SPH:บทที่ 19 ทดสอบ
“ฉันอยากให้นายสู้กับฉัน!”
หยานเฟิงวูมองเย่หยูอย่างจริงจังในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว หัวเย่หยูรู้สึกว่างเปล่า การต่อสู้กระทันหันนี้มันทำให้เขาประหลาดใจอย่างที่สุด
“ทำไม?”
หยานเฟิงวูมองไปยังเย่หยูขณะยิ้มให้เขา
“เพราะไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง ความเร็วหรือการทำงานของร่างกายประสานกัน นายอยู่เหนือฉันหมด และฉันไม่ชอบคนที่อยู่เหนือฉัน! “
“งั้นเธออยากจะให้ฉันแพ้การแข่งสินะ?”
เย่หยูมองไปยังหยานเฟิงวูอย่างไม่เชื่อ
“ถูกต้อง!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยานเฟิงวูกว้างขึ้น
เย่หยูกุมหน้า เริ่มรู้สึกปวดหัว เธอเสียสติไปแล้วแน่ๆ!
“ฉันปฏิเสธได้ไหม?”
หยานเฟิงวูส่ายหน้า
“ไม่!”
หน้าของเย่หยูเริ่มซีด เขารู้แค่ว่ากระบวนท่าออกกำลังกายของเขาจะต้องแข่งกับคนอื่น เขาก็รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาทันที
เมื่อหยานเฟิงวูเห็นสีหน้าของเย่หยู เธอก็หัวเราะและตบไหล่เย่หยู
“อย่ากังวลไป ยังไม่ใช่ตอนนี้ที่เราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้!”
“ทำไมเธอถึงแน่ใจว่าฉันจะเป็นนักสู้ได้?”
หยานเฟิงวูหันหน้าไปด้านข้างแล้วมองไปยังเย่หยู ผมหางม้าของเธอวางอยู่บนบ่าของเย่หยู
“ได้ไหมละ?”
ผู้เชี่ยวชาญการศิลปะการต่อสู้อย่างนั้นหรอ?
เย่หยูยืนขึ้น มองไปยังหยานเฟิงวูอย่างจริงจัง และยื่นมือไปข้างหน้าเธอ
“โอเค ฉันให้สัญญา!”
หยานเฟิงวูตบมือของเธอกับมือของเย่หยู
“ตกลง!”
ห้องเรียนหนึ่ง ชั้นปีที่ 3 เย่หยูนั่งอยู่ข้างๆฮันเสวี่ย
ฮันเสวี่ยกำลังอ่านหนังสือด้วยความงุนงง อย่างไรก็ตาม เธอเหมือนจะไม่รู้ว่าสายตาของเธอกำลังดูสับสน เย่หยูยื่นมือไปจับไหล่ฮันเสวี่ย
“ฮันเสวี่ยดีขึ้นแล้วยัง?”
ฮันเสวี่ยสะดุ้ง
“อ่า โอ้ ดีขึ้นมากแล้วหละ”
มองไปยังเย่หยู ฮันเสวี่ยทำปากจู๋ หลังจากลังเลสักพัก เธอก็กระซิบ
“เย่หยู ถ้าหาก…”
“ถ้าฉันหายไปหนึ่งวัน นายยังจะจำฉันได้ไหม?”
เย่หยูหันมาและมองไปยังฮันเสวี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเธอ
“เธอจะหายไป?”
“หลังจากที่ฉันจบมัธยมหรอ? งั้นเราติดต่อกันได้ไหม?”
“ไม่!”
ฮันเสวี่ยกัดปาก
“ต่อให้เป็นไปได้ที่นายจะไม่ได้พบฉันเป็นเวลานานและไม่สามารถติดต่อฉันได้ นายจะยังจำฉันได้ไหม?”
เย่หยูมองไปยังฮันเสวี่ยด้วยสายตาที่มีความหวังและรู้สึกเจ็บปวดใจเกินกว่าบรรยาย
“แน่นอน! ฉันจำได้ ทั้งชีวิตนี้!”
“อืม งั้นดิล!”
ฮันเสวี่ยพยักหน้าอย่างแรง เธอเผยให้เห็นรอยยิ้มอีกครั้ง ราวกับดอกบัวหิมะที่มารวมกันใหม่กับสายฝนและดวงอาทิตย์
หลังเลิกเรียน เย่หยูกำลังจะกลับไป เสียงตะโกนจากข้างหลังทำให้เขาหยุดเดิน
“อาจารย์ซิง?”
เย่หยูหันหลังกลับไปมองซิงเหมิงที่กำลังยืนพิงกำแพง และกำลังกวักมือเรียกเขา
“มีอะไรผิดปกติรึเปล่าครับอาจารย์?”
เย่หยูมองไปนักสู้ที่ปิดบังตัวตน แล้วถามอย่างงงๆ
“ตามฉันมา!”
ซิงเหมิงไม่ได้ตอบคำถาม เขาหันกลับแล้วเดินตรงไปยังสนามโรงเรียนอย่างง่ายดาย เย่หยูลังเลสักพัก จากนั้นเขาก็ตามาอาจารย์ไปเพราะซิงเหมิงน่าจะไม่ทำร้ายเขา
ในไม่ช้า เย่หยูก็ตามหลังซิงเหมิงไปจนมาถึงสนาม
“อาจารย์ เขาเป็นยังไง?”
หยานเฟิงวูเข้ามาหาซิงเหมิงและถามถึง
ซิงเหมิงพยักหน้า
“ไม่เลว เรายังคงต้องทดสอบรายละเอียด”
เย่หยูสับสันกับการกระทำของทั้งสอง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันไปให้อาจารย์ซิงเหมิงเรียกนายมาที่นี่เอง!”
หยานเฟิงวูมองไปยังเย่หยูแล้วพูด
“ไม่อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แล้วหรอ?”
เย่หยูพยักหน้า
“อยากสิ นี่เธออยากให้อาจารย์ซิงมาสอนฉันหรอ? “
“อาจารย์ซิงเหมิงคือนักสู้ระดับ 2 กลั่นโลหิต ด้วยการแนะนำของอาจารย์ นายจะกลายเป็นผู้ฝึกหัดศิลปะการต่อสู้”
หยานเฟิงวูพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่หยูพยักหน้า ซิงเหมิงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นผู้ฝึกสอน
“งั้นผมต้องทำยังไง?”
เย่หยูมองไปยังซิงเหมิงและถามเขา
ซิงเหมิงไม่ตอบ แววตาของเขาเหมือนกับสายฟ้าขณะมองเย่หยูและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“การที่จะกลายเป็นนักสู้นั้นมันไม่ง่าย! เพียงสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อย่างแท้จริงจะทำให้สามารถปลดปล่อยศักยภาพของตัวเอง และกลายมาเป็นผู้ชำนาญศิลปะการต่อสู้! “
“และถ้าผมอยากจะควบคุมร่างกายของตัวเองได้จริงๆ งั้นผมต้องฝึกศิลปะการต่อสู้งั้นหรอ!”
ช่วงเวลาที่ซิงเหมิงพูดจบ ออร่าอันสง่างามก็พุ่งออกมาจากตัวเขา เป็นเหตุให้บรรยากาศรอบตัวเขาก็เริ่มดูอึดอัด
เย่หยูพนักหน้าอย่างตื่นเต้น ออกจะอยากรู้อยากลอง
“งั้น เรามาเริ่มกันเลยไหม??”
ซิงเหมิงโบกมือในขณะที่มองยังเย่หยูที่กำลังตื่นเต้นและยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวอาจารย์ขอดูพื้นฐานของนายก่อน”
เย่หยูค่อนข้างงง
“พื้นฐาน?”
“งั้นผมขอต่อยมวยก่อน เมื่อตอนผมฝึกศิลปะป้องกันตัวกับอาจารย์ ผมฝึกพวกท่าต่อยมาก่อน”
หยานเฟิงวูยืนอยู่ห่างจากด้านข้างและนึกย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่เธอฝึกศิลปะการต่อสู้กับ
ซิงเหมิง
เย่หยูเกาหัว
“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม?”
ซิงเหมิงพยักหน้า
“ไม่มีอะไร หลักสำคัญก็คือมองเห็นว่าร่างกายของตัวเองประสานงานกันยังไง”
“เอาแล้วหลังจากนั้น”
ขาของเย่หยูแยกออกระยะเท่ากับไหล่ เขายกแขนทั้งสองขึ้นมาช้าๆ
ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ
เคลื่อนไหวด้วยการกระโดด
ขยายทรวงอก
ออกกำลังด้วยการเตะ

แม้ซิงเหมิงและหยานเฟิงวูจะตะลึงกับกระบวนท่าการออกกำลังกายของเขา
ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะยากนิดหน่อย แต่มันก็ชัดเจนว่านั้นคือท่าออกกำลังกาย!
“พอแล้ว!”
“พอได้แล้ว! พอได้แล้ว!”
ซิงเหมิงรีบยับยั้งเย่หยูอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และจะกระโดดไปกับเย่หยู
“อาจารย์ซิง ร่างกายของผมประสานกันแล้วหรอ? “
ความจริง เย่หยูรู้สึกค่อนข้างเสียใจ ขั้นต่อไปคือการปฏิบัติอย่างจริงจังของความยากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา
มุมปากของซิงหมิงหยักขึ้น
“แม้การเคลื่อนไหวของนายจะค่อนข้าง…อะแฮ่ม… ประสานเข้ากันเป็นอย่างดี”
ซิงเหมิงไม่ได้สนใจที่เขาชมเย่หยูมากนัก เขาสำนึกได้ว่าเขาประเมิณเย่หยูต่ำเกินไป ด้วยร่างกายของเย่หยูที่ประสานกันแม้ผู้ฝึกศิลปะป้องกันตัวก็ไม่ทรงพลังเท่าเขา
“ต่อไป ฉันจะทดสอบความแข็งแกร่งและความเร็วของนาย”
ซิงเหมิงพูดต่อ
“แล้วผมจะทดสอบยังไง?”
สิ่งที่เย่หยูสนใจมันทำให้เขารู้สึกเร้าใจ ดูเหมือนว่าอาจารย์พละคนนี้จะเป็นมืออาชีพ
ซิงเหมิงงอนิ้วแล้วยิ้ม
“โจมตี!”
“โจมตีด้วยแรงทั้งหมดที่นายมี!”
เมื่อเห็นเย่หยูลังเล ซิงเหมิงพูดต่อ
“อย่าลังเล นายทำฉันเจ็บได้!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เย่หยูก็เหยียดข้อมืออกไป กำหมัดแน่นแล้วพุ่งไปยังหน้าของซิงเหมิง
ปัง!ปัง!ปัง!
เย่หยูวนไปรอบๆซิงเหมิงปล่อยการโจมตีที่รุนแรงใส่ซิงเหมิง อีกทางหนึ่งก็ยืนบล็อกการโจมตี
ของเย่หยูด้วยฝ่ามือสองข้าง
แม้การโจมตีของเย่หยูจะสะเปะสะปะ แต่ร่างกายที่ยืดหยุ่นและการประสานงานที่ดีของเขาทำให้ศอกและเข่าของเขากลายเป็นอาวุธราวกับจะต่อยซิงเหมิงอย่างบ้าคลั่ง
ตอนแรก ซิงเหมิงยังคงดูสบายๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การโจมตีของเย่หยูไม่ลดลงเลย แต่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าระห่ำ!
หยานเฟิงวูที่อยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกประหลาดใจไปด้วย เธอไม่เคยคิดว่าเย่หยูที่ไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนกลับสามารถปล่อยการโจมตีที่รุนแรงได้ขนาดนี้
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากกว่านั้นคือซิงเหมิงที่บล็อกการโจมตีของเย่หยู ในขณะที่การโจมตีของเย่หยูถี่เพิ่มขึ้นและระลอกความเจ็บปวดที่ฝ่ามือของซิงเหมิง เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเห็นปีศาจ!
โดยเฉพาะความอดทนและความแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมา มันไม่ด้อยไปกว่าของหยานเฟิงวูที่มีสายเลือดพิเศษเลย มันดูน่ากลัวมาก!
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการโจมตีของเย่หยูมีร่องรอยของออร่าที่คมชัด เขาเหมือนกับดาบที่ออกจากฟักที่กำลังปะทะกับแสงที่มองไม่เห็น