บทที่ 531 เทวทูตสองหมื่นปี
บทที่ 531 เทวทูตสองหมื่นปี
ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นภูเขาแห่งวิญญาณ เพราะมันมีหลุมศพมากมายปรากฏให้เห็น ทว่าหลุมศพเหล่านี้กลับไม่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุมศพทั่วไป มันดูเหมือนรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงเสียมากกว่า!
อีกทั้งรูปปั้นเหล่านี้ยังเป็นออร์คทั้งหมดเลยด้วย! คาดเดาเอาจากรูปร่างภายนอก เป็นไปได้ว่าพวกเขาทั้งหมดน่าจะเป็นพวกบอสระดับสูง เพราะรูปปั้นพวกนี้ถูกปั้นออกมาได้ดูเหมือนจริงมาก ๆ ที่สังเกตได้ชัดที่สุดเห็นจะเห็นสีหน้าที่รูปปั้นพวกนี้แสดงออกมา พวกเขามีทั้งอารมณ์หวาดกลัว โกรธ จนตรอก และไร้หนทาง
เพราะงั้นหากมองในทางกลับกัน รูปปั้นเหล่านี้ เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ถูกสาปให้เป็นหินทันทีเสียมากกว่า พวกเขาทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกัน คือการวิ่งสู่ยอดเขา ซึ่งท่าทางของรูปปั้นมันบอกไว้เช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เซียวเฟิงประหลาดใจจริง ๆ กลับไม่ใช่รูปปั้นที่ดูเหมือนจริงเหล่านี้ หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่บนยอด ณ ยอดเขาแห่งนี้ ที่เขาต้องไปมากกว่า
ที่นั่น มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่อยู่! มันสูงกว่าสิบเมตร!
และที่สำคัญ… รูปปั้นนั้น เป็นรูปปั้นเทวทูต!
เทวทูตที่มีปีกมากถึงแปดข้าง…ระดับเดียวกับทูตสวรรค์!
ไม่…นั่นยังไม่เพียงพอให้ตกใจได้เท่ากับสิ่งที่อยู่เหนือหัวรูปปั้นเทวทูตยักษ์ตนนี้ ที่เหนือหัวมัน…มีหลอดพลังชีวิตปรากฏอยู่!
นั่นหมายความว่า รูปปั้นตนนี้มีชีวิต!
และเมื่อนำรูปปั้นรอบ ๆ มาใช้ร่วมกับการคาดเดา เซียวเฟิงก็พอจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้คร่าว ๆ บางทีที่แห่งนี้อาจจะเคยเกิดสงครามครั้งรุนแรงขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว บอสระดับสูงของออร์คมากมายนับไม่ถ้วนได้เข้าล้อมเทวทูตตนนี้ไว้ ทว่าจุดจบกลับไม่เป็นใจ พวกเขาถูกสาปให้เป็นหินพร้อมกับเทวทูต และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ฝ่ายออร์คที่เป็นหินก็หมดอายุขัยไปก่อน เหลือเพียงเทวทูตตนเดียวที่ยังรอดชีวิต!
เซียวเฟิงลังเลอยู่
ณ ขณะนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อในเรื่องที่ตนเองคิดนัก ท้ายสุดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นเทวทูตตนดังกล่าวและมองไปรอบ ๆ ถึงแม้ว่าหลอดพลังชีวิตจะแสดงให้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะหลุดจากการจองจำได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้น ชายหนุ่มอาจจะออกจากตรงนี้ไปตั้งนานแล้ว เป็นไปได้ว่าตัวเขาเองก็อาจจะติดกับและติดอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน
ร่างดั้งเดิมของมันเป็นเทวทูตเพศชายที่มีร่างสูงใหญ่ เพียงกำมือเดียวก็สามารถกำร่างของเซียวเฟิงได้ทั้งตัวแล้ว ลักษณะทางกายภาพของมันดูรวม ๆ แล้วเหมือนทูตสวรรค์ที่ขยายตัวให้ใหญ่ขึ้น จะต่างกันก็ตรงอาวุธของเทวทูตตนนี้ที่เป็นเคียว ในขณะที่ทูตสวรรค์ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์
สีของหลอดพลังชีวิตยังคงเป็นสีเหลือง เทวทูตตนนี้ยังเป็นกลางอยู่ นั่นหมายถึงผู้เล่นสามารถเข้าไปคุยเพื่อรับเควสต์มาทำ หรืออาจจะต้องเผชิญหน้ากันในฐานะศัตรูก็ได้
เซียวเฟิงครุ่นคิดเรื่องนี้ ก่อนจะตัดสินใจใช้ทักษะการตรวจสอบของเขาลองตรวจสอบรูปปั้นตนนี้ดู
เทวทูตแห่งพลัง
ระดับ : บอสศักดิ์สิทธิ์
ธาตุ : ศักดิ์สิทธิ์
เลเวล : ???
พลังชีวิต : ??? / ??? หน่วย
มานา : ??? / ??? หน่วย
พลังโจมตีกายภาพ : ??? / ??? หน่วย
พลังโจมตีเวทมนตร์ : ??? / ??? หน่วย
พลังป้องกันกายภาพ : ??? / ??? หน่วย
พลังป้องกันเวทมนตร์ : ??? / ??? หน่วย
สกิล : ???
ทั้ง ๆ ที่ทักษะการตรวจสอบของเซียวเฟิงนั้นจัดว่าเลเวลสูงมาก ๆ แล้วเพราะมีชุดเกราะมังกรช่วยเสริมเลเวลทักษะให้อีก มันควรจะมีมอนสเตอร์เพียงจำนวนน้อยที่จะไม่สามารถถูกตรวจสอบด้วยทักษะนี้ได้
และรูปปั้นเทวทูตนั้นกลับอยู่ในกลุ่มมอนสเตอร์จำนวนน้อยพวกนั้นด้วยเสียได้ นอกจากชื่อและระดับของมันแล้ว ค่าสถานะอื่น ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องหมายคำถามหมดเลย
แต่ถึงอย่างการที่ทักษะของเขาก็ยังพอเปิดเผยได้ว่ามันเป็นบอสระดับไหน ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้เจอกับบอสระดับศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดไปเองว่าระดับของมันสูงกว่าระดับตำนาน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับระดับของอาวุธและอุปกรณ์…ระดับศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่มั่นใจว่าทูตสวรรค์ตนนั้นจะเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือเปล่า ย้อนกลับไปเมื่อครั้งไปตามคำบอกเล่าของดูมส์เดย์ลีก ตอนนั้นเซียวเฟิงยังเลเวลน้อยเกินกว่าจะตรวจสอบทูตสวรรค์ได้ แต่ถึงอย่างนั้นทูตสวรรค์ก็ถือเป็นระดับบอสโลก ดังนั้นระดับของมันจะต้องสูงกว่าระดับตำนานแน่นอน
นอกจากนี้ ระดับของทูตสวรรค์นั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนปีกบนหลังหกปีกแทนระดับตำนาน เพราะฉะนั้นแปดปีกก็น่าจะเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ตามที่ว่าไว้
และถึงแม้ทูตสวรรค์ตนนั้นจะเสียปีกไป แต่จากภาพลักษณ์ของมัน ไม่ผิดแน่นอน ทูตสวรรค์ต้องเป็นบอสระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันก็มีแปดปีกเหมือนกัน!
แกร๊ก!
อย่างไรก็ตาม เวลาที่ปล่อยให้เซียวเฟิงคิดนั้นมีไม่มากนัก เสียงบางสิ่งบางอย่างกำลังแตกออกก็ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ ที่สำคัญ…มันดังมาจากรูปปั้นเทวทูต!
เสียงที่ไม่ควรมีอยู่นี้เรียกความสนใจจากเซียวเฟิงได้ในทันที เขารีบกรอกตามองร่างรูปปั้นของเทวทูตตรงหน้าแล้วตะลึงจนเผลอถอยหลังไป
แกร๊ก…แกร๊ก…แกร๊ก!
นี่ไม่ใช่อาการหูฝาดแต่อย่างใด รูปปั้นเทวทูตขนาดมหึมาตนนี้ กำลังแตกออกจริง ๆ!
มันเหมือนใยแมงมุมที่แผ่ซ่านมาจากส่วนของเท้ารูปปั้นลามขึ้นไปที่หัว ราวกับบางสิ่งบางอย่างกำลังจะออกมาจากเปลือก เซียวเฟิงรีบถอยกรูดออกจากรูปปั้นนั้นในทันที เพราะอย่างที่เขารู้อยู่แล้วว่า เทวทูตแห่งพลังตนนี้ยังไม่ตาย!
การมีอยู่ของพลังชีวิตก็บ่งชี้แล้วว่าเขาแค่ถูกสาปให้เป็นหิน เขาไม่มั่นใจว่าอะไรเป็นตัวปลุกเทวทูตในรูปปั้นหินให้ตื่น แต่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่ได้ตื่นขึ้นด้วยตนเองแน่ ๆ
รอยแตกเหล่านั้นเริ่มกระจายไปทั่วทั้งตัว แต่ถ้าหากมองดี ๆ แล้วก็จะพบว่ามันไม่ใช่รอยแตก หากแต่มันคือสีผิวที่แท้จริงของเทวทูตที่กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมาทีละส่วนต่างหาก
ด้วยแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากการคืนกลับ มันมากพอที่จะทำให้ทั่วทั้งหุบเขาแห่งวิญญาณนี้ถูกอาบไปด้วยลมหายใจศักดิ์สิทธิ์ในไม่ช้า
“ไอ้พวกเวรสองตัวนั่น! ไอ้เจ้าทูตสวรรค์กับเทพีแห่งแสง กล้ามากที่บังอาจลืมข้า! ปล่อยให้ข้ารอมาอย่างเนิ่นนานจนข้านับปีไม่ถูกแล้ว! ไอ้เลวเอ๊ย! ไอ้สารเลว!”
ยามที่แสงศักดิ์สิทธิ์จางหายไป เสียงก่นด่าก็ดังสนั่นขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ร่างของเทวทูตสูงใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเซียวเฟิง เทวทูตแห่งพลังตรงหน้า ณ บัดนี้ ไม่ใช่เพียงรูปปั้นหินที่มีพลังชีวิตอีกต่อไปแล้ว!
“เจ้าตัวเล็ก เทพีแห่งแสงส่งเจ้ามาปลุกข้างั้นหรือ? นางคงไม่คิดถึงเรื่องนี้แน่ ๆ หากไม่มีเหตุผลอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจงบอกข้ามาเสีย นางมีปัญหาอันใด?” ทันใดนั้น เทวทูตแห่งพลังก็ก้มหัวลงช้า ๆ แล้วเริ่มพูดกับเซียวเฟิง
ชัดเจนแล้วว่าการที่เขาสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับเซียวเฟิง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซียวเฟิงบุกเข้ามาในภูเขาลูกนี้ หรือเป็นเพราะเซียวเฟิงใช้ทักษะตรวจสอบกับเขากันแน่ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ในตัวเขา?
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรมาคิดตอนนี้แล้ว เพราะขณะนี้ เทวทูตแห่งแสงหลุดออกจากการเป็นหินได้ และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในสภาพที่มีชีวิตแล้ว ดังนั้นมันจึงหมายถึง เซียวเฟิงกำลังยืนเผชิญหน้ากับบอสที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เข้ามาในโลกของเกม!
เทวทูตตนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าทูตสวรรค์อีกกี่เท่าก็ไม่รู้ ไม่เพียงแค่กายภาพด้านนอก แต่แม้แต่ธาตุของเขาเองก็ยังเป็นธาตุเทพเจ้าด้วย!
“เทพีแห่งแสง? ใครกันเหรอครับ? ผมเคยเจอแต่ทูตสวรรค์”
เซียวเฟิงประหลาดใจหลังได้ยินคำถามของเทวทูตแห่งพลัง เขาตอบกลับด้วยคำถาม และนั่นคือความจริง เพราะถึงเขาจะอยู่กับวิหารแห่งแสงมาเป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่เคยได้ยินชื่อเทพีแห่งแสงเลย
“เจ้าเคยเจอทูตสวรรค์แต่ไม่เคยเจอเทพีแห่งแสงงั้นหรือ? บ้าจริง หรือว่านี่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริง ๆ? ข้าถูกจองจำไว้ในสถานที่แห่งนี้มาแรมปีจนไม่รู้แล้วว่าแผนการณ์ที่วางไว้เป็นอย่างไรบ้าง โอ้ ใช่แล้ว เจ้า เจ้าตัวเล็ก สงครามศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว?”
เทวทูตแห่งพลังพูดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามเซียวเฟิงอีกครั้ง
“น่าจะราว ๆ ยี่สิบครั้งแล้ว…” เซียวเฟิงคิดตามแล้วตอบกลับไป เขาเคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และมันก็น่าจะเกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์มาราว ๆ ยี่สิบครั้งแล้วจริง ๆ ตามเนื้องเรื่องที่กล่าวไว้ในเกม
“มากกว่ายี่สิบครั้งแล้ว!? โอ้ ข้าถูกจองจำมากว่าสองหมื่นปีแล้วงั้นเหรอ?! มันต้องบังเอิญ…ต้องบังเอิญแน่ ๆ!” เทวทูตร่างยักษ์พูดกับตนเอง
“ท่านเทวทูตแห่งพลัง ทำไมท่านถึงถูกจองจำอยู่ที่นี่ล่ะ?” เมื่อได้จังหวะ เซียวเฟิงจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง เขาพยายามคิดว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อจากนี้ควรจะเป็นอย่างไรต่อ เนื่องจากระดับของเทวทูตตรงหน้าเขานี้มันช่างสูงเสียเหลือเกิน เป็นไปได้ว่าเกมอาจจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาปลดล็อกเนื้อเรื่องก็เป็นได้
“อืม…ข้ามายังดินแดนแห่งพระเจ้าพร้อมกับเทพีแห่งแสงและทูตสวรรค์ เทพีแห่งแสงรับหน้าที่ในการสร้างวิหารแห่งแสง ส่วนทูตสวรรค์รับผิดชอบในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อขยายศรัทธาแห่งแสงสว่างให้แผ่กว้างออกไป ส่วนตัวข้ามีหน้าที่จัดการอุปสรรคที่คอยขัดขวางความเชื่อ จักรวรรดิออร์คแห่งนี้เป็นของข้า เป้าหมายของข้าคือกลุ่มลูกครึ่งมนุษย์ ลูกครึ่งอสูรไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใดก็ตามที่สมองของพวกเขายังไม่มีอารยธรรมฝังหัว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องตั้งข้อสงสัยที่จะศรัทธาในแสง ข้าวางแผนล่อลวงพวกนักรบที่ทรงพลังของเผ่าพันธุ์ออร์คมายังที่แห่งนี้ เพื่อจะชี้นำพวกเขาสู่หนทางแห่งแสงสว่าง ทว่าข้าไม่คิดเลย ว่าเผ่าพันธุ์ไร้อารยธรรมอย่างออร์คจะนับถือเทพแห่งโชคชะตาอยู่แล้ว เทพแห่งโชคชะตาให้พลังแก่เหล่าออร์คเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับข้าได้ ท้ายสุดแล้ว ข้าจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ต้องห้ามผนึกตัวข้าเองเพื่อแลกกับดวงวิญญาณของพวกมัน! แต่ผนึกนั้นยาวนานเกินไป เกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ใครจะไปรู้ว่ากว่าข้าจะหลุดจากการจองจำได้ก็ล่อไปตั้งสองหมื่นปีแบบนี้! แถมสหายเวรทั้งสองอย่างเทพีแห่งแสงและทูตสวรรค์ก็ไม่คิดจะมาช่วยข้าเลยด้วยซ้ำ!”
ไม่รู้ว่าเพราะถูกจองจำมานานเกินไปหรือเปล่า มันเลยทำให้เทวทูตแห่งพลังตนนี้กลายเป็นเทวทูตช่างจ้อไปแล้ว เขายอมพูดเรื่องของตนออกมาอย่างง่ายดายโดยไม่ตั้งแง่เป็นความลับเลยแม้แต่นิด
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นทำให้เซียวเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมานิดหน่อย สกิลทำลายล้างระดับศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? ระดับศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว คราวนี้จะเป็นระดับสกิลที่สูงกว่าสกิลระดับตำนานด้วยหรือเปล่านะ?
อีกอย่าง เรื่องของเทพีแห่งแสงที่หลุดมาจากเทวทูตแห่งพลัง ที่ถูกส่งมารับผิดชอบในการสร้างวิหารแห่งแสง ถึงแม้จะแอบรู้สึกคุ้น แต่ก็ยังต่างกับสิ่งที่เซียวเฟิงรู้อยู่ เขารู้อยู่แก่ใจว่าผู้ที่ควบคุมวิหารแห่งแสงอยู่นั้นเป็นมนุษย์ทั้งหมด มนุษย์จากดินแดนแห่งพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นโป๊ปที่คลั่งแสงสว่างจนหน้ามืดตามัว รวมถึงผู้ศรัทธา…
เดี๋ยวก่อน!
ทันใดนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวเซียวเฟิง มันคือข้อสงสัยดั้งเดิมที่เซียวเฟิงครุ่นคิดไว้นานมากแล้ว มันถูกต้องที่ภายในวิหารแห่งแสงนั้นมีแต่เหล่าผู้ที่คลั่งไคล้แสงสว่างจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้นแต่อย่างใด!
เทพธิดาแห่งแสง! เทพสูงสุดที่แม้แต่เหล่าสังฆราชยังต้องสยบให้!
“ผมไม่เคยได้ยินชื่อของเทพีแห่งแสงเลย แต่ตอนนี้ผู้ที่ปกครองและควบคุมวิหารแห่งแสงอยู่คือ เทพธิดาแห่งแสง ครับ”
เซียวเฟิงพูดและมองท่าทีของเทวทูตแห่งพลัง
“เทพธิดาแห่งแสงงั้นหรือ? เทพธิดาแห่งแสงมาจากไหน? นางกล้าดีอย่างไรถึงได้นำชื่อของเทพเจ้าแห่งแสงมาแอบอ้างกัน!?” เทวทูตแห่งพลังขมวดคิ้ว เขาดูสับสนก่อนจะเอ่ยปากถามเซียวเฟิงทันที “เจ้าตัวเล็ก เจ้าอธิบายรูปลักษณ์ของเทพธิดาแห่งแสงให้ข้าฟังได้หรือเปล่า? ทั้งรูปลักษณ์และนิสัยของนางเลย”
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่คุ้นเคยกับชื่อของนางจริง ๆ ซึ่งมันเข้าทางเซียวเฟิง เขาจะต้องได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่างจากเทวทูตตนนี้แน่ ๆ ดังนั้นหลังจากคิดถึงภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของเทพธิดาแห่งแสงแล้ว เขาก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“เวรเอ้ย! บัดซบ! นังสารเลว!”
เป๊ะ!
พลันเมื่อได้รับรู้ถึงรูปลักษณ์ของเทพธิดาแห่งแสง เทวทูตแห่งพลังก็ถึงกับสบถออกมาถึงสามครั้งสามครา “เทพีแห่งแสงทรยศพวกข้า! นางเป็นพวกนอกรีต ตั้งตนเป็นใหญ่ในหมู่สิ่งมีชีวิต! นางพยายามจะทำตัวเป็นเทพเจ้าแห่งแสง แต่นางไม่ใช่! แล้วทูตสวรรค์ไม่ได้พยายามหยุดนางไว้เหรอ?”
สีหน้าของเซียวเฟิงยังคงสงบนิ่ง แต่ภายในใจของเขานั้นปั่นป่วนไปหมดแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า พวกนอกรีต ผู้ที่เคยร่วมงานกับจักรวรรดิแห่งความมืดเองก็เคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ้างว่าเขาถูกเทพธิดาแห่งแสงปฏิเสธความช่วยเหลือและมองเขาเป็นศัตรูด้วย แล้วนี่ก็มาได้ยินอีกครั้งจากปากของเทวทูตแห่งพลัง
เรื่องมันบรรจบกันแล้ว ชื่อเดิมของ เทพธิดาแห่งแสง ก็คือ เทพีแห่งแสง!
“ทูตสวรรค์ตายและหายสาปสูญจากดินแดนแห่งแสงไปแล้วครับ” เซียวเฟิงอธิบายง่าย ๆ ความตายของเทวทูตเกิดมาจากการที่เขาพยายามขัดขวางการกระทำของเทพธิดาแห่งแสงจริง ๆ แต่แย่หน่อยตรงที่ศพของเขาถูกทำลายด้วยมือของเซียวเฟิงเอง
“ว่ายังไงนะ!? เป็นไปไม่ได้! ด้วยพลังของทูตสวรรค์ ต่อให้เทพีแห่งแสงจะได้พลังแห่งแสงสว่างภายในดินแดนแห่งพระเจ้าไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะทูตสวรรค์ได้เลย! ไม่มี…ไม่สิ…มี…” เสียงของเทวทูตแห่งพลังเบาลงอีกครั้ง “มีอยู่ทางหนึ่ง…นั่นคือ เผ่าความมืดจะร่วมมือกับนางด้วย! พวกมันรวมหัวกันแล้วจัดการทูตสวรรค์! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสองหมื่นปีที่ผ่านมาถึงไม่มีใครมาปลดผนึกข้า! พวกบัดซบเอ๊ย! แย่! แย่ไปหมด!”