บทที่ 143 นายไป ผู้หญิงคนนี้ต้องอยู่ต่อ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เชอร์รีนเป็นเหมือนจุดอ่อนของเขา เมื่อพูดถึงก็จะรู้สึกโกรธจนขาดสติทันที

“ใครบอก?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นชา

“ไม่มีใครพูดทั้งนั้น ฉันแค่เดา สามปีก่อนนายถ่ายรูปกับฉันได้ แต่สามปีหลังกลับไม่ยอมถ่ายด้วย งั้นก็คงมีเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ นั่นก็คือเชอร์รีน เธอเป็นภรรยาของนาย นายจะต้องกลัวเธอแน่นอน ดังนั้นเลยปฏิเสธฉันแบบนี้ ไม่ใช่หรือไง?”

กลัวเชอร์รีนงั้นเหรอ กลัวผู้หญิงที่บอกว่าเกลียดตัวเองและคิดจะหย่ากับตัวเองตลอดเนี้ยนะ น่าขำสิ้นดีเลยนะ……

ขณะเดียวกัน ออกัสก็แสยะยิ้มเย็นชา แล้วพูดกับหยาดฝนว่า: “ผู้หญิงที่คิดจะหย่ากับฉัน เธอคิดว่าฉันจะกลัวหล่อนงั้นเหรอ?”

ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน กล้าท้าทายเส้นตายและความอดทนของเขาขนาดนี้มาก่อน!

ผู้หญิงที่ปากบอกเกลียดเขาและอยากจะหย่ากับเขาตลอดเวลาแบบนั้น เขาไม่มีเธอแล้ว ชีวิตของเขาก็ดำเนินต่อไปได้ดีเหมือนเดิม!

เธอคิดจริงเหรอว่า เขาจะขาดเธอไปไม่ได้?

แต่ว่า พอหยาดฝนได้ยินแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าเขากำลังให้คำมั่นสัญญากับเธออยู่ และทำให้เธอรู้สึกดีใจและตื่นเต้นไปตามๆกัน

เขาจะหย่ากับเชอร์รีนแน่นอน!

ถ้า เขากับเชอร์รีนหย่ากันแล้ว งั้นเธอ……

ตอนนี้ ถ่ายหรือไม่ถ่ายรูปกับเธอ มันไม่สำคัญแล้วล่ะ ที่สำคัญคือ เธอรู้ว่าในใจเขามีเธอ แค่นี้ก็พอแล้ว อีกอย่าง ต่อไปเขาจะกลายเป็นของเธอโดยสมบูรณ์แล้วด้วย!

รอยยิ้มบนใบหน้าของหยาดฝนดูพร่าเลือนและสดชื่นมากขึ้นเรื่อยๆในละอองฝน เธอยืนต่อหน้าเขานิ่งๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา

เธอเป็นคนใจเย็นเงียบสงบ ตอนนี้กลับร้อนรนดั่งไฟที่ปะทุขึ้นมา ไม่มีอะไรมาดับได้

แขนเรียวยาวดั่งรากบัว โอบคอเขาเอาไว้แล้วเขย่งเท้าขึ้นมา

มือเล็กจับมือใหญ่ของเขาไว้ แล้ววางไว้ตรงเอวบางของตัวเอง จากนั้นก็ขยับตัวแนบกับเขาไว้

เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งทำถึงขั้นนี้แล้ว งั้นความหมายและการบอกเป็นนัยที่แสดงออกมาก็ชัดเจนมากขึ้น

เธออยากได้……เขา……

ออกัสจ้องเขม็งต่อมาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา การกระทำที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ และยังมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก

แต่ว่า ความแปลกใจนี้คงอยู่ไม่นาน มือใหญ่วางลงบนไหล่ของเธอ แล้วผลักเธอออกไป

แก้มสองข้างของหยาดฝนแดงก่ำ เธอจ้องมองเขานิ่งๆ ดวงตาเหมือนดั่งห่อหุ้มหยดน้ำเอาไว้

แต่ออกัสไม่หวาดหวั่น เขาดมกลิ่นที่ห้อมล้อมอยู่เต็มจมูกตัวเอง นึกถึงกลิ่นส้มหอมอ่อนๆ

ตอนนี้เอง หยาดฝนถึงรู้ตัวว่า ที่นี่คือถนน แม้จะเงียบมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนเดินผ่านมา และตัวเองเมื่อกี้ก็ยัง……

ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ เธอหายใจถี่เล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ออกัส ของที่ฉันซื้อไว้ตอนเช้าลืมไว้ที่คฤหาสน์น่ะ ฉันรอนายที่นี่แล้วกัน จากนั้นพวกเราค่อยเดินขึ้นเขากันต่อ”

ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย และออกเสียงครางในลำคอ ต่อมาเขาก็กลับหลังหันเดินลงเขาไปด้วยแววตามืดมน

พอเขาไปแล้ว หยาดฝนก็ถึงถอนหายใจ เธอยืนอยู่กับที่ รู้สึกมองผ่านละอองฝนนี้ ดวงตาเป็นประกาย เธอขยับร่างกายและเต้นอยู่กับที่

อ้อมป่าไผ่ไป เชอร์รีนเหลือบตาไปเห็นภาพนี้พอดี เธอกระตุกมุมปากโดยไม่มีรอยยิ้มใดๆ มีเพียงความประชดและหดหู่ใจก็เท่านั้น

เป็นเรื่องที่มีทั้งสุขและเศร้าจริงๆ สำนวนนี้ดูเหมาะสมกับสถานการณ์แบบนี้มาก

เธอไม่ได้มองหยาดฝนนาน แต่แค่มองด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินขึ้นเขาต่อไป

แม้จะเป็นภูเขา แต่ก็ไม่คดเคี้ยวเท่าไหร่ ถนนที่สร้างขึ้นใหม่ก็เรียบมาก มองดูบรรยากาศภูเขาภายใต้ละอองฝน ดูไม่เลวเลยจริงๆ อย่างน้อย……บรรยากาศที่เปิดกว้างแบบนี้……คงจะทำให้จิตใจเธอสงบและขจัดความหมองเศร้าออกไปได้……

แน่นอน หยาดฝนก็เห็นเชอร์รีนแล้วเหมือนกัน ก็เห็นว่าตัวเองลืมตัว เธอรู้สึกอับอาย แต่ก็เดินตามหลังเธอขึ้นไปบนภูเขา

แต่ว่า ทั้งสองไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ด้านหลังมีชายสองคนแอบเดินตามหลังมา แถมยังแอบกระซิบกันเสียงเบา แต่ว่า สายตาที่มองมากลับดูเจ้าเล่ห์และอันตรายมาก!

หน้าหลัง เชอร์รีนได้ยินเสียงเท้าเดินจากด้านหลัง เธอไม่ได้หันกลับไปมอง สำหรับหยาดฝนแล้ว เธอก็เกลียดมากอยู่แล้ว

หล่อนชอบเดินตามหลังก็เป็นเรื่องของหล่อน ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย

ภูเขาไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้เตี้ยมาก ยังดีที่บรรยากาศไม่เลว ทำให้เรื่องเศร้าๆหายไปได้มากเลยล่ะ

ผ่านไปประมาณสี่ถึงห้าสิบนาที ก็ถึงยอดเขาแล้ว เพราะฝนตก อากาศจึงค่อนข้างสดชื่น บนเขายังมีหมอกเล็กน้อย

เป็นฝนฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพอตกลงกระทบบนตัวก็ดูนุ่มนิ่มมาก ไม่ทำให้คนรำคาญแต่กลับทำให้คนรู้สึกชอบ

ฝนตกปรอยๆเหมือนหมอกควัน สายลมพัดผ่านโชยมา การได้ยืนบนยอดเขาช่างเป็นความเพลิดเพลินอย่างแท้จริง

พอมองรอบๆแล้ว เธอก็เหลือบเห็นหยาดฝนมายืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าหล่อนมาถึงบนยอดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่ว่า ความคิดทัศนคติแตกต่างกัน แม้ทั้งสองจะยืนใกล้กันมากแค่ไหน เธอก็ไม่มีความคิดที่จะพูดกับหล่อนเลย

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทั้งสองยังเกลียดกันมากด้วย จึงไม่จำเป็นต้องพูดกัน

สักพัก ฝนกลับตกหนักมากขึ้น จะยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว และตรงหน้าก็มีศาลาพอดี สามารถไปนั่งหลบฝนได้

เชอร์รีนก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เธอได้ยินหยาดฝนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหลังอย่างชัดเจน น้ำเสียงอ่อนโยนเบาบางจนเหมือนลมพัดผ่าน: “ออกัส ฉันอยู่บนยอดเขาแล้วนะ อืม อย่าลืมเอาร่มมาด้วยล่ะ……”

คำพูดพวกนั้นเป็นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเธอ เจ็บปวดจนชินชาไปหมด

นั่งลงบนที่นั่งในศาลา หยาดฝนก็นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ เชอร์รีนทำเหมือนหล่อนเป็นอากาศ เธอแค่นั่งลงแล้วมองดูข้างหน้า เห็นยอดภูเขารางๆ

ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงเท้าเดินดังขึ้น เชอร์รีนลุกขึ้น ขมวดคิ้ว ไม่ได้หันหน้ากลับไป เธอเดินออกไปโดยไม่คิดอะไรเลย

คฤหาสน์และภูเขาลูกนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว คนที่เข้ามาได้นอกจากจะเป็นเจ้าหน้าที่แล้ว ก็คือเขา

ตอนนี้ฝนตกหนักขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มีทางขึ้นมาหรอก และเขาเมื่อกี้เพิ่งคุยกับหยาดฝนเสร็จ ไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครล่ะ?

แต่ว่า เพิ่งเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหยาดฝนดังขึ้น: “พวกนายจะทำอะไรน่ะ?”

เธอรีบยืนนิ่งแล้วหันหน้ากลับไป แต่กลับเห็นชายสองคนที่สวมชุดเจ้าหน้าที่กำลังเดินมาทางนี้ ในมือถือมีดเอาไว้ มีดนั้นดูแหลมคมมาก

หยาดฝนเดินถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้างดงามนั้นแม้จะซีดเซียว แต่ก็ยังตั้งสติได้อยู่

ในขณะเดียวกัน ทั้งสองก็เห็นเชอร์รีนที่อยู่ข้างๆเหมือนกัน พวกนั้นรีบแบ่งหน้าที่กัน ขวางเธอกับหยาดฝนไว้ตรงกลาง

“พวกนายจะทำอะไร?” เชอร์รีนตั้งสติแล้วมองสองคนตรงหน้า แล้วมองสภาพแวดล้อมรอบๆด้วย ด้านหลังก็คือหน้าผา ทางเดียวที่หนีไปได้ก็ถูกพวกนั้นขวางไว้แล้ว ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย

แต่สองคนนั้นดูเหมือนจะวางแผนมานาน งั้นก็สามารถคาดเดาได้ว่า พวกนั้นจะเอาเงิน ไม่งั้นก็มีบาดหมางกับพวกเขา หลักๆก็มีเหตุผลแค่นี้แหละ

“ของที่พวกเราอยากได้ เธอให้ได้งั้นเหรอ?” ผู้ชายถือมีดไว้แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“นอกจากเงิน พวกนายยังอยากได้อะไร?”

“ก็ต้องเป็นชีวิตสิ!”

หยาดฝนขมวดคิ้ว: “แต่ว่า พวกเราไม่มีเรื่องบาดหมางกัน แถมยังไม่เคยเจอหน้ากันด้วย ทำไมถึงอยากได้ชีวิตของพวกเราล่ะ?”

“พวกเธอไม่มีบาดหมางกับพวกเราก็จริง แต่บางคนกลับมีบาดหมางกับพวกเรา พูดให้ชัดเลยก็คือ พวกเธอจะเป็นแพะรับบาปแทน!”

ชายหนุ่มที่ถือมีดอีกคนก็พูดขึ้นว่า: “พวกเธอสองคน คนหนึ่งเป็นภรรยาของเขา อีกคนเป็นคนรักของเขา จับปลาสองมือ คงจะมีความสุขมากสินะ แต่กลับทำร้ายพวกเราถึงขั้นที่ว่า ครอบครัวแตกแยก ขนาดหาข้าวกินยังยากเลย พวกเราจะปล่อยเขาไปได้ยังไง?”

หยาดฝนก็เข้าใจสาเหตุบ้างแล้ว เธอส่ายหน้าแล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า: “ออกัสไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ถ้าไม่มีเหตุผล เขาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน สาเหตุจะต้องมาจากตัวพวกนายสองคนนั่นแหละ”

ได้ยินแบบนั้นแล้ว สีหน้าของทั้งสองก็ดูโหดเหี้ยมมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาจ้องมองหยาดฝนด้วยแววตาเย็นชา หนึ่งในนั้นแววตาของเขาดูเย็นชาและบ้าคลั่งมาก ทำให้คนไม่รู้ว่าวินาทีต่อไป พวกเขาจะทำอะไรที่บ้าคลั่งหรือเปล่า

หยาดฝนรู้สึกหวาดกลัว และถอยหลังไปช้าๆ แต่เชอร์รีนกลับพูดขึ้นมาตอนนี้: “พวกนายตามพวกเรามาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ พวกเราเริ่มตามมาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันจะบอกอะไรให้เธอนะ ตอนที่เธอยังไม่ขึ้นภูเขา สามีเธอกับแม่นี่กำลังกอดและจูบกันด้วย!”

ชายหนุ่มถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ความบ้าคลั่งของเขาหายไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่เชอร์รีน