะลูบผมที่มันวาวราวน้ำมันของตน โมโหกล่าวว่า “ข้า…ก็คิดไม่ว่าอยู่ๆ พวกเขาจะออกมา…อันนี้ ข้า …” เขาพูดติดๆ ขัดๆ พูดเหตุผลไม่ออก ร้อนใจเหงื่อแตกเต็มหน้า เขาไม่เหมือนกับมกรที่พูดจาไร้เหตุผลได้ เขาไม่อยากสังหารผู้อื่นตามใจตน แค่สร้างหมอกโลหิตนิดหน่อยเพื่อทำให้บรรยากาศดูลึกลับ จะได้วาดอาณาเขตเวทครอบโรงเตี๊ยม ไม่ให้ติดต่อกับภายนอก ผู้ใดจะคิดว่าถึงกับทำคนตายมากมายเพียงนี้
เขานึกเสียใจภายหลังเป็นนาน สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยาว กล่าวว่า “เอาละ ครั้งนี้ข้าผิดเอง ชดเชยให้พวกเจ้า รอกลับถึงแดนสวรรค์ ข้าจะขอรับผิดกับไป๋ตี้ คนที่ตายไปพวกนี้ ชาติหน้าจะมีวาสนา เจ้าวางใจได้”
หงส์แดงจูเชวี่ยนับว่าเป็นเทพเซียนแดนสวรรค์ที่ซื่อตรงที่สุดคนหนึ่ง ไม่เหมือนกับมังกรอิ้งที่ละเอียดอ่อนใส่ใจในทุกเรื่อง ไม่วู่วามใจร้อนเหมือนมกร เรื่องที่เขารับปาก ย่อมต้องจัดการได้อย่างแน่นอน เขาบอกว่าขอรับผิด ก็ย่อมต้องไปขอรับผิด เรื่องนี้อู๋จือฉีเชื่อร้อย ดังนั้นเขาจึงยิ้มกล่าวว่า “ยังซื่อตรงเหมือนเดิม! เห็นเจ้าเช่นนี้ ข้าลงมือกับเจ้าไม่ลงแล้ว! เอาละ ห่วงฟ้าเทียนจวินคืนให้เจ้า!”
เขาโยนห่วงฟ้าเทียนจวินขึ้นสูงไปทางหงส์แดงจูเชวี่ย ไม่คาดว่ามีเงาร่างสีครามวาบมาข้างๆ แย่งห่วงฟ้าเทียนจวินไปกลางทาง หงส์แดงจูเชวี่ยตวาดดัง ชักกระบี่ออกมาจี้ลำคอคนผู้นั้น พอมองก็เห็นว่าเป็นรองเจ้าตำหนักที่ถามเมื่อครู่ เขาก็ตะลึงงัน กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “นี่คือเทพศาสตรา ไม่ใช่ของเล่น! รีบคืนมา!”
รองเจ้าตำหนักกำห่วงฟ้าเทียนจวินไว้แน่น รู้สึกเพียงแค่ฝ่ามือร้อนผ่าว มีพลังไร้ขีดจำกัดกำลังไหลวนไปทั่วมือและเท้า เขาหัวเราะดังกล่าวว่า “ห่วงฟ้าเทียนจวิน! เป็นห่วงฟ้าเทียนจวินจริงๆ!” เขาเห็นหงส์แดงจูเชวี่ยยกมือจะเข้ามาแย่ง ก็ยกเท้าแตะพื้นลอยตัวขึ้นไปราวสามฉื่อ เหินบินไปพลางยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าขุนพลเทพ! เจ้าอย่าลืมพันปีก่อนเคยรับปากพวกครุฑว่าอะไร! หรือว่าตอนนี้พลังข้ายังไม่พอจะขึ้นแดนสวรรค์?!”
ทันทีที่กล่าวจบก็ได้ยินเพียงเสียงเสื้อฉีกขาด เสื้อบนร่างกายเขาฉีกขาดออกจนหมดร่วงลงพื้น เผยให้เห็นไข่มุกสองแถวสีดำใต้วงแขน เขาสวมห่วงฟ้าเทียนจวินเข้าที่มือ พลิกกายหลบกระบี่ยาวหงส์แดงจูเชวี่ยที่ฟันมา สองมือกางออกราวกับกางสองปีก บินทะยานออกไปไกล ตามมาด้วยเสียงดังตึงตัง ไข่มุกดำใต้วงแขนร่วงกราวลงพื้น เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งเห็นภาพนี้แล้วก็อดกุมมือกันและกันแน่นไม่ได้ พวกเขานึกถึงความทรงจำแสนทรมานที่เกาะฝูอวี้เมื่อสองปีก่อน ดีที่ล้วนผ่านไปแล้ว
หงส์แดงจูเชวี่ยไล่ตามไปสองก้าว อยู่ๆ รู้สึกว่าผิดปกติ พลันหยุดฝีเท้า น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่มนุษย์! เป็นปีศาจ!”
รองเจ้าตำหนักทั้งร่างราวห่อหุ้มด้วยแสงสีทองโชติช่วง พลังราวกับคลื่นทะเลถาโถมเข้าสู่ชีพจร ห่วงฟ้าเทียนจวินอยู่ในมือเขา ด้านหลังเขาสยายปีกทองคำออกยาวถึงสองสามจั้ง กระพือบินแผดเสียงร้องไม่หยุด ไม่ว่าศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อหรือพวกมนุษย์น่าสงสารที่ขดตัวอยู่ตามมุมก็ล้วนไม่กล้าขยับ พอถูกปีกนั่นกระพือโดนเข้าทีก็จะมือขาดแขนขาดส่งเสียงร้องโหยหวน รองเจ้าตำหนักแผดเสียงร้องดังอย่างไม่สนใจสิ่งรอบกาย เขาได้จมลึกเข้าสู่ความยินดีปรีดาแห่งพลังมหาศาลไปแล้ว
“ใต้เท้าขุนพลเทพ! อะไรคือปีศาจ อะไรคือมนุษย์ อะไรคือเทพ ไยต้องแบ่งแยกชัดเจน ขอเพียงมีพลังก็พอ ภักดีต่อแดนสวรรค์ ปีศาจแล้วอย่างไร ตำหนักหลีเจ๋อ…ไม่! ข้ารอมาพันปีแล้ว! มา! รีบนำข้าไปแดนสวรรค์! ข้าอยากรับใช้ราชันสวรรค์! ปราบมารปีศาจ!”
หงส์แดงจูเชวี่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “สังหารคนบริสุทธ์ไม่เลือกเช่นเจ้านี้ ล้วนถูกพลังปีศาจชักจูงไปแล้ว จะรับใช้ราชันสวรรค์ได้อย่างไร! ข้าขอพูดอีกรอบ ห่วงฟ้าเทียนจวินเป็นเทพศาสตราแดนสวรรค์! รีบคืนมา! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ยังกล่าวไม่ทันจบ พลันถูกคนตบเข้าเต็มแรง เขาหันขวับกลับไป เห็นอู๋จือฉีสองตาส่องประกายจ้องมองรองเจ้าตำหนักนิ่ง “วานรบังอาจคิดทำอะไร…” ยังตะโกนไม่จบ อู๋จือฉีก็ปิดปากเขาไว้ ท่าทางซุกซนกล่าวเบาๆ ว่า “อย่าเสียงดัง ดูสิ ข้าเจอผู้ใด! หยวนหลาง ที่แท้เจ้ายังไม่ตาย?”