ไป๋ชิงหนิงปิดปากหัวเราะกล่าวว่า “พระชายาเป็นหลานสาวสายหลักของท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น หากพระชายาไม่ใช่คนสุนทรีแล้วพวกเราก็คงเป็นเพียงคนธรรมดาอย่างมาก”
ซุนฮุหยินมองไป๋ชิงหนิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วกล่าวกับไป๋ฮูหยินว่า “ฮูหยิน ลูกสาวท่านพูดเก่งเสียจริง ประโยคนี้ของนางทำข้าชื่นชอบเสียจนหัวหมุนไปหมด” รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋ฮูหยินแข็งทื่อ กล่าวเสียงเรียบว่า “ซุนฮูหยินล้อเล่นแล้ว ลูกสาวคนนี้ไหนเลยจะวาจาคมคายได้เท่าซุนฮูหยิน”
ซุนฮูหยินหัวเราะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ที่ผ่านมามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสตรีตระกูลไป๋แต่ละคนวาจาคมคายเพียงใด ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะได้รับน้ำพระทัยจากองค์ฮ่องเต้ให้เป็นพระสนมพระชายากันทุกรุ่นทุกสมัยเช่นนี้”
ไป๋ฮูหยินสีหน้ามืดครึ้ม มองซุนฮูหยินอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ซุนฮูหยินกลับไม่ใส่ใจและยังคงจูงลูกสาวเดินพูดคุยกับเยี่ยหลีอย่างยิ้มแย้มต่อไป
“พระชายา คุณชายสี่ขอเข้าพบขอรับ” องครักษ์ด้านหลังเข้ามารายงาน
“พี่สี่หรือ” เยี่ยหลีตกใจเล็กน้อย งานเลี้ยงวันนี้แขกที่เชิญมาล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น บุรุษไม่อนุญาตให้เข้ามาด้านในได้ ขนาดม่อซิวเหยายังมาส่งนางแค่หน้าประตูเสร็จแล้วก็ไป แต่เยี่ยหลีทราบดีหากไม่ใช่ว่ามีเรื่องสำคัญ สวีชิงปั๋วก็คงไม่มาหานางในเวลาเช่นนี้แน่ “ซุนฮูหยินสะดวกหรือไม่”
ซุนฮูหยินครุ่นคิดก่อนจะยิ้มตอบว่า “คุณชายสี่โด่งดังยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรไม่สะดวกเพคะ เช่นนั้นพระชายาไปรอคุณชายสี่ที่ศาลารับลมด้านหน้าดีหรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้าตอบ “ก็ดี”
ไม่นานนัก สวีชิงปั๋วก็ถูกองครักษ์พาเข้ามาอย่างรีบร้อน “หลีเอ๋อร์”
“พี่สี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” เยี่ยหลีถามด้วยความกังวล
สวีชิงปั๋วมองสตรีสองสามคนข้างๆ เมื่อตรองดูแล้วว่าไม่ใช่ความลับอะไรจึงกล่าวออกมา “แม่ข้ามาที่ซีหลิงแล้ว!”
“ว่าอย่างไรนะ” เยี่ยหลีตกใจ ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ายามนี้เกิดอะไรขึ้น ครู่ต่อมาจึงได้ตั้งสติถามต่อว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่…เหตุใดท่านป้าสะใภ้ใหญ่จึงมาซีหลิงได้เล่า” สวีชิงปั๋วยิ้มขมขื่น กล่าวเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าท่านแม่ข้าไปรู้มาจากไหนว่าข้าอยู่ที่ซีหลิง ข้าพึ่งจะได้รับจดหมายจากพี่ใหญ่ว่าครึ่งเดือนก่อนท่านแม่เดินทางออกจากเมืองหลี คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว”
เยี่ยหลีตั้งสติแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่และท่านลุงต่างรู้เรื่องนี้ ความปลอดภัยของท่านป้าสะใภ้ใหญ่คงไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะให้คนไปรับท่านป้าสะใภ้เอง พี่สี่ไม่ต้องกังวลไป” สวีชิงปั๋วยิ้มอย่างจำใจ เห็นสีหน้าเยี่ยหลีฉายแววสงสัยจึงบอกไปตรงๆ ว่า “ข้ายังต้องอยู่ที่ซีหลิงอีกนาน ถึงเวลานั้นเกรงว่าท่านแม่…อย่างไรก็ฝากหลีเอ๋อร์เกลี้ยกล่อมท่านแม่แทนข้าด้วย”
เยี่ยหลีพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่อนหน้านี้นางกับม่อซิวเหยาเคยคุยกันว่าหลังจากพวกนางออกจากซีหลิงไปแล้วใครจะมารับผิดชอบหน้าที่นี้แทน ดูๆ แล้วม่อซิวเหยาคงจะเลือกได้แล้ว อีกทั้งสวีชิงปั๋วเคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองมาก่อน ซ้ำยังปกครองดูแลได้ไม่เลว หลายปีมานี้ที่ซีเป่ยเขาก็ดูแลดินแดนทางเหนือที่ทุรกันดารได้อย่างดียิ่ง เหมาะสมแล้วที่จะให้เขามาปกครอง นับได้ว่าเยี่ยหลีเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านป้าสะใภ้ใหญ่จึงได้รีบร้อนเดินทางมาโดยไม่สนอันตรายเช่นนี้ พี่สี่ต้องอยู่ที่ซีหลิงต่ออีกนานกว่าจัดการเรื่องให้แล้วเสร็จ ไม่แน่อาจใช้เวลาถึงสามปีห้าปี ยามนี้พี่สี่ก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว หากสามปีห้าปีนี้ไม่ได้กลับเมืองหลีคงได้ทำท่านป้าสะใภ้นั่งไม่ติดแน่
นางแอบปิดปากหัวเราะครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “พี่สี่ ข้าทราบแล้ว ข้าจะพูดกับท่านป้าให้เอง”
สวีชิงปั๋วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณหลีเอ๋อร์มาก” สวีชิงปั๋วพูดธุระเสร็จก็เบาใจลงไม่น้อย พยักหน้ากล่าวกับซุนฮูหยินว่า “ชิงปั๋วรบกวนแล้ว ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วย” ซุนฮูหยินยิ้มกล่าว “คุณชายสี่กล่าวเกินไปแล้ว สวีฮูหยินเดินทางไกลมาเป็นพันลี้ หากมีเรื่องใดอยากให้ข้าน้อยช่วย คุณชายสี่และพระชายาเชิญกล่าวมาได้เลยนะเพคะ”
สวีชิงปั๋วครุ่นคิด เขามีเรื่องให้ซุนฮูหยินช่วยจริงๆ จึงยิ้มกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านแม่อาจจะต้องอยู่ที่ซีหลิงอีกหลายวัน ให้อยู่ที่หอพักม้าคงจะไม่ค่อยสะดวก…”
ซุนฮูหยินตรึกตรองแล้วยิ้มกล่าว “ดูแล้วคุณชายสี่คงต้องอยู่ที่ซีหลิงอีกหลายวัน ให้คุณหนูแห่งซีหลิงเหล่านี้…ฮิๆ หลายวันมานี้ในเมืองมีที่พักที่ประกาศขายอยู่ไม่น้อย ข้าน้อยจะจัดการเป็นธุระให้คุณชายเอง” แม้จะมีตระกูลร่ำรวยอีกมากมายที่เลือกเข้าฝ่ายพระชายา แต่ก็มีผู้คนมากมายเช่นกันที่ติดตามลงใต้ไปกับฮ่องเต้ซีหลิง ในเมืองหลวงนี้จึงมีที่พักหลายหลังที่ต้องการจะขาย
สวีชิงปั๋วประสานมือยิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็ลำบากฮูหยินแล้ว”
เยี่ยหลีนั่งอยู่อีกพักหนึ่ง ก็อาศัยข้ออ้างเรื่องที่สวีฮูหยินจะมาลุกขึ้นบอกลาและกลับออกไปพร้อมกับสวีชิงปั๋ว เดิมทีด้วยตำแหน่งฐานะของนาง มาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ไม่ต้องอยู่จนจบก็ได้ ออกมาให้พวกสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ได้เห็นหน้า พูดคุยสองสามประโยคก็นับว่าได้ทำตามมารยาทแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางตากลมมาสักพักก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ้าง ซุนฮูหยินจึงไม่กล้ารั้งอยู่นาน ลุกขึ้นตามไปส่งพวกนางกลับ พอพวกนางไปส่งถึงหน้าประตูเยี่ยหลีจึงหันมากล่าวว่า “ฮูหยินไม่ต้องตามไปส่งแล้ว ส่งเพียงเท่านี้เถิด”
ซุนฮูหยินก็ไม่เกรงใจ พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นพระชายากลับดีๆ นะเพคะ”
“ขอตัว” เยี่ยหลีพยักหน้าหันกลับเดินไปยังรถม้า
“พระชายาระวัง!” เงาสีเงินแวววาวสายหนึ่งเฉียดผ่านท่ามกลางแสงตะวันอันเจิดจ้า เยี่ยหลีหลบโดยสัญชาตญาณ ธนูก้านหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังนางปักเข้าที่รถม้าข้างๆ เสียงดังฟุ่บ องครักษ์ที่ตามมารอบๆ พลันตีวงคุ้มกันเยี่ยหลีและสวีชิงปั๋วให้อยู่ตรงกลาง ชายฉกรรจ์ที่แต่งกายต่างกัน แต่ล้วนปิดบังใบหน้าเหมือนกันกลุ่มหนึ่งกระโดดลงมาจากทั่วทุกมุมบ้าน มุ่งตรงไปที่เยี่ยหลี
องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องเข้าไปรับหน้าอย่างไม่เกรงใจ ไม่นานทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย เยี่ยหลีถูกคุ้มกันไว้ตรงกลาง นางมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง คนเหล่านี้แม้สีของเสื้อผ้าจะต่างกัน แต่ฝีมือล้วนไม่เลว เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านการฝึกมาแล้วทั้งสิ้น แต่ในยามนี้นางกลับนึกไม่ออกว่าในเมืองหลวงแห่งซีหลิงนี้นอกจากฮ่องเต้ซีหลิงแล้วยังจะมีผู้ใดอีกที่มีทหารยอดฝีมือซ้ำยังต้องการลอบสังหารนางเช่นนี้
“กรี๊ด!” คนพวกนี้มากันโดยไม่ทันตั้งตัว เหล่าบรรดาสตรีชั้นสูงที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเข้าไปไม่ทันจึงพลอยโดนลูกหลงไปด้วย แม้จะไม่ได้พุ่งไปทางพวกนาง แต่ภายใต้การต่อสู้ที่วุ่นวายนี้ก็ยากที่จะเลี่ยงอันตรายได้ สตรีนางหนึ่งถูกแทงด้วยกระบี่เสียชีวิตล้มลงตรงหน้าซุนฮูหยินพอดี สีหน้าฮูหยินซีดเผือดด้วยความตกใจแต่ก็ยังคงอุ้มลูกสาวที่กรีดร้องด้วยความเสียขวัญเอาไว้แน่นพร้อมถอยไปยังมุมหนึ่ง พลางตะโกนเสียงดังว่า “ยังไม่รีบไปจับมือสังหารอีก!”
งานเลี้ยงนี้เป็นงานเลี้ยงที่รวบรวมเหล่าสตรีสูงศักดิ์และมีอำนาจในเมืองไว้ ย่อมต้องมีองครักษ์คอยปกป้องคุ้มกันอยู่แล้ว เพียงแต่องครักษ์เหล่านี้กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักฆ่าพวกนี้เลย แค่เพียงชักดาบก็บาดเจ็บล้มตายกันสาหัสแล้ว
องครักษ์นายหนึ่งถูกฟันเข้าที่ศีรษะจนกระเด็นไปกระแทกกับหน้าประตูแล้วล้มลงข้างๆ ไป๋ชิงหนิงพอดี แม้ไป๋ชิงหนิงจะใจเย็นอย่างไรก็เป็นเพียงแค่สตรีอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น นางตกใจจนหวีดร้องออกมา เสียงนั้นแหลมสูงกว่าซุนเสี่ยวฟู่ไม่น้อย นักฆ่าที่ห่างจากนางไปไม่ไกลได้ยินเข้าก็หันมาปามีดสั้นใส่ ไป๋ชิงหนิงเบิกตาโพลง แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงหลับตาเพื่อรอความตายเท่านั้น
ชิ้ง เสียงชนปะทะใสกังวานดังขึ้น มีดสั้นเล่มนั้นที่ควรจะปักลงบนร่างนางถูกปัดไปปักลงกับพื้น ด้านข้างมีปิ่นปักผมสีแดงหักเป็นสองท่อน ไป๋ชิงหนิงจำได้ว่านั่นเป็นปิ่นของพระชายาติ้งอ๋องจึงรีบมองไปทางเยี่ยหลี เห็นเยี่ยหลีกับสวีชิงปั๋วถูกคนล้อมคุ้มกันอยู่ข้างรถม้า แม้รอบด้านจะวุ่นวายแต่รอบๆ ทั้งคู่นั้นกลับปลอดภัย ไม่รู้ว่าไป๋ชิงหนิงไปเอาความกล้ามาจากไหน นางพุ่งไปยังทิศทางที่เยี่ยหลียืนอยู่ บางทีนี่อาจเป็นโชคดีของนางที่ยังไม่ถึงฆาตจึงทำให้นางฝ่ามาถึงด้านหน้าของเยี่ยหลีและสวีชิงปั๋วได้ “พระชายา…”