ตอนที่ 363 สงสารไม่ลง

ตอนที่ 363 สงสารไม่ลง

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ที่ผมพูดมาก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์นะ!”

“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะพี่สะใภ้สามของฉันใจเย็นต่างหากล่ะ!”

“ก็ได้ ๆๆ พี่สะใภ้สามของคุณเก่ง พวกเราต้องเรียนรู้จากพี่สะใภ้สามของคุณ!” จ้าวเหวินเทาก้มหน้าพูดกับเสี่ยวไป๋หยาง “เสี่ยวไป๋หยาง ลูกว่าจริงไหม?”

เสี่ยวไป๋หยางหาวใส่จ้าวเหวินเทา

“ในที่สุดเด็กคนนี้ก็จะนอนสักทีนะ” เย่ฉูฉู่เดินไปอุ้มลูกชายขึ้นมาเพื่อถอดเสื้อ “พี่สะใภ้สามบอกว่าต่อให้พี่สี่ไปทางใต้ แต่หลังจากใจเย็นลงแล้วก็คงโทรศัพท์กลับมา”

 

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า ตอนนี้รอไปก่อนเถอะ ร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์

เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวเหวินเทาขับรถไปในเมืองแล้ว เย่ฉูฉู่กินมื้อเช้าเสร็จก็เข้ามาเก็บกวาดห้อง เนื่องจากอากาศค่อนข้างหนาว เธอจึงเผาเตาและกรอกน้ำลงไปในเหยือกน้ำ ตอนที่กำลังจะทำงาน พี่สะใภ้สี่จ้าวก็อุ้มลูกมาหาที่บ้าน

“น้องสะใภ้หก!” พี่สะใภ้สี่จ้าวเดินเข้ามาพร้อมกับไอหนาวที่ปกคลุมทั่วทั้งตัว

“พี่สะใภ้สี่มาแล้วเหรอคะ รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ” เย่ฉูฉู่อุ้มเสี่ยวไป๋หยางเดินนำพี่สะใภ้สี่จ้าวเข้าไปในบ้าน

“บ้านเธอนี่อบอุ่นดีนะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวนั่งลงที่ข้าง ๆ เตียง

“ฉันอุ่นเครื่องทำความร้อนไว้น่ะค่ะ วันนี้อากาศครึ้ม ๆ แอบหนาวนิดหน่อยด้วย” เย่ฉูฉู่รินน้ำชาร้อนให้อีกฝ่าย

พี่สะใภ้สี่จ้าวดื่มชาหนึ่งอึก “สะใภ้หก เธอรู้เรื่องที่พี่สี่ของเธอไปทางใต้แล้วใช่ไหม?”

“รู้แล้วค่ะ เมื่อคืนพี่สามกับหัวหน้าหมู่บ้านมาบอกแล้ว พี่สะใภ้สี่อย่าเป็นกังวลเลย พี่สี่อาจจะพูดไปงั้นก็ได้” เย่ฉูฉู่ทำได้เพียงแค่ปลอบใจเช่นนี้

พี่สะใภ้สี่ปาดน้ำตา “พี่สี่ของเธอคงไม่คิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับฉันแล้ว ฉันไม่หย่าเขาก็เลยทิ้งฉันไป ถ้ามีลูกชายเขาก็คงไม่ทำแบบนี้”

เอาอีกแล้ว! เย่ฉูฉู่ฟังจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว “พี่สะใภ้สี่ เรื่องนี้เกี่ยวกับการที่พี่ไม่มีลูกชายตรงไหนคะ พี่อย่าเอาทุกเรื่องไปคิดเหมารวมกับเรื่องนี้สิ!”

“เธอมีลูกชายก็คงไม่คิดแบบนี้อยู่แล้ว เธอไม่รู้ถึงปัญหาที่ฉันเจอหรอก!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดราวกับมีเหตุผลอย่างมาก “ฉันไม่มีลูกชาย แม้แต่แม่แท้ ๆ ก็ยังรังเกียจฉัน อย่าว่าแต่พี่สี่ของเธอเลย ผู้ชายต่างก็อยากได้ลูกชายกันทั้งนั้น พอไม่มีลูกชายจิตใจของเขาถึงได้เปลี่ยนไป! ใจของพี่สี่เธอก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน!”

เย่ฉูฉู่ถอนหายใจ เธอพยายามพูดคุยกับพี่สะใภ้สี่จ้าวอย่างอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่คุยกันได้ไม่กี่ประโยคก็ไปต่อไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“พี่สะใภ้สี่ มาที่นี่มีธุระอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถามออกไปตรง ๆ มีธุระก็รีบพูดมา ไม่มีก็กลับไปเถอะ

พี่สะใภ้สี่จ้าวตอบ “ฉันได้ยินมาจากพี่สามของเธอว่าวันนี้น้องหกไปหาพี่สี่ของเธอในเมือง ก็เลยแวะมาถามดู”

“ค่ะ เหวินเทาไปตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พี่สะใภ้สี่ก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ เพราะบางทีอาจไม่เจอพี่สี่” เย่ฉูฉู่พูดให้อีกฝ่ายเข้าใจก่อน เพราะกลัวว่าถึงเวลานั้นพี่สะใภ้สี่อาจบ่นพวกเธอได้

“แล้วจะทำยังไงล่ะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวร้องไห้ “จะไปหาเขาจากที่ไหน!”

“พี่สะใภ้สี่ เรื่องนี้ไม่มีใครทำอะไรได้หรอกค่ะ ถ้าไปหาในเมืองแล้วไม่เจอ ก็คงต้องรอให้พี่สี่โทรกลับมาเอง หรือไม่ก็รอให้พี่เขากลับมาที่นี่” เย่ฉูฉู่พูดอย่างใจเย็น “พี่ก็อย่าเป็นกังวลให้มากเกินไปเลย พี่สี่ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ เป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นแล้ว ออกไปข้างนอกไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

“เธอพูดง่ายดีนี่! ด้านนอกวุ่นวายขนาดไหน ออกไปขนข้าวสารกับน้องหกก็ถูกดักปล้นระหว่างทาง ออกไปครั้งนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเราสี่คนแม่ลูกจะใช้ชีวิตกันยังไง!” พี่สะใภ้สี่จ้าวเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

เสี่ยวไป๋หยางมองพี่สะใภ้สี่จ้าวด้วยความฉงน ก่อนจะหันมามองแม่ของตนเอง ท้ายที่สุดจึงมองไปที่อู่หยา

อู่หยาอายุมากกว่าเสี่ยวไป๋หยางหนึ่งเดือน ตอนนี้อายุหนึ่งขวบกว่า ๆ แล้ว ดวงตากลมโตรับกับคางเรียวดูงดงามมาก สายตาก็ดูชาญฉลาดมากด้วย เธอมองมาที่เสี่ยวไป๋หยางก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา

เสี่ยวไป๋หยางก็หัวเราะตาม ยื่นมือชี้อู่หยาพร้อมกับส่งเสียงคุยอ้อแอ้ ๆ

 

“นี่คือพี่สาวคนที่ห้าของหนูนะ” เย่ฉูฉู่บอกกับเสี่ยวไป๋หยาง ก่อนจะหันมาพูดกับอู่หยาว่า “อู่หยา นี่คือน้องชายเสี่ยวไป๋หยางนะคะ”

อู่หยาทำท่าทางไม่สนใจ เบือนหน้าหนีและซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่สะใภ้สี่จ้าว

“พี่สะใภ้สี่ อู่หยาหน้าตาดีจริง ๆ อายุขวบกว่า ๆ แล้วใช่ไหมคะ พี่จัดงานวันเกิดให้ยังไงเหรอ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

คุยแต่เรื่องพี่สี่จ้าว พูดมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์

“ลูกสาวแค่คนเดียว จะไปฉลองวันเกิดอะไรล่ะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยท่าทางรังเกียจอย่างมาก “ถ้ามันเป็นลูกชาย พี่สี่จ้าวของเธอก็คงไม่ทอดทิ้งพวกเราแล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวหรอก!”

เย่ฉูฉู่ถอนหายใจอย่างหมดแรง

“เสี่ยวไป๋หยางฉลองวันเกิดรึยัง?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถาม

“ฉลองแล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่ตอบ “เหวินเทาไม่อยู่บ้าน ฉันทำบะหมี่ทำมือไว้นิดหน่อย แล้วก็ทอดไข่ดาวอีกสองฟอง”

พี่สะใภ้สี่จ้าวก็พูดคล้อยตามหัวข้อสนทนานี้ “ฉันต้มบะหมี่ ป้อนไปครึ่งถ้วย วันเกิดของลูกคือวันลำบากของแม่จริงๆ!”

“พี่สะใภ้สี่พูดถูก คลอดลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ” เย่ฉูฉู่พูดและเปลี่ยนไปคุยหัวข้อสนทนาอื่น “โรงเต้าหู้ของพี่สามเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ฉันยังไม่ได้ถามเลย” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “พอพี่สี่ของเธอหนีไปฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น”

 

“พี่สะใภ้สี่ ถ้าพี่สามสร้างโรงเต้าหู้ขึ้นมา พี่จะไปทำเต้าหู้ที่นั่นไหมคะ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “นี่ถ้าเป็นแบบนั้นพี่สะใภ้สี่ก็คงเหมือนกับคนในเมืองเลย ได้เข้างานและเลิกงานทุกวัน”

 

คำพูดประโยคนี้ของเย่ฉูฉู่กลับเป็นการเตือนสติพี่สะใภ้สี่จ้าว “จริงสิ ถึงเวลานั้นเอาอู่หยาไปฝากให้แม่ช่วยดูให้ ให้นมลูกก็สะดวกด้วย แบบนี้คงดีมากเลย!”

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “นั่นสิคะ ประหยัดเวลาต้องเทียวมาเทียวไปด้วย”

 

พี่สะใภ้สี่จ้าวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี “โรงเต้าหู้สร้างเสร็จ พี่สามก็คงทำเต้าหู้ตลอดทั้งปี ฉันก็ทำงานอยู่ที่โรงเต้าหู้ทั้งปีได้แล้ว เธอว่ารายได้จะเยอะกว่าพืชผลในไร่ในสวนไหม?”

เย่ฉูฉู่ตอบ “ทำไมพี่สะใภ้สี่ถึงถามแบบนี้ล่ะคะ?”

 

“เธอคงไม่รู้ ปีนี้เป็นเพราะยัยเด็กบ้านี่ ฉันเลยต้องวิ่งไปกลับระหว่างบ้านกับทุ่งนา วิ่งจนขาของฉันแทบจะหักแล้ว นี่ถ้ารายได้จากโรงเต้าหู้สูงกว่าการทำไร่ทำนา ฉันคงไม่ไปทำไร่ก่อน คงทำงานอยู่ในโรงเต้าหู้นี่แหละ ให้นมลูกก็สะดวกด้วย รอให้ลูกหย่านมเมื่อไรค่อยกลับไปทำไร่” พี่สะใภ้สี่จ้าวตอบ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับพี่สี่ของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้แม่ช่วยเลี้ยงอู่หยาให้ แต่เป็นเพราะให้นมลำบาก จะพาไปทำนาทำไร่ด้วยก็ทำให้การทำงานล่าช้าอีก”

เย่ฉูฉู่คิดว่าพี่สะใภ้สี่คิดตื้นเกินไปจริง ๆ พี่สามจ้าวงกขนาดนั้น จะให้เงินหล่อนสักเท่าไรกันเชียว!

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นพี่ก็ลองถามพี่สามดูสิคะ” เย่ฉูฉู่ตอบ “พี่สะใภ้สี่ อู่หยาพูดอะไรเป็นบ้างแล้วล่ะ?”

“ด่าคนเป็นแล้ว!” พี่สะใภ้สี่จ้าวตอบ “ยัยเด็กนี่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ด่าคนเก่งที่หนึ่งเลย!”

นี่คงเป็นสิ่งที่คนเป็นแม่อย่างพี่สอนไว้สินะ? เย่ฉูฉู่แอบบ่นในใจ

 

พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงกระต่ายที่บ้าน หล่อนก็อุ้มลูกกลับไป เย่ฉูฉู่เดินออกมาส่งนอกบ้าน พี่สะใภ้สี่จ้าวก็พูดเคล้าน้ำตาว่า “สะใภ้หก ถ้าพี่สี่ของเธอโทรศัพท์กลับมา เธอช่วยโน้มน้าวใจให้เขากลับบ้านด้วยนะ ฉันอยู่บ้านคนเดียว บ้านใหญ่โตขนาดนั้น ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ ตอนนี้มีพี่สะใภ้รองมาอยู่เป็นเพื่อนก็จริง แต่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวอยู่ดี”

เย่ฉูฉู่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา พยักหน้าตอบ “พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดให้ค่ะ”

พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงปาดน้ำตาและเดินกลับไป

ช่วงค่ำจ้าวเหวินเทาขับรถกลับมา แค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่าไม่เจอตัวพี่สี่จ้าว

“พี่เฉินไปถามที่สถานีขนส่งสินค้ามาแล้ว เจอรถแล้ว แต่พี่สี่นั่งรถพวกเขาเข้าไปถึงในเมืองก็ลงจากรถแล้วเดินไปเลย พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน” จ้าวเหวินเทาล้างหน้าพลางกล่าวว่า “ผมไปถามที่สถานีรถไฟมาแล้ว รถของเมื่อวานช่วงบ่ายกับช่วงค่ำไปที่เมืองหลวงหลายเที่ยว ถ้าจะไปทางใต้ก็ต้องนั่งไปถึงเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยต่อรถไปอีกทอดหนึ่ง”

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คุยกับสะใภ้สี่ทีไรเหมือนต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ เหนื่อยใจแทนฉูฉู่เลยค่ะ

พี่สี่น่าจะอยู่เมืองหลวงแล้วหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)