กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 643
“คุณหนูสามมีอุปนิสัยชอบใช้อำนาจเกะกะระราน หยิ่งผยองอวดดี และไร้น้ำใจไร้คุณธรรม มีเพียงไม่กี่จวนในเมืองหลวงที่ไม่เกลียดชังคุณหนูสาม และมีคนไม่กี่คนที่ให้เกียรติคุณหนูสาม หรือว่าหากในเมืองหลวงมีคนเสียชีวิต ล้วนแต่เป็นคุณหนูสามที่ฆ่า”

กู้ชูหน่วนชำเลืองมองอาจารย์ซั่งกวน

นี่เป็นคำชมหรือคำติเตียน?

ทำไมนางถึงรู้สึกว่าอาจารย์ซั่งกวนมีอคติกับนางมาก?

บอกว่านางหยิ่งผยองอวดดี นางยอมรับ

บอกว่านางมีอุปนิสัยชอบใช้อำนาจเกะกะระราน นางก็พอที่จะยอมรับได้

แต่บอกว่านางไร้น้ำใจไร้คุณธรรม?

คำนี้ไปเอามาจากไหน?

ราวกับว่านางเห็นเขาใกล้ตาย แต่ไม่ยอมช่วย

ผู้คนต่างสะอึกกับดำพูดของอาจารย์ซั่งกวนจนพูดไม่ออก

แม้ว่าคำพูดของอาจารย์ซั่งกวนจะอ่อนโยน แต่แต่ละประโยคก็สะเทือนราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ และทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก

หากพูดอีก พวกเขาก็คงจะกลายเป็นคนร้าย

แต่ก่อนรู้แค่ว่าอาจารย์ซั่งกวนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยม แต่ไม่รู้ว่าฝีปากของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน

อาจารย์ซั่งกวนยิ้มอย่างสง่างาม “คุณชายใหญ่เซี่ยว จวนแม่ทัพมีชื่อเสียงมากในรัฐเยี่ย พวกท่านคงจะไม่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองของรัฐเยี่ยใช่หรือไม่?”

คำว่ากฎหมายบ้านเมือง ดูเหมือนจะเป็นการบีบคั้นเซี่ยวอวี่ชง

เซี่ยวอวี่ชงสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเคือง และระงับความโกรธไว้ในใจ

กู้ชูหน่วนจึงได้จุดธูปกราบไหว้แม่ทัพใหญ่เซี่ยว

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องตายเปล่า”

หลังจากที่พูดจบ กู้ชูหน่วนก็ปักธูป และเมื่อผ่านเซี่ยวอวี่เซวียน นางก็กล่าวเบา ๆ อย่างอ่อนโยนว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วย”

เซี่ยวอวี่เซวียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขายังคงเผากระดาษเงินกระดาษทองอย่างเงียบ ๆ

กู้ชูหน่วนถอนหายใจและเดินออกไปจากจวนแม่ทัพ

เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในจวนแม่ทัพ ทยอยกันเดินตามออกไปด้วยแววตาที่ดุดัน

เซี่ยวอวี่เซวียนรีบโยนกระดาษเงินกระดาษทอง และกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไม่ว่าใครก็ห้ามทำร้ายแม่สาวอัปลักษณ์ หากใครกล้าเอาชีวิตนาง ก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับข้าเซี่ยวอวี่เซวียน”

“คุณชายสาม……”

“นี่เป็นคำสั่ง ใครต้องการจะฆ่านาง ก็ต้องข้ามศพของข้าไปก่อน”

กู้ชูหน่วนที่เดินออกไปถึงหน้าประตูจวนแล้ว ก็ได้ยินสิ่งที่เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวเช่นกัน ใบหน้าของนางเผยให้เห็นความกลัดกลุ้มใจ และรอยยิ้มที่ซาบซึ้งใจ

ดูเหมือนความหนักอึ้งในใจของนางจะเบาลงเล็กน้อย

อาจารย์ซั่งกวนฝืนยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูสามช่างโชคดียิ่งนัก”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว “อาจารย์ ท่านดูแลแค่การศึกษาก็เพียงพอแล้ว จะต้องดูแลเรื่องการใช้ชีวิตด้วยหรือ?”

“ในฐานะอาจารย์ นอกจากการศึกษาแล้ว ย่อมต้องดูแลเรื่องคุณธรรมด้วย”

“คุณธรรม?เหอะ…….ข้ามีปัญหาเรื่องคุณธรรมหรือ?”

“แล้วคุณหนูสามคิดอย่างไร?” นางทอดทิ้งผู้มีบุญคุณของนางไว้ขั้วโลกเหนือ และปล่อยเขาไปตามยถากรรม นี่เรียกว่ามีคุณธรรมหรือ?

หากไม่ใช่เพราะเขาโชคดี เขาคงจะตายอย่างอนาถอยู่ที่ขั้วโลกเหนือตั้งนานแล้ว คงไม่รอดกลับมาเช่นนี้ และเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูกำลังภายในของเขาได้

“หากท่านอาจารย์ซั่งกวนต้องการจะสอน ท่านก็ควรจะกลับไปที่สอนที่สำนักศึกษาวังหลวง วันนี้ข้าไม่มีเวลาจะสนใจท่าน”

กู้ชูหน่วนโบกมืออย่างหงุดหงิด

หลังจากที่รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง นางก็เจ็บปวดใจ จะมีเวลาไปสนใจเขาได้อย่างไร

ทันใดนั้นมืออันเรียวยาวของนางก็ถูกคว้าไว้ อาจารย์ซั่งกวนที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน และดึงนางให้ตามไป

“ท่านจะทำอะไร ปล่อย”

“โดดเรียนไปเสียตั้งนาน แน่นอนว่าจะพาเจ้ากลับไปเรียนเพิ่มเสริมที่สำนักศึกษาวังหลวง”

“ซั่งกวนฉู่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ?หากท่านป่วยก็รีบไปรักษา ข้าแต่งงานแล้ว ยังจะต้องไปเรียนอะไรอีก”

“แต่งงานแล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเยี่ยจิ่งหานเป็นอย่างไร ตัวเจ้าเองย่อมรู้ดี?

กู้ชูหน่วนตกตะลึง

เรื่องที่นางกับเยี่ยจิ่งหานเป็นพี่น้องกัน นางกับเขาเพิ่งจะรู้

แล้วซั่งกวนฉู่รู้ได้อย่างไร?

“ท่านรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรามาโดยตลอดใช่หรือไม่?แต่ท่านก็ยังมองดูพวกเราแต่งงานกัน?”

กู้ชุหน่วนโกรธจัดและกำหมัดแน่น

ขอเพียงอาจารย์ซั่งกวนกล้าพูดออกมาว่าใช่ นางรับรองได้ว่าหมัดของนางจะโจมตีเขาอย่างแน่นอน

อาจารย์ซั่งกวนเบือนหน้าหนี และกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เพิ่งจะรู้”

“เหอะ……เพิ่งจะรู้?อาจารย์ซั่งกวน ท่านช่างได้รับข่าวสารไวยิ่งนัก

นางกับเยี่ยจิ่งหานเพิ่งจะรู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ข่าวยังไม่ทันจะรั่วไหล ซั่งกวนฉู่ก็รู้แล้ว?

กู้ชูหน่วนสงสัยตัวตนที่แท้จริงของซั่งกวนฉู่ รวมทั้งเขามีสายลับที่แฝงตัวอยู่ในจวนหานอ๋องมากแค่ไหนกัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่สามารถคาดเดาความคิดของชายผู้นี้ได้เลย

ลึกล้ำมากเกินไป

“ในเมื่ออาจารย์ซั่งกวนรู้แล้วว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน ท่านก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้จิตใจของข้าย่ำแย่มากแค่ไหน ทางที่ดีท่านอย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า”

กู้ชูหน่วนสะบัดมือออก และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

นางคิดว่าด้วยนิสัยของอาจารย์ซั่งกวน เขาจะต้องตามมา และทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจอีกครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ซั่งกวนจะไม่ตามมา และไม่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ

แต่กลับ……นางได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ของอาจารย์ซั่งกวน

เสียงถอนหายใจนี้มีหลากหลายอารมณ์ นางไม่รู้ว่าอาจารย์ซั่งกวนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หรือว่ากำลังสงสารนางอยู่กันแน่

อย่างไรก็ตาม นางได้พบกับคนคนหนึ่งที่คิดไม่ถึง

ลั่วอิ่ง

เขามาลอบสังหารนางเช่นเคย

แต่ถูกผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ นางจับตัวไว้ เขาถูกสกัดจุดและโยนไปตรงหน้านางอีกครั้ง

กู้ชูหน่วนเอามือกอดอกแล้วมองไปที่เขาอย่างเย็นชา “จักรพรรดิฉู่และอัครมเหสีฉู่ปล่อยเจ้าแล้วหรือ?”

ลั่วอิ่งไม่ยอมหันมา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการตอบคำถามของนาง

“หากให้ข้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าตกอยู่ในมือของข้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?ครั้งที่สาม?หรือว่าครั้งที่สี่?”

“ดูเหมือนว่าจะหลายครั้งจนข้าก็จำไม่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงปล่อยเจ้าไปตลอด?นอกจากเจ้าจะหน้าตาเหมือนเยี่ยเฟิงแล้ว ข้ายังรู้สึกว่าเจ้าน่าสงสารมาก”

กู้ชูหน่วนพูดคำว่าน่าสงสารอย่างหนักแน่น แต่ไม่ได้อธิบายว่าเขาน่าสงสารตรงไหน และบอกให้ฝูกวงปล่อยเขาไป

ฝูกวงตกใจ “นายท่าน คนผู้นี้วรยุทธสูงส่ง ทุกครั้งที่จับตัวเขา ผู้น้อยต้องสิ้นเปลืองกำลังเป็นอย่างมาก เขาไม่มีทางรามืออย่างแน่นอน

“บอกให้เจ้าปล่อยเจ้าก็ปล่อยไปเถอะ” ขอเพียงแค่เขาเป็นพี่น้องของเยี่ยเฟิง นางไม่มีทางที่จะฆ่าเขา

“ขอรับ…..”

เมื่อรู้ว่ากู้ชูหน่วนกำลังอารมณ์ไม่ดี ฝูกวงจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงปล่อยเขาไปและในขณะเดียวกันก็กล่าวอย่างเย็นชา

“หากคราวหน้าเจ้ายังกล้าลอบสังหารนายท่านของข้าอีก ต่อให้นายท่านของข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป”

ลั่วอิ่งไม่แม้แต่จะเหลือบมองกู้ชูหน่วน เขาหันหลังและจากไปในทันที

ฝูกวงไม่สบอารมณ์

กู้ชูหน่วนกล่าวว่า “ไป ตามไป”

“ตามไป?”

“ตามไปดูว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเขาคือใคร?”