บทที่ 119 คุยกันเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และความฝันของพวกเรา ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 119 คุยกันเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และความฝันของพวกเรา ! (ต้น)

ยิ่งเห็นภาพตรงหน้า ผู้เฒ่าก็ยิ่งเข่นเขี้ยวอย่างไม่สบอารมณ์ หรือจะพูดให้ถูกก็คือสีหน้ามีแต่ความหม่นหมอง

คุณหนูไม่เคยให้ความสนิทสนมกับบุรุษเช่นนี้มาก่อน

เป็นเวลาเดียวกับที่เยี่ยฉวนและอันหลานซิ่วสังเกตเห็นร่างคนปรากฏในระยะไกล ผู้ที่นำหน้าคือ เป่ยเฉิน ส่วนที่ตามมาเบื้องหลังคือคู่ชายหญิง

อันหลานซิ่วเพ่งมองคนทั้งสาม พลันส่งชายหนุ่มต่อให้องค์หญิงเก้า จากนั้นจึงเหลือบตามองชายชรา ซึ่งก้าวออกจากมุมเดินเข้ามาสมทบ “คุณหนู พวกมันฝ่าฝืนกฎในการตามหาสิ่งล้ำค่าขอรับ”

อันหลานซิ่วพยักหน้ารับทราบ “เข้าใจแล้ว !”

จากนั้น จึงเดินตรงเข้าหาเป่ยเฉินและคนคู่ชายหญิง

ชายชราลังเลเล็กน้อย ทำท่าราวจะพูดด้วยแต่แล้วกลับหุบปากนิ่ง ด้วยเขารู้สึกแล้วว่าคุณหนูกำลัง โกรธจัด !

ทันทีที่เห็นผู้ที่เดินตรงเข้ามา เป่ยเฉินพลันหน้าเสีย !

คู่ชายหญิงไม่รู้จักว่าคนตรงหน้าคืออันหลานซิ่ว

แต่เป่ยเฉินรู้

ในแคว้นเจียงมีใครไม่รู้จักอันหลานซิ่ว ?

เป่ยเฉินในตอนนี้พลันถูกความกลัวครอบงำเข้าจับใจ

ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรู้มาก่อน คราวที่อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่เคยเชิญนางให้เป็น อาจารย์ ซึ่งในคราวนั้นนางตอบไปว่าหากมีศิษย์ของฉางมู่ที่อายุยังไม่เต็มสามสิบคนใดทำให้นางจำนนต่อผู้ได้นั้น นางจึงจะยอมเข้าร่วม !

ในเวลานั้น มีศิษย์ฉางมู่สองคนยอมรับคำท้าในฐานะตัวแทนของสถานศึกษาฉางมู่ ซึ่งเป่ยเฉินคือหนึ่ง ในนั้น !

แต่ทว่าในท้ายที่สุดท้ายอันหลานซิ่วก็ยังคงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับสถานศึกษาฉางมู่ !

ครั้งแรกที่เป่ยเฉินเห็นอันหลานซิ่ว นางรู้ได้ทันทีว่านางคงจะไม่มีโอกาสได้ครอบครองคัมภีร์ยุทธ์ชั้น ยอดขั้นปฐพีอย่างแน่นอน !

หญิงสาวคิดจะถอยเสียแต่เดี๋ยวนี้ !

ทว่าตอนนั้นเอง อันหลานซิ่วพลันอันตรธานไป เมื่อเป่ยเฉินสังเกตเห็นเช่นนั้นสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นตื่น ตระหนก นางโคจรพลัง ขยับร่างกายร่ายคาถาอย่างดุดัน พร้อมกับค่อย ๆ กดผลักฝ่ามือส่ง ‘สะบัดพายุ สะท้านเวหา’ ออกไป !

สิ้นเสียงของนาง พลันบังเกิดลมกระโชกรุนแรงซึ่งไม่สามารถระบุต้นตอขึ้นรอบตัว และในเวลาไม่นาน จากลมพัดแรงก็ได้ก่อตัวกลายเป็นพายุสลาตันห่อหุ้มร่างกายของตนไว้

ขณะเดียวกัน ทวนยาวพลันปรากฏขึ้นในมือของอันหลานซิ่ว ฉับพลันนั้นเอง นางเตะออกทวนยาวด้วยขาขวา

เปรี้ยง !

ทวนถูกพลังแรงส่งออกจึงพุ่งเข้าหาเป้าหมายรวดเร็วราวสายฟ้า

ตู้ม !

พายุสลาตันที่กำลังก่อตัวได้ระเบิดกระจัดกระจายด้วยโดยแรงทวนที่ตวัดกวาดพื้นที่ในบริเวณลานกว้าง

ผัวะ !

เสียงปะทะของวัตถุหนักดังสนั่น หลังเสียงพลันปรากฏร่างคนหนึ่งกระเด็นไปไกลกว่าสิบจั้ง

ร่างนั้นคือเป่ยเฉิน !

ร่างที่ปลิวออกไปยังคงทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้พื้นดินใต้ฝ่าเท้าแยกออกเป็นร่องลึกยาว ทั้ง ยังมีรอยกระอักโลหิตที่มุมปาก

เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า คู่ชายหญิงคู่นั้นพลันหน้าซีดเผือดลงอย่างชัดเจน !

พวกเขาตระหนักดีถึงความกล้าแข็งของเป่ยเฉิน แต่ถึงอย่างงั้นนางยังคงพ่ายแพ้ให้แก่สตรีนางนี้ตั้งแต่การต่อสู้เพิ่งเริ่มจริงหรือ ?

ทั้งสองหันไปลอบสำรวจอันหลานซิ่ว มันเป็นแววตาที่กระหายใคร่รู้และแสดงออกถึงความสะพรึงกลัว

ฝ่ายอันหลานซิ่ว นางเองก็หาได้ยุติเพียงเท่านั้นไม่ หลังจากจัดการเป่ยเฉิน พลันร่างสีขาวก็ได้เลือน หายไปอีกครา ก่อนที่ร่างนั้นจะเลือนหายไป ทวนสีเงินได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป่ยเฉิน ลำทวนยาวพุ่งทะยานตรงเข้าหาเป่ยเฉินดูคล้ายมังกรร่อนโผบิน กอปรด้วยอิทธิฤทธิ์อำนาจอันหาใดเปรียบปาน

เป่ยเฉินหรี่ตาเตรียมตั้งท่ารับการปะทะ รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก ขณะนั้นเองนางเริ่มร่ายมนต์ อีกครั้ง “ผนึกวิญญาณอสูร !”

ตู้ม !

พลังผลักดันแห่งชี่กระจายออกจากกาย ทันใดนั้นเงาเลือนรางของอสูรตนหนึ่งก็ได้ปรากฏทางเบื้องหลังด้วยการมาของอสูรจึงเกิดเป็นพลังชนิดหนึ่งแผ่กระจายไปรอบ ๆ บริเวณลานแห่งนั้น ส่งผลให้พื้นดินโดยรอบ เกิดฝุ่นฟุ้งคละคลุ้งยุ่งเหยิงไปทั่ว !

เงาแห่งอสูรส่งเสียงคำรามกัมปนาทเข้าหาอันหลานซิ่ว มันเข้าปะทะเข้ากับทวนยาวของนาง !

ส่วนปลายแหลมของทวนบังเกิดเป็นจุดแสงสว่างแวววาว !

อสูรแทบไม่ได้สัมผัสกับลำทวนแม้สักองคุลี !

ตู้ม !

เงาอสูรตนนั้นดับสลายไปโดยทันที พาให้เป่ยเฉินซึ่งอยู่เบื้องล่างของเงา พลอยกระเด็นออกจากสถานที่นั้นไปไกลหลายจั้ง !

อีกฟากหนึ่ง คู่ชายหญิงซึ่งรู้เห็นความพ่ายแพ้ของเป่ยเฉิน ทั้งสองจึงพากันพุ่งทะยานอย่างมั่นใจเข้าหาอันหลานซิ่ว ขณะเดียวกัน อันหลานซิ่วก็ได้ตวัดวาดความยาวของทวนออกทางด้านขวาโดยไม่แม้แต่เหลือบตามอง

หญิงสาวตวัดวาดออกด้วยแรงผลักออกอันทรงพลัง มันรุนแรงเสียจนสามารถผลักกวาดนับล้านสิ่ง !

ตู้ม !

ก่อนที่ชายและหญิงทั้งคู่จะมีโอกาสเข้าประชิด พลังผลักดันของอันหลานซิ่วก็ได้เข้าปะทะอย่างรุนแรงก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ทั้งสองล่าถอยออกไปอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดลง !

ชั่วขณะหนึ่ง อันหลานซิ่วพลันขยับเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียว ก่อนจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเป่ยเฉินอย่าง ไม่ทันตั้งตัว

ผัวะ !

ก่อนที่สายตาของผู้คนโดยรอบจะสามารถจับความเคลื่อนไหวของอันหลานซิ่วได้ ร่างของเป่ยเฉินก็ได้กระเด็นออกจากที่เดิมจนห่างออกไปอีกหลายจั้ง ทว่ายังไม่ทันที่ร่างตกลงถึงพื้น อันหลานซิ่วที่ว่องไวราวปีศาจกลับตามมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า และในตอนนั้น นางพลันยกเท้ากดกระแทกลงไปที่ท้องอีกฝ่ายอย่างแรง

เปรี้ยง !

ร่างงอตัวพับไปกับพื้น จากนั้นจึงถูกตีจนกระเด็นไปอีกหลายจั้ง ก่อนจะกระแทกเข้ากันหินก้อนใหญ่ที่ ไกลออกไปแล้วจึงนิ่งสนิท

อันหลานซิ่วเตรียมจะเข้าปะทะอีกครั้ง ทันใดนั้น ชายชราผมสีขาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน ผู้นี้คือโม่ซ่ง หนึ่งในสามรองอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !

หญิงสาวที่เห็นดังนั้น นางกลับหาได้หยุดยั้ง ยังคงยืนโดดเด่นเป็นสง่าตั้งแต่หัวจดเท้า

โม่ซ่งหรี่ตาลง เขาผลักคลื่นพลังออกด้วยการสะบัดชายแขนเสื้อครั้งหนึ่ง

ผัวะ !

แต่ทว่ากลับเป็นแรงผลักดันนั่นที่ถูกพลังอีกด้านปะทะจนแตกกระจัดกระจายออก โม่ซ่งผงะถอยหลัง ไปสองสามก้าว ขณะที่อันหลานซิ่วยังปักหลักที่เดิม !

ชายชราเห็นเช่นนั้น แววตาหวาดหวั่นพลันปรากฏชัดเจนในดวงตาของคนเช่นโมซ่ง

ฟากหญิงสาวพร้อมเข้าปะทะอย่างไม่ครั่นคร้าม เมื่อเห็นดังนั้น เฒ่าโม่ซ่งชิงจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน ผู้ที่ทำร้ายชายหนุ่มคนนั้นหาใช่ศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ขอรับ คนผู้นั้นคืออ๋องแห่ง แคว้นหนิง นามว่าอู่อวิ๋นซาน”

หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นจึงยั้งมือไว้ ก่อนที่โม่ซ่งจะกล่าวเสริมขึ้นพร้อมทั้งยังชี้ไปทางคู่บุรุษสตรีซึ่งอยู่ถัด ไป “พวกเขาเป็นคนจากแคว้นหนิง”

อันหลานซิ่วเหลียวไปทางคนคู่นั้น ทั้งสองสีหน้าเผือดไปอย่างชัดเจน ครานี้พวกเขาจดจำหญิงสาวได้ อย่างแม่นยำ

อันหลานซิ่ว !