คำพูดแผ่วเบาของซุนฮูหยินกลับทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นสีหน้าซีดเผือด องค์หญิงหลิงอวิ๋นนิสัยหยิ่งยโสทว่ามิได้โง่เขลา ย่อมเข้าใจว่ายามนี้ราชวงศ์แห่งซีหลิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว องค์หญิงอย่างนางไม่เพียงแต่จะต้องก้มหัวให้พระชายาติ้งอ๋อง กับแม่หม้ายคนนี้ที่เพิ่งจะสวามิภักดิ์กับตำหนักติ้งอ๋อง นางก็ยังต้องยอมอ่อนให้หลายส่วน จึงทำได้เพียงส่งเสียงหึทีหนึ่ง แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้อีกด้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ผู้คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตกใจกับการอดทนอดกลั้นขององค์หญิงหลิงอวิ๋น หลังจากพวกนางหายตะลึงกันแล้วก็พลันเข้าใจขึ้นมาหลายส่วน ยามนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว คนหยิ่งผยองอย่างองค์หญิงหลิงอวิ๋นเมื่ออยู่ต่อหน้าพระชายาติ้งอ๋องก็ยังมิกล้ากำเริบใส่ ขณะเดียวกันในใจพวกนางก็ยิ่งมีความแน่วแน่มากขึ้นในการตัดสินใจที่จะเข้าไปพึ่งใบบุญตำหนักติ้งอ๋อง
รอจนองค์หญิงหลิงอวิ๋นลงนั่งเรียบร้อยแล้ว ไป๋ฮูหยินจึงได้พาไป๋ชิงหนิงมาถวายคำนับแก่เยี่ยหลี “หม่อมฉันไป๋ซื่อพาชิงหนิงบุตรสาวมาถวายพระพรพระชายาเพคะ”
ไป๋ชิงหนิงที่อยู่ด้านหลังไป๋ฮูหยินยอบกายถวายคำนับ “ข้าน้อยชิงหนิงถวายพระพรพระชายา” การคำนับเช่นนี้เป็นประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมาตามแบบฉบับต้าฉู่ ไม่เลวเลยทีเดียว มีความแตกต่างกับสตรีชั้นสูงของซีหลิงที่มาคารวะอยู่บ้าง เยี่ยหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วอมยิ้มกล่าวว่า “ไป๋ฮูหยิน คุณหนูไป๋ มิต้องมากพิธี ข้าเป็นแขกผู้มาเยือน ทั้งสองตามสบายเถิด”
ไป๋ฮูหยินยิ้มกล่าว “มิบังอาจ ยามนี้ได้มาเข้าเฝ้าพระชายาที่สง่างามเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของหม่อมฉันจริงๆ เพคะ”
ขณะที่ไป๋ฮูหยินกล่าวทักทายเยี่ยหลี ไป๋ชิงหนิงก็อาศัยจังหวะนี้มองประเมินสตรีในอาภรณ์ครามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแขกกิตติมศักดิ์ อายุอานามดูเหมือนจะมากกว่านางไม่เท่าไร ทว่าใบหน้างดงามละเอียดนี้กลับมีความเย็นชาประดับอยู่ส่วนหนึ่งแต่ก็สว่างไสวน่าเกรงขามจนทำคนอื่นมิอาจย้ายละสายตาออกไปได้ ซึ่งส่วนนี้ช่วยเสริมให้ใบหน้างดงามยิ่งดุสุภาพเยือกเย็นเป็นสง่ามากขึ้น ทำเอาคนมองรู้สึกอับอายที่ไม่อาจเทียบเคียง เยี่ยหลีเป็นคนระดับใด แม้จะพูดคุยกับผู้อื่นอยู่แต่ไหนเลยจะสัมผัสไม่ได้ถึงสายตาของไป๋ชิงหนิงที่มองมายังตัวนาง จึงแย้มยิ้มขึ้น
“คุณหนูไป๋มีเรื่องอะไรอยากจะพูดหรือไม่” เยี่ยหลียิ้มบางๆ กล่าว
ไป๋ชิงหนิงตกใจเล็กน้อย รีบลุกขึ้นกล่าว “ชิงหนิงมิบังอาจ เพียงแต่ได้ยินมาว่าพระชายาควบม้าในสนามรบ ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามระบือไกล ชิงหนิงนึกเลื่อมใส ดังนั้นจึง…ชิงหนิงไร้มารยาท ขอพระชายาโปรดอภัยด้วยเพคะ” เยี่ยหลีโบกมือยิ้มกล่าวว่า “มิเป็นไร ชื่อเสียงน่าเกรงขามระบือไกลอะไรกัน เป็นเพียงแค่คนนอกกล่าวเสริมเติมแต่งกันไปเท่านั้น”
ไป๋ชิงหนิงดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาและอยากจะเป็นเช่นนั้นบ้าง นางยิ้มกล่าว “พระชายาถ่อมตัวแล้ว หากสง่างามและมีอิสระได้อย่างพระชายา ก็คุ้มค่าที่ได้เกิดมาแล้วเพคะ”
ซุนฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างกายเยี่ยหลีได้ยินเข้าก็เลิกคิ้วแล้วดึงลูกสาวของตนมาไว้ในอก มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มขำขัน สกุลไป๋ทุกรุ่นอบรมสั่งสอนบุตรสาวเพื่อเป็นชายาและสนม แต่ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาจะสั่งสอนบุตรสาวสายหลักให้ออกมาสง่างามและอยากมีอิสระเช่นนี้ แต่เมื่อเหลือบมองไป๋ฮูหยินแล้วไม่เห็นว่านางจะมีท่าทีไม่พอใจอะไร รอยขำขันในแววตาของซุนฮูหยินจึงกลับยิ่งลึกซึ้งขึ้น
เยี่ยหลีก้มหน้าจิบชา รอยยิ้มบนใบหน้ากลับจืดจางลงเล็กน้อย หากยามปกติสตรีแบบนี้คงทำนางเอ็นดูได้อยู่บ้าง แต่หลายวันมานี้อารมณ์นางนั้นดูเหมือนว่าแค่ความคิดเห็นของผู้อื่นก็ส่งผลกระทบแก่อารมณ์นางได้แล้ว สำหรับสตรีร่าเริงงามสง่าบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่อยู่ตรงหน้านางนี้ เยี่ยหลีกลับไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้วนางรู้ว่าในบรรดาสตรีที่กำลังนั่งอยู่ ณ ที่นี้ต้องการสิ่งใด เพียงแต่นางไม่ใส่ใจก็เท่านั้น ในเมื่อนางกับม่อซิวเหยาอยู่ในฐานะตำแหน่งเช่นนี้ ก็ย่อมยากที่จะเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ไปได้ คนเหล่านี้ล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น ถึงนางจะไม่ชอบที่พวกนางทำเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืน แต่กลับไม่รู้สึกว่าโทษของพวกนางนั้นร้ายแรงอะไร เพียงแต่เสียดาย…หากนางและม่อซิวเหยาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกันแล้ว นางก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นพระชายาที่ดีแห่งยุคซึ่งเป็นพระชายาแต่เพียงในนาม แต่นางและม่อซิวเหยาผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากมาย จึงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเหลือคณาต่อกัน เช่นนั้นก็คงได้แต่ขอโทษสตรีเหล่านี้แล้ว เพราะม่อซิวเหยาเป็นของนางผู้เดียว!
บรรยากาศในศาลาริมน้ำหนาวยะเยือกเล็กน้อย องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันส่งเสียงหยันขึ้นจมูกทีหนึ่ง นางเกิดที่ตำหนักใน มีอำนาจกว่าสามัญชนทั่วไปถึงสามส่วน สกุลไป๋มีเจตนาเช่นใด ไฉนเลยนางจะไม่รู้ เพียงแต่เสียดาย เยี่ยหลีมิใช่คนที่จะยอมให้ใครมาควบคุมได้ง่ายๆ องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่พระชนมายุใกล้จะสามสิบชันษา ยามนี้ได้อภิเษกออกเรือนไปนานแล้ว ความลุ่มหลงที่มีในปีนั้นถูกกาลเวลาทำลายไปจนไม่รู้ว่าเหลืออยู่แค่ไหนแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่มากหน่อยกลับมิใช่ความลุ่มหลงที่มีต่อม่อซิวเหยา แต่เป็นความไม่พอใจที่มีต่อเยี่ยหลี ดังนั้นนางจึงยิ่งรู้แจ้งว่าเยี่ยหลีเป็นคนเช่นไร เยี่ยหลีปีนั้นที่แต่งงานเพิ่งจะอายุเพียงสิบสี่สิบห้า แต่กล้าทำกับองค์หญิงแห่งซีหลิงอย่างนางอย่างไร้ความปรานี ยามนี้พระชายาติ้งอ๋องที่เติบโตขึ้น ซ้ำยังผ่านการเคี่ยวกรำมามากมาย มีหรือจะใจกว้างแก่สตรีอื่นที่โลภอยากจะได้ของของนาง ลูกคิดของสกุลไป๋คงดีดไม่ดังเสียแล้ว ซีหลิงยังไม่ถูกทำลาย แต่คนพวกนี้ก็เลือกเข้าเป็นฝ่ายกับตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว สมควรตายกันให้หมด!
ครู่ต่อมาจึงได้ยินเยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้จะมีอะไรกัน ข้าคิดมาตลอดว่าว่าบุตรสาวถูกขังให้อยู่แต่ในห้องหับไม่ใช่เรื่องดีอะไร หากคุณหนูไป๋มีความประสงค์ ข้าจะช่วยพูดกับผู้นำตระกูลไป๋ให้ปล่อยคุณหนูออกมาหาประสบการณ์ภายนอกบ้างก็คงไม่เลวกระมัง”
“หาประสบการณ์หรือ” ไป๋ชิงหนิงตกใจ ไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้างว่าเหตุใดจึงมากล่าวถึงเรื่องนี้ได้ มิหนำซ้ำนางยังไม่มีความคิดอยากออกมาหาประสบการณ์อะไรในโลกภายนอก นางไม่เหมือนกับพระชายาติ้งอ๋อง ถึงแม้นางจะเป็นสตรีแห่งซีหลิง แต่ร่างกายนางกลับอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ไหนเลยจะรับความลำบากเหล่านั้นได้
เยี่ยหลียยิ้มกล่าว “มิใช่เช่นนั้นหรือ ข้าจำได้ว่า…ข้าออกจากบ้านครั้งแรกก็ไปที่หนานเจียง ดูเหมือนจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเช่นกัน อายุพอๆ กับคุณหนูไป๋ในยามนี้พอดี”
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ชิงหนิงเริ่มจะประดับไว้ไม่อยู่แล้ว นางมองไปยังไป๋ฮูหยินด้วยความกังวล กลัวว่าเยี่ยหลีจะให้คนพานางไปหนานเจียงจริงๆ หนานเจียงเป็นสถานที่เช่นไรนางเพียงอ่านเอาจากหนังสือเท่านั้น ที่ทุรกันดารเช่นนั้นนางจะไปได้อย่างไร ซุนฮูหยินที่กำลังดูละครฉากนี้อยู่ข้างๆ ยิ้มตาหยีกล่าวขึ้น “ที่พระชายากล่าวมานั้นถูกต้องที่สุดเลยเพคะ สิ่งที่หม่อมฉันเสียดายที่สุดก็คือชาตินี้ไม่เคยได้ออกจากเมืองหลวงซีหลิงแห่งนี้เลยสักครั้ง ภายหน้าหากเสี่ยวฟู่โตอีกหน่อย ข้าจะไม่กักขังนางไว้เช่นนี้แน่”
คนอื่นๆ ก็รีบทยอยกันสรรเสริญเยินยอความคิดอันสูงส่งของพระชายาขึ้นมาทันที แต่ในใจกลับคิดว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ แม้ชาวซีหลิงอย่างพวกนางจะไม่ได้ควบคุมความประพฤติของบุตรสาวอย่างเข้มงวดเช่นต้าฉู่ แต่สตรีเหล่านี้ต่างก็เติบโตมาโดยถูกเอาอกเอาใจกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวตัวเองออกไปตกทุกข์ได้ยากอยู่ข้างนอกหรอก แต่กระนั้นก็มีคนคิดอยู่เงียบๆ ว่าพระชายาติ้งอ๋องอายุเพียงสิบห้าสิบหกก็ไปถึงหนานเจียงได้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ จึงพลอยหยุดความคิดที่จะส่งบุตรสาวของตนเข้าตำหนักติ้งอ๋องกันไปไม่น้อย
แขกเหรื่อนั่งสนทนาเป็นเพื่อนเยี่ยหลีกันพักใหญ่ จิบชาดื่มน้ำแล้วก็ทยอยกันออกไปเดินชมดอกไม้ในสวน ซึ่งเยี่ยหลีย่อมมิอาจเลี่ยงซุนฮูหยินและไป๋ฮูหยิอย่างไร้มารยาทได้ นางมองดอกไม้สีสันมากมายหลากหลายประเภททั้งสองข้างทางแล้วก็อดจะยิ้มออกมามิได้ กล่าวว่า “ฮูหยินช่างมีความคิดละเอียดอ่อนนัก มิน่าเล่าสกุลซุนที่อยู่ในความดูแลของฮูหยินจึงรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ”
ซุนฮูหยินจูงซุนเสี่ยวฟู่พลางยิ้มกล่าว “ซีหลิงอยู่ ณ แดนตะวันตก สภาพอากาศเหน็บหนาว หากจะให้เทียบกับต้าฉู่แล้วก็ยังสู้เมืองหลีมิได้ หนึ่งปีมีสี่ฤดูได้ชมดอกไม้อยู่ไม่เท่าไร ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะจนใจเท่านั้นเพคะ ขายหน้าพระชายาแล้ว” เยี่ยหลียิ้มบาง ไป๋ชิงหนิงที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มกล่าวว่า “พระชายาชื่นชอบดอกไม้หรือเพคะ ในจวนของข้ามีดอกไม้ที่นำเข้ามาจากต้าฉู่และแดนตะวันตกอยู่ไม่น้อย พรุ่งนี้ข้านำมามอบให้ดีหรือไม่” เยี่ยหลีหันไปมองไป๋ชิงหนิงที่มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้าแล้วส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “แย่งของรักของผู้อื่นมามิใช่สิ่งที่ผู้ดีพึงกระทำ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามิใช่คนสุนทรีอะไร ให้ดอกไม้พันธุ์แปลกอย่างไรก็เสียของเปล่าๆ”