ขณะที่หลินจือพูด เธอก็เหยียดนิ้วชี้สีซีดของตัวเองออกมาจิ้มกล้ามเนื้อหน้าท้องของทาเท่ ทำให้สีหน้าของเขาแย่ลงทันที เขาทนไม่ไหว

ผู้ชายคนไหนจะทนไหว

ดังนั้นเขาจึงต้องหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “โอเค ผมรับปาก”

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วย ขอบคุณค่ะ บาย” ทันทีที่เขาตกลง หลินจือก็ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็วและวิ่งหนีไป

หลังจากมีประสบการณ์ที่น่าอับอายในโรงแรมเมื่อเช้าวันนั้น หลินจือก็จำได้จนถึงตอนนี้ ในช่วงเวลาที่คลุมเครือและอันตรายอย่างนี้ วิ่งได้ก็วิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่น่าอับอาย

เทาเท่ “…”

ทำไมเธอถึงหัวใสขนาดนี้

ทันทีที่เขาตกลงเธอก็วิ่งหนีไป

เขากัดฟัน ปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ

หลังจากที่หลินจือกลับถึงบ้าน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังผ่านเหตุการณ์นี้ เธอได้รู้ความจริงว่า ถ้ามีคนหน้าด้าน คุณแค่ต้องหน้าด้านมากกว่าเขา แล้วเขาก็จะปฏิบัติตัวอย่างเชื่อฟัง…

หลินจือโทรหาจอร์แดน บอกเขาเรื่องการย้ายเข้ามา และจอร์แดนก็มีความสุขมากที่เธอรับของขวัญของเขา

จอร์แดนถามเธออีกครั้งทางโทรศัพท์ว่า “ซูซีติดต่อหนูมาไหม”

หลินจือส่ายหัว “ไม่”

จอร์แดนพ่นลมหายใจและพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอจะติดต่อหนูมาวันนี้ ฉันให้คนไปกดดันเบลซแล้ว เธอต้องขอโทษหนู!”

ไม่มีข่าวอะไรอีกหลังจากซูซีพูดกับหลินจือในร้านกาแฟครั้งสุดท้าย และไม่มีการเอ่ยขอโทษต่อเธอเลยสักคำ

จอร์แดนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพราะสำหรับเขา แม้ว่าจะตัดความสัมพันธ์ของเขากับหลินจือออกไป ในฐานะผู้นำด้านการเขียนบทวรรณกรรม เขาไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของซูซีในการคัดลอกต้นฉบับของคนอื่นได้

ดังนั้นจอร์แดนจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้ โดยยืนกรานที่จะบังคับให้ซูซีขอโทษ

“ค่ะ” หลินจือก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้ซูซีไปง่ายๆ

ตามที่จอร์แดนกล่าว ซูซีได้ติดต่อหาหลินจือจริงๆ นัดให้หลินจือมาพบกันในตอนบ่าย และหลินจือตกลง

หลังจากนานิรู้เรื่องนี้ เธอก็ลากหลินจือออกไปทันที “ไป ไปเลือกเสื้อผ้ากันเถอะ พี่สาวตระกูลแม็กซิมัสไม่ให้บัตรเธอมาหรอ เราไปเลือกร้านเธอกัน”

นานิกล่าวเสริม “แม้ว่าเธอจะไม่มีการ์ด แต่พรีเซ็นเตอร์อย่างฉันก็มีสิทธิ์มอบชุดให้เธอได้”

“มาแต่งตัวสวยๆกันเถอะ บดขยี้ซูซี มาดูกันว่าเธอจะเยาะเย้ยได้นานแค่ไหน!”

หลินจือถูกนานิพาตัวออกไประหว่างพูดเป็นตุเป็นตะ เนื่องจากมีการนัดหมายในตอนบ่าย ทั้งสองจึงไปรับประทานอาหารกลางวันก่อน แล้วจึงไปเลือกเสื้อผ้า

ตอนเลือกเสื้อผ้านานิก็พูดว่า “ตอนนี้เบลซบริหารบริษัทของตัวเธอเองแล้วไม่ใช่หรอ ช่วงหลังๆเธอแต่งตัวเป็นสาวมั่น วันนี้แต่งแนวนี้ละกัน เหมาะกับเธอดี”

เหตุผลของนานิคือ “ในด้านอาชีพ ตอนนี้เธอสวยกว่าเธอมาก”

ซูซีเคยใช้สิ่งที่เทาเท่จัดหามาให้เพื่อเป็นนักแสดงแถวหน้า แต่ไม่นานมานี้ หลังจากที่เธอทำตัวเฟ้อฝันว่าจะได้แต่งงานกับเทาเท่ ภาพลักษณ์ของเธอก็ลดลง

ถ้าไม่ใช่เพราะเบลซมีเงินเปิดบริษัทให้ซูซี ซูซีจะไม่มีจุดยืนในวงการบันเทิงอีก

และตอนนี้หลินจือถือสิทธิ์ในการเขียนบทคนเดียวทั้งสองเรื่อง และอนาคตยังไปได้สวย

“ฉันใส่สไตล์ที่ฉันชอบดีกว่า” หลินจือเลิกสวมชุดสูทโดดเด่นที่นานิมอบให้เธอ และพุ่งความสนใจไปที่เสื้อโค้ทกันลมบางๆแทน

ตอนที่เธอคบกันเทาเท่ เป็นเพราะเธอเอาแต่เลียนแบบซูซี จนสูญเสียความเป็นตัวเองไป

ในเวลานั้นซูซีอยู่บนเส้นทางที่สง่างาม สวมชุดสไตล์คนดัง และรองเท้าส้นสูงปรี๊ดทุกวัน

แต่จริงๆแล้วหลินจือไม่ชอบสไตล์นั้นเลย เธอชอบความสบายและความเรียบง่าย รองเท้าผ้าใบกับกางเกงยีนส์ เสื้อหลวมๆ เธอชอบใส่อะไรสบายๆ

หลินจือยิ้มและพูดกับพนักงาน “ฉันจะลองเสื้อโค้ทกันลมนี้ค่ะ”

เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ในตอนบ่ายค่อนข้างเย็น แดดไม่แรงนัก จึงสามารถสวมเสื้อกันลมได้

หลังจากที่หลินจือลองชุดออกมา นานิต้องยอมรับว่าสีที่อ่อนโทนอุ่นนั้นเหมาะกับหลินจือจริงๆ

เธอยังยืนอยู่ตรงนั้น และออกมาด้วยอารมณ์ที่สดชื่นและมีศิลปะ

ในท้ายที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากนานิและพนักงาน หลินจือจึงจับคู่ชุดกับกางเกงทรงดินสอสีดำทรงเรียว และรองเท้าบูทสั้น

เมื่อหลินจือปรากฏตัวในร้านกาแฟที่นัดกับซูซี ซูซีก็ตกตะลึงทันที ตาเธอสั่นเหมือนแผ่นดินไหว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหลินจือกำลังถือหนังสือสองเล่มที่เธอเพิ่งซื้อมาจากร้านหนังสือระหว่างทาง มีร้านหนังสือสุดโรแมนติกอยู่ถัดจากร้านกาแฟ เธอเข้าไปซื้อหนังสือเล่มโปรดสองเล่มสำหรับตัวเอง

ซูซีมองไปที่หลินจือที่กำลังเดินเข้าหาเธอด้วยความประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลินจือหน้าใหม่ในละครไอดอล ด้วยรูปลักษณ์ของหลินจือ เธอสามารถแสดงละครไอดอลได้ด้วยตัวเอง

ตอนเธอยังเป็นนักแสดง เธอต้องการเล่นบทนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ถูกผู้กำกับปฏิเสธ

ผู้กำกับกล่าวว่าเธอมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินไปสำหรับบทบาทดังกล่าว ไม่เหมาะกับบทนี้ หรืออีกความหมายก็คือเธอไม่สดใหม่

ตอนนี้เมื่อเห็นหลินจือปรากฏขึ้นต่อหน้า ไม่ต้องบอกเลยว่าเธอกัดฟันมากแค่ไหน

หลังจากที่หลินจือนั่งลง เธอก็เยาะเย้ยทันที “โย่ หลินจือ เธอซื้อของปลอมจากแผงลอยหรอ”

หลินจือพูด “ฉันเป็นผู้สร้างต้นฉบับ ฉันสนับสนุนเฉพาะต้นฉบับเท่านั้น และจะไม่ซื้อของลอกเลียนแบบ”

คำพูดของหลินจือไม่เพียงแต่ชี้แจงว่าเธอซื้อของแท้จากแบรนด์ดีไซเนอร์นี้ แต่ยังเยาะเย้ยซูซีในข้อหาขโมยและลอกเลียนแบบต้นฉบับของเธอ ทำให้สีหน้าของซูซีแดงขึ้นทันที

หลินจือนี่น่ารังเกียจมากจริงๆ เธอปากเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ตอนนั้นเธอน่าจะแสร้งทำเป็นมีมารยาท และมีเหตุผลต่อหน้าเทาเท่แน่!

ซูซีโกรธมากจนกัดฟัน แต่หลินจือก็เตือนเธอว่า “คุณซูซี ถ้าฉันไม่ได้เดาผิด วันนี้ที่คุณนัดฉันมา เพราะจะขอโทษใช่มั้ย”

คำพูดของหลินจือซึมเข้าไปในหัวใจของซูซี เธอกำมือแน่นแล้วสงบความโกรธลง เธอไม่ลืมสิ่งที่พ่อของเธอเบลซ พูดกับเธอเก่อนออกมา

เธอไม่เต็มใจมาขอโทษหลินจือ เธออยากจะต่อสู้กับหลินจือให้รู้ดำรู้แดง แทนที่จะประนีประนอมและก้มหัวให้หลินจือ

หากเป้าหมายของการขอโทษของเธอคือคนอื่น เธอคงไม่ปฏิเสธอย่างแรงกล้า แต่คนๆนั้นคือหลินจือ หลินจือซึ่งครั้งหนึ่งเคยพ่ายแพ้ให้แก่เธอ และหลินจือที่ขโมยผู้ชายที่เธอต้องการจะแต่งงานด้วยไป——

เธอไม่ต้องการขอโทษ ไม่อยากสักคำ

แต่เบลซกล่าวว่า “คุณต้องทนต่อความยากลำบากเพื่อที่จะเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น ตอนนี้หลินจือก็พึ่งพาอำนาจของจอร์แดนเท่านั้น แต่ทำไมชายสูงอายุอย่างจอร์แดนถึงปกป้องหลินจืออย่างนี้”