เห็นได้ชัดว่าเทาเท่เดาปฏิกิริยาของหลินจือไว้ก่อนแล้ว และเขาก็พอใจกับมันมาก
เธอมักจะต้องการขีดเส้นกั้นให้อยู่ห่างๆเขาไม่ใช่หรอ ตอนนี้ดีแล้ว บ้านที่จอร์แดนส่งให้เธออยู่ติดกับเขาพอดี
เทาเท่กลั้นยิ้มและพูดต่อ “ฝากตัวด้วยนะครับ”
ฟอเรนากรุ๊ปเป็นผู้ดูแลอสังหาในวิลล่าสารีญา และเขาก็ต้องเก็บไว้ให้ตัวเองหนึ่งหลังอยู่แล้ว
แต่หลังเขาแต่งงานกับหลินจือ เขาก็อยู่แต่ในบ้านที่แต่งงานด้วยกัน เมื่อวานเขาตกใจมากเมื่อได้ยินหลินจือบอกว่าเธออยู่ในอาคารที่ยี่สิบแปด ต่อมาเมื่อเขาถามส่วนกลางและรู้ว่าหลินจือย้ายมาเมื่อบ่ายวาน เขาก็เลยให้บริษัทขนของเขามาตั้งแต่เมื่อคืน
ในที่สุดหลินจือก็ฟื้นคืนสติได้ เธอถามเทาเท่ด้วยความไม่เชื่อ
“อย่ากังวลไป ผมไม่ได้ซื้อเมื่อวานนี้แน่นอน แบบนั้นมันไม่ทันหรอก” เทาเท่กล่าวตามความจริง “ผมเป็นเจ้าของบ้านที่นี่อยู่แล้ว และก็อยู่หลังถัดไป”
ในขณะที่หลินจือหงุดหงิดจนแทบจะหมดสติ เทาเท่ก็พูดช้าๆว่า “ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ ที่ทำให้เราเป็นเพื่อนบ้านกัน”
คำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่าโกรธเธอ ดังนั้นหลินจือจึงปิดประตูทิ้งเขาไว้นอกบ้าน
พรหมลิขิตอะไร เป็นเพียงชะตากรรมที่เลวร้ายชัดๆ!
เดิมทีหลินจือชอบบ้านหลังนี้มาก แต่หลังรู้ว่าเทาเท่เป็นเพื่อนบ้านใหม่ ความสุขของเธอในการย้ายบ้านใหม่ก็หมดไป ถ้าเธอรู้ว่าเป็นแบบนี้ เธอไม่ย้ายดีกว่า
เดิมทีเธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เก่าธรรมดา ขณะที่เทาเท่อาศัยอยู่ในวิลล่าสุดหรูริมทะเล ทั้งสองอยู่ห่างไกลกัน เทาเท่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการขับรถไปหาเธอ
ตอนนี้เขาสามารถพบเธอได้ทันทีที่ออกไป เขาต้องการเจอเธอก็ใช้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ทันทีที่หลินจือกลับบ้าน เธอก็ได้รับข้อความจากเทาเท่ คืนนี้ทานอาหารเย็นด้วยกัน ฉลองที่เราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่เหมือนกัน
เขารดน้ำมันเข้าไปในกองไฟเห็นเธอเป็นตัวตลกชัดๆ หลินจือกัดฟันและพูดกลับไปว่า ขอโทษ ฉันไม่มีเวลา
เธอกำลังคิดที่จะโทรหานานิและควีนให้มาทานอาหารค่ำตอนกลางคืนกับเธอ เพื่อฉลองการย้ายเข้าบ้านใหม่ แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะฉลองอีกต่อไปแล้ว เธอต้องการย้ายออก!
เธอล้มตัวลงนอนอย่างโมโหแฃะอ่อนแรง พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาบ่นเรื่องเธอกลายเป็นเพื่อนบ้านกับเทาเท่ให้นานิฟัง
นานิหัวเราะมาตามสาย “พระเจ้า ทำไมพวกเธอดวงสมพงษ์กันแบบนี้!”
นานิพูดกับเธออย่างจริงจัง “หลินจือ ไม่อย่างนั้นเธอก็คืนดีกับเขามั้ย ดูสิอาจารย์จอร์แดนกับภรรยาหาบ้านให้เธอตั้งนาน สุดท้ายก็ส่งเธอไปเป็นเพื่อนบ้านเทาเท่ ฉันพูดไม่ออก นี่แหละชีวิต!”
หลินจือปวดหัว “อะไรชีวิตไม่ชีวิต เธอกลายเป็นคนเชื่อเรื่องงมงายตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรอกเหรอ เขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
เมื่อนานิพูดเรื่องการคืนดีกับเทาเท่ หลินจือก็สงบลง
ก็แค่กลายเป็นเพื่อนบ้าน มีอะไรให้เศร้า
ขณะที่เสียงของหลินจือเงียบลง เธอก็ได้ยินเสียงจากข้างนอกระเบียง ราวกับว่ามีคนกำลังเรียกเธอ
เธอออกไปและเห็นว่าเป็นเทาเท่เรียกเธอจากระเบียงถัดไป
หลินจือเกือบจะเป็นลมเมื่อเขาเห็นระยะห่างระหว่างพวกเขา
เนื่องจากเป็นทาวน์เฮาส์ ระเบียงของห้องนอนทั้งสองห้องจึงอยู่ใกล้กันมาก โดยมีระยะห่างเพียงสองสามเมตรตรงกลาง
หลินจือยังฝันว่าจะได้นั่งบนระเบียงในตอนกลางคืนเพื่อชมดวงจันทร์และชื่นชมแสงจันทร์ แต่ตอนนี้ความหวังอันงดงามของเธอหายไป ลองนึกภาพว่าเธอนั่งอยู่บนระเบียงและหันศีรษะหัวไปก็เห็นเทาเท่อยู่ข้างๆ จะยังมีอารมณ์ชื่นชมดวงจันทร์อีกมั้ย
หลินจือถามเขาอย่างโกรธเคือง “คุณกำลังทำอะไรอยู่”
เทาเท่วางมือบนราวระเบียง และพูดอย่างเป็นกันเองว่า “เปล่า แค่ลองดูว่าคุณได้ยินเสียงที่ผมเรียกไหม”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “ต่อไปเราไม่จำเป็นต้องคุยกันทางโทรศัพท์หรือวีแชทแล้ว แค่มาที่ระเบียงก็คุยกันได้”
สิ่งที่เทาเท่คิดในใจในขณะนี้คือ ในที่สุดเขาก็สามารถหยุดความกลัวที่จะถูกเธอบล็อกได้แล้ว
“คุณมันบ้า” หลินจือโยนประโยคนั้นใส่เขา แล้วถือโทรศัพท์เดินกลับไป
เธอไม่ได้วางสายนานิ นานิได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูดกัน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ตอนนี้ฉันอยากจะวิ่งไปหาเทาเท่ และตะโกนใส่เขาจริงๆว่า ไอ้สารเลว แกก็มีวันนี้ได้หรอ”
หลินจือ “…”
“อย่าเด็ดขาด” หลินจือเตือนนานิให้มีเหตุผล “ยังไงเขาก็เป็นมหาเศรษฐีในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ อย่าทำให้เขาขุ่นเคือง”
“โอเค” นานิถอนหายใจ “เพื่อเห็นแก่เงินของฉัน ฉันควรใจเย็นๆ”
หลังจากคุยโทรศัพท์กับนานิเสร็จแล้ว หลินจือก็นึกถึงสิ่งที่สำคัญมากได้ เธอจึงรีบโทรไปที่เบอร์ของเทาเท่
เป็นผลให้เทาเท่วางสายแล้วส่งข้อความกลับมาทางวีแชทว่า เราอยู่ใกล้กันมาก มีอะไรก็มาบอกผมที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องโทรมา
หลินจือ “…”
เขาตั้งใจใช่มั้ย
เธอไม่อยากไปบ้านเขาเข้าใจไหม
แต่เรื่องที่หลินจือกำลังจะบอกเขาเป็นเรื่องด่วนมาก ดังนั้นเธอจึงต้องสวมเสื้อโค้ท เปลี่ยนรองเท้า และออกไปที่บ้านข้างๆ
หลังจากเปิดประตู เทาเท่ก็ออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอว หลินจือทั้งโกรธและรำคาญ รีบหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
เขาไร้ยางอายจริงๆ
เทาเท่อธิบายให้ตัวเองอย่างไร้เดียงสา “ผมเพิ่งถอดเสื้อผ้าจะไปอาบน้ำ”
หลินจือเชื่อในสิ่งที่เขาพูดสิแปลก!
เธอมองไปที่อื่น และรีบพูดว่า “เรื่องที่เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ฉันหวังว่าคุณสามารถเก็บเป็นความลับจากอาจารย์จอร์แดนได้”
หลินจือไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเทาเท่จะจงใจเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าจอร์แดนเพื่อยั่วโมโห
แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้จอร์แดน โกรธจอร์แดนมีอคติมากมายกับเทาเท่ ถ้าเขารู้ว่าบ้านที่เขาเลือกเป็นเพื่อนบ้านของเทาเท่ จอร์แดนจะรู้สึกเสียใจอย่างแน่นอน
หลินจือไม่ต้องการให้จอร์แดนมีอารมณ์เชิงลบอย่างนี้ ดังนั้นเธอจึงรีบมาขอให้เทาเท่เก็บเป็นความลับ
หลังจากหลินจือพูดจบ เทาเท่ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “หลินจือนี่เป็นท่าทางที่คุณใช้ขอร้องคนอื่นหรอ”
“ทำไม” หลินจือเงยหน้าขึ้นมองเขา และหันหน้าหนีอีกครั้ง
มีความสูงต่างกันระหว่างพวกเขาสองคน เมื่อหลินจือเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแรงของผู้ชาย เธอจะไม่หันหน้าหนีได้ยังไง
เทาเท่กล่าวว่า “หลบสายตา ไม่มองผมเลย ผมจะรู้สึกถึงความจริงใจของคุณได้ยังไง”
หลินจือโกรธมาก
ถ้าเขาแต่งตัวเรียบร้อย เธอจะไม่มองเขาเหรอ
เขากำลังบังคับให้เธอมองรูปร่างของเขาอย่างชัดเจน!
ด้วยความรำคาญ เธอจึงทิ้งความอาย ก้าวถอยหลังและยกแขนกอดอก ดวงตาของเธอกวาดไปทั่วร่างกายของ เทาเท่ผ่านๆ และแสดงความคิดเห็นว่า “ประธานเทาเท่ รูปร่างไม่เลวเลย”
“มีกล้ามแปดลูกมั้ย ขอนับหน่อย”
เขากวนเป็นคนเดียวรึไง เธอก็เป็น
ดูซิว่าใครจะทนไม่ได้