บทที่ 118 ปรมาจารย์ผู้คอยช่วยเหลือ ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 118 ปรมาจารย์ผู้คอยช่วยเหลือ ! (ปลาย)

ทันทีที่สองกระบี่ผสานเป็นหนึ่งเดียว ท่อนแขนทั้งสองข้างของเขาพลันเกิดปริร้าว ก่อนจะตามมาด้วย หยาดโลหิตไหลซึมออกมาตามรอยแผล !

สองกระบี่จิตวิญญาณผสานรวมเป็นหนึ่งกระบี่ประกายแสง !

ทันใดนั้น เยี่ยฉวนพลันตวัดวาดกระบี่ออกไป !

หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !

พลังผลักออกรุนแรงเหนือการควบคุม !

เสี้ยววินาทีที่เยี่ยฉวนวาดกระบี่ คนตรงข้ามซึ่งจ้องเขม็งพลันเริ่มสัมผัสภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน “เป็นไปได้อย่างไร…”

พลังแห่งกระบี่ตรงหน้าเขาเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายโดยแท้ !

ทว่าชายวัยกลางคนไม่มีเวลาคิดนาน เขาขยับมือข้างขวาและผลักออก ก่อนจะบังเกิดพลังชี่หมุนวน กระจายออกจากกลางฝ่ามือและพุ่งเข้าหากระบี่ของเยี่ยฉวน !

สรรพเสียงรอบด้านสงัดนิ่งชั่วเสี้ยววินาที

เปรี้ยง !

เสียงระเบิดตามด้วยพลังชี่หมุนวนแตกกระจาย ร่างของชายกลางคนถูกกระแทกปลิวกระเด็นไปไกล กว่า 18 จั้ง ทันทีที่ร่างหยุดนิ่ง ชายแขนเสื้อด้านขวาปรากฏรอยฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง อีกทั้งท่อนแขนข้างขวา ปรากฏรอยร้าวรานราวกับใยแมงมุมกระจายทั่วทั้งแขน หยดเลือดค่อย ๆ ผุดซึมออกทีละน้อยตามรอยแตกร้าว เหล่านั้น !

ชายกลางคนก้มลงมองที่แขน ก่อนจะเงยมองเยี่ยฉวน นับเป็นครั้งแรกที่ปรากฏแววตื่นกลัวฉายชัดออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น “กระบี่ประกายแสง… ช่างเป็นกระบี่ที่น่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้…”

ความคิดเช่นนั้น พลันก่อให้เกิดความกลัวขึ้นจับใจ !

ด้วยเขาคิดต่อไปอีกว่า หากชายหนุ่มเป็นผู้มีขั้นพลังสูงระดับกล้าแกร่งกว่านี้ น่ากลัวว่าพลังปะทะเมื่อ ครูนี่จะต้องคร่าชีวิตตนเองอย่างแน่นอน !

ความน่าสะพรึงกลัวแห่งพลังกระบี่ ทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกหัวใจกระตุกรัวเร็ว !

อีกฟากหนึ่ง เยี่ยฉวนหลับตาลงช้า ๆ ความคิดสับสนวุ่นวาย “ข้ายังทำไม่สำเร็จ !”

“ขั้นพลังยังห่างชั้นเหลือเกิน ถึงตอนนี้ข้าไม่อาจต่อกรกับผู้ที่มีระดับพลังเหนือกว่าถึงสองขั้น หากข้าฝึกพลังจนถึงขั้นสันโดษได้ ข้าจึงเอาชนะเขาได้ ! แต่ตอนนี้ ข้าควรทำอย่างไร ?”

“ต่อสู้หรือ ?”

“แต่ไม่อาจชนะ !”

“หนีหรือ ?”

“แน่นอน ไม่มีทางหนีแน่ !”

“ขอความช่วยเหลือหรือ ?”

“ในตอนนี้ใครจะช่วยเหลือข้าได้กัน ?”

สมองคิดอยู่วุ่นวาย และในที่สุดดวงตากลับใสกระจ่างขึ้นทันที ชายหนุ่มทอดสายตาไปยังชายกลางคนมองอย่างใจเย็น “ข้าขอเตือน เจ้าจงรีบไปเสีย ไม่งั้นเจ้าจะไม่มีวันได้หนีอีกต่อไป !”

อีกฝ่ายกระตุกมุมปาก “อยากจะบอกข้าว่าเจ้ามีคนคอยช่วยเหลือ ใช่หรือไม่ ?”

ทว่าเยี่ยฉวนสีหน้าเคร่งเครียด “แน่นอน ข้าขอเตือนเจ้าว่า ภายในกายข้ามีปรมาจารย์…”

“ปรมาจารย์เช่นนั้นหรือ ?”

ได้ยินเช่นนั้นชายกลางคนถึงกับเปล่งหัวเราะเบา ๆ “ปรมาจารย์ภายในกาย ! เจ้าเด็กน้อย สมองของ เจ้าได้รับความกระทบกระเทือนหรืออย่างไร ?”

พูดพลางสาวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ “ถ้ามีปรมาจารย์ เปิดเผยปรมาจารย์ของเจ้าให้ข้าเห็นได้หรือไม่ ?”

ด้วยแขนทั้งสองที่ไพล่ไปด้านหลัง เวลานั้นพลันปรากฏลำแสงสีเขียวที่บริเวณท่อนแขนข้างขวา อาการบาดเจ็บเริ่มฟื้นฟูทีละน้อย ชายวัยกลางคนรู้แก่ใจว่าเยี่ยฉวนพยายามถ่วงเวลา ซึ่งเขาเองก็ต้องการมันเช่นกัน ! ในยุทธภพมีคนกล้าแกร่งโลดแล่นมากมาย แต่หามีใครเทียบเคียงตนได้ ดังนั้นเขาจะต้องรักษาความกล้าแกร่งนี้ไว้ ไม่เช่นนั้น หากการบาดเจ็บแพร่งพรายออกไป อาจทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายได้ !

เยี่ยฉวนค่อยก้าวถอยอย่างช้า ๆ “เจ้าได้รับบาดเจ็บ ปรมาจารย์ของข้าจึงไม่ใส่ใจ !”

ฝ่ายตรงข้ามขู่คำรามให้ได้ยิน “จริงหรือ ? น่าขำสิ้นดี ! ข้าคิดว่าปรมาจารย์ที่เจ้าว่าคงจะขี้ขลาด จึงไม่กล้าปรากฏตัวออกมาใช่ไหม ? ข้า…”

ทันใดนั้น

เพี้ยะ !

ต่อจากเสียงตวัดตบดังลั่น ตามด้วยภาพของร่างคนพูดกระเด็นหวือออกไปทันที !

เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนพลันเบิกตากว้าง ก่อนจะได้สติและหันหลังออกวิ่งไปจากสถานที่นั้นทันที

ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขากำลังลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับรอยอุ้งเท้าสีแดงปรากฏบนใบหน้าซีกขวา

อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบใบหน้าซีกขวาป้อย ๆ แววตาพิศวงงงัน “ใครตีข้า ?”

ชายวัยกลางคนหมุนตัวมองหา ทว่ารอบกายกลับไร้เงาผู้คน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย พลางหันมองรอบบริเวณก่อนร้องถาม “ผู้ใดกัน ยอดปรมาจารย์งั้นหรือ ?”

ไม่มีเสียงตอบ

ขณะเดียวกัน เยี่ยฉวนก็ได้อาศัยจังหวะดังกล่าววิ่งลับหายเข้าไปในป่าแล้ว

ชายกลางคนยังคงปักหลัก กวาดสายตาไปทั่วอย่างระแวดระวัง

เยี่ยฉวนวิ่งมาได้สักพักจึงเริ่มมองเห็นเมืองชายแดน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเต็มกำลัง โลหิตไหลทะลักจาก ปาก ไม่แต่เท่านั้น หากแต่ตามท่อนแขนยังมีโลหิตไหลเปรอะเปื้อน… นอกจากนี้บาดแผลที่หน้าอกซึ่งสมาน เกือบดีแล้ว มาตอนนี้กลับปริแตก โลหิตแดงฉานซึมผ่านอกเสื้อด้านนอกจนกลายเป็นสีแดง

เขาบาดเจ็บสาหัส !

ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาใช้พลังประสานกระบี่เป็นหนึ่ง พร้อมใช้ออกด้วยกระบวนท่า ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ จึงยิ่งซ้ำเติมอาการบาดเจ็บหนักให้หนักลงไปอีก หากเยี่ยฉวนมิใช่ผู้ฝึกพลังกายาทองคำซึ่งมีผลให้ร่างกายและอวัยวะภายในทั้งห้าแข็งแรงเป็นพิเศษ เช่นนั้นเขาคงจะสิ้นชื่อ ไปแล้ว !

ณ ประตูเมืองชายแดน สตรีในชุดขาวหันมาเพ่งสายตามองในระยะไกลออกไป ทันทีที่เห็นร่างคนผู้หนึ่งปรากฏ มือของนางพลันเริ่มสั่นเทา

ตามมาเบื้องหลังสตรีชุดขาว องค์หญิงเก้าก็ทรงเพ่งสายตาจับความเคลื่อนไหวที่มองเห็นในระยะไกล เช่นกัน ต่อมานางกลับนิ่งงันด้วยความตกตะลึง

ในไม่ช้า เยี่ยฉวนก้าวมายืนตรงหน้าบุคคลทั้งสอง ท่าทางที่มองมายังสตรีชุดขาวออกงุนงงปนสับสน ก่อนที่ในนาทีต่อมาเขาจะโยนคัมภีร์ยุทธชั้นยอดขั้นปฐพีส่งให้องค์หญิงเก้าทันทีราวกับเป็นของไร้ค่า ขณะที่ ตัวเองก้าวช้า ๆ ตรงไปทางสตรีชุดขาว คลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยถาม “ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ?”

คำพูดยังไม่ทันขาดปาก โลหิตพลันทะลักพรวดออกจากปาก ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงเบื้อง หน้า

สตรีชุดขาวอ้าแขนออกคว้าร่างของเยี่ยฉวนได้โดยสัญชาตญาณ ร่างของชายหนุ่มที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาว ช่างขะมุกขะมอมราวกับคลุกเลนโคลนกระนั้น “นิ่มจัง…” โดยไม่รู้ตัว เขาใช้แขนตวัดโอบเอวเล็ก และใบหน้าซุกซบลงในอ้อมอกของสตรีชุดขาว

หญิงสาวนิ่งตัวแข็ง ทว่าไม่ได้ผลักไสแต่อย่างใด

ที่มุมหนึ่งข้างกำแพงเมือง ชายชราผู้หนึ่งกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างขัดใจ “คุณหนู ผลักเขาออกไป ผลักเจ้าเด็กบ้านั่นออกไปเสียเถิด…”

อย่างไรก็ตาม สตรีชุดขาวหาได้ทำเช่นนั้นไม่