ตอนที่ 302 ความตรงไปตรงมา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บรรยากาศภายในห้องปรองดองและกลมกลืนเป็นอย่างมาก เหล่าผู้อาวุโสล้วนมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย ทว่าไม่มีใครพูดอะไรมากนัก

จากนั้นภายใต้การส่งสัญญาณของเยว่ชิง หลัวหลินก็อธิบายให้ฉินอวี้โม่ได้รู้เกี่ยวกับข้อมูลที่จำเป็น

ในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมช่างหลอม ฉินอวี้ไม่จำเป็นที่จะต้องประจำอยู่ในสมาคมหรือทำอะไรเพื่อสมาคมช่างหลอม

อย่างไรก็ตาม เมื่อสมาคมตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่ นางจะต้องพยายามช่วยในสิ่งที่ทำได้อย่างเต็มที่

นอกเหนือจากนี้ ฉินอวี้โม่ก็จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย

ตัวอย่างเช่น นางสามารถเลือกใช้วัสดุในคลังสมบัติของสมาคมช่างหลอมได้ตามต้องการและสามารถเรียกใช้เจ้าหน้าที่บางส่วนของทางสมาคมช่างหลอมได้

ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด สถานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของฉินอวี้โม่ก็ถือว่าส่งผลดีและไม่มีพิษภัยต่อนาง

เมื่อได้ยินคำอธิบายจากหลัวหลิน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะแสดงออกถึงการรับรู้และการเข้าใจ

“แน่นอนว่าหากเจ้ายินดีและมีเวลามากพอ เราก็ไม่มีปัญหาหากว่าเจ้าจะสอนหรือชี้แนะบรรดาศิษย์ในสมาคม”

ผู้อาวุโสยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ

“ฮ่าๆๆ”

ทุกคนในที่ประชุมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น

เมื่อเห็นความกลมเกลียวของคนเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ก็ใคร่ครวญครู่ใหญ่และตัดสินใจที่จะชี้แจงสถานะของตนเองให้ชัดเจนเสียก่อน

นางรู้สึกได้ว่าบรรดาผู้อาวุโสในสมาคมช่างหลอมเหล่านี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง ทว่าพวกเขาเพียงแต่รักในศาสตร์การหลอมอย่างมากและหวังว่าศาสตร์เหล่านี้จะได้รับการสืบสานต่อไปในภายภาคหน้า

ในเมื่อตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของทางสมาคมแล้ว นางก็ไม่อยากปิดบังสถานะของตนเองอีกต่อไป

“ท่านประธานเยว่ชิง เรื่องตัวตนที่แท้จริงของข้า…ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นตั้งแต่ตอนนี้”

เมื่อสิ้นเสียงของนาง ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นยืนก่อนค่อยๆถอดหน้ากากที่บดบังใบหน้าออก

จากนั้นเยว่ชิงและคนอื่นๆก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของ ‘อวี๋โม่’ อย่างชัดเจนและทุกคนก็ตะลึงงัน

พวกเขาทราบอยู่แล้วว่าคนตรงหน้ามีอายุเพียงสิบเก้าปี แต่ก็ไม่คิดว่า ‘เขา’ จะดูเยาว์วัยมากเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น รูปลักษณ์ใต้หน้ากากของฉินอวี้โม่ก็เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก พวกเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะเป็นเพียง ‘บุรุษหนุ่ม’ ธรรมดาทั่วไป ไม่คิดเลยว่า ‘เขา’ จะหล่อเหลาและรูปงามถึงเพียงนี้

เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากพลางยืดแขนออกไปช้าๆเพื่อปลดยางรัดผมและถอดลูกกระเดือกปลอมออกจากคอ

ภายในพริบตา ใบหน้าของหญิงงามที่สะท้านทั้งแผ่นดินก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน

เยว่ชิงและคนอื่นๆยังคงตกตะลึงกับการกระทำของฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อนางถอดลูกกระเดือกปลอม พวกเขาก็พอจะเข้าใจบางอย่างมากขึ้น

และทันทีที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

พวกเขาไม่คิดเลยว่าแท้ที่จริงแล้ว ‘อวี๋โม่’ จะเป็นสตรีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้

“เอ่อ… อวี๋โม่ เจ้า….”

ประธานสมาคมถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสอายุมาก ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ในตอนนี้และรู้ว่านางเป็นสตรีปลอมตัวมา พวกเขาก็ชะงักค้างไป จากนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นบุรุษหนุ่มลึกลับ ทว่าเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้ว ‘เขา’ เป็นสตรี สถานการณ์จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ฮ่าๆๆ ข้าเคยกล่าวไว้ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องคนอย่างเจ้ามาก่อนในดินแดนนี้ ตอนนี้ที่ได้เห็นใบหน้าและตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ข้อกังขาในหัวใจของข้าก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว”

จู่ๆเย่าเหยียนก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

พวกเขาเหล่านี้สงสัยและสับสนเกี่ยวกับตัวตนของ ‘อวี๋โม่’ มาตลอด ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้มีอิทธิพลในดินแดนอ้างว้าง หากมีบุรุษหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดน มันก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีข่าวคราวหรือข้อมูลใดๆเกี่ยวกับตัวเขาเลย

ก่อนหน้านี้ พวกเขาคาดเดาไปต่างๆนานา ทว่าไม่มีใครคาดเดาได้ถูกต้อง บัดนี้เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรี พวกเขาก็ทราบทันที ไม่ว่าจะด้วยอายุหรือจังหวะเวลาที่ปรากฏตัว เย่าเหยียนก็นึกถึงบางอย่างได้ในทันที

“ฮ่าๆๆ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงบอกว่าตนเองมีศัตรูที่ไม่ธรรมดาอยู่”

กู่หยวนอดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าศัตรูที่ฉินอวี้โม่กล่าวถึงคือเฟิงอู๋ อย่างไรก็ตาม เมื่อไตร่ตรองดูแล้วเขาก็รู้ว่าคิดผิด เพราะว่าความบาดหมางระหว่างเฟิงอู๋และฉินอวี้โม่เป็นสิ่งที่เขาและคนอื่นๆรับรู้อย่างชัดเจนและนางไม่ได้เอ่ยถึงมันเป็นกรณีพิเศษ

บัดนี้เมื่อคาดเดาตัวตนแท้จริงของฉินอวี้โม่ได้แล้ว เขาจึงรู้ไปโดยปริยายว่าศัตรูของนางคือใคร

เมื่อได้ยินวาจาและเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ของเย่าเหยียนและกู่หยวน เยว่ชิงก็เรียกสติกลับมาในทันที เขามองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม

มีเพียงบรรดาผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอมคนอื่นๆเท่านั้นที่ยังคงงุนงง พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งสี่คนกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร

“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสตรีที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ใช่รึไม่”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสี่ที่ยังคงสับสน หลัวหลินจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฉินอวี้โม่งั้นรึ?”

ผู้อาวุโสทั้งสี่ชะงักค้างไปเล็กน้อยและไตร่ตรองครู่หนึ่ง

“ข้าเคยได้ยินเรื่องของสตรีที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ นางโด่งดังเลื่องชื่อขึ้นมาหลังจากต่อสู้กับหุบเขาหงส์ร่วงและทำลายร่างจิตของจูอวิ๋นชางได้”

ผู้อาวุโสซิงนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา

แม้ว่าพวกเขาจะจดจ่อและให้ความสำคัญกับการหลอมอุปกรณ์จนแทบจะไม่สนใจเรื่องอื่นๆที่เกิดขึ้นในดินแดน ทว่าพวกเขาก็เคยได้ยินชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ มาก่อน

“ฉินอวี้โม่.. อวี๋โม่… หรือว่า..”

ผู้อาวุโสเสวียนกล่าวอ้ำอึ้งและมองฉินอวี้โม่ตรงหน้าราวกับกำลังรอคำยืนยัน

เมื่อเห็นสายของผู้อาวุโสตรงหน้า ฉินอวี้โม่จึงพยักศีรษะเบาๆและยอมรับตัวตนของตนเอง

เมื่อฉินอวี้โม่พยักหน้ายอมรับ ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็มีท่าทีอึดอัดขึ้นทันที

“ไม่แปลกใจเลยที่เราไม่เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘อวี๋โม่’ มาก่อน กลับกลายเป็นว่าอวี๋โม่คือฉินอวี้โม่ผู้เลื่องชื่อนั่นเอง”

ผู้อาวุโสเซียวกล่าวพร้อมทอดถอนหายใจ

เมื่อมองสตรีนามว่าฉินอวี้โม่ตรงหน้า แม้แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมไม่น้อย นางไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นในด้านการหลอม ทว่าแม้แต่พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์และความกล้าหาญองอาจของนางก็ยอดเยี่ยมหาใดเปรียบ

ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อสหายและไม่เกรงกลัวศัตรูที่ทรงพลัง คนรุ่นใหม่เช่นนี้ยากนักที่จะได้พานพบ

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าอวี๋โม่ก็คือฉินอวี้โม่”

เยว่ชิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าทั้งสองคนแท้จริงแล้วคือคนเดียวกัน

หากว่านางไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เขาก็ไม่มีทางคาดเดาได้

ถึงอย่างไรแล้วฉินอวี้โม่ก็มีอายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กรุ่นใหม่อายุเพียงสิบเก้าปีจะทรงพลังและเก่งกล้าสามารถมากถึงเพียงนั้น

“ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ได้อยากปิดบังท่านประธาน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ข้าไม่อยากสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น ดังนั้นข้าจึงปิดบังตัวตนไว้ชั่วคราว”

แน่นอนว่าเยว่ชิงและคนอื่นๆไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองฉินอวี้โม่

พวกเขาเข้าใจว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้ชื่อของฉินอวี้โม่จะเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดน ทว่าความแข็งแกร่งของนางก็ยังไม่เพียงพอที่จะประมือกับผู้นำขุมกำลังพญายม คุณหนูสี่จึงเลือกทำตัวให้เรียบง่ายไม่เป็นที่สนใจและแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นบุรุษซึ่งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด

“ฮ่าๆๆ พวกเราก็แค่ประหลาดใจ เป็นเพียงความประหลาดใจเท่านั้น”

เยว่ชิงยิ้มและกล่าวต่อ “อย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ สมาคมช่างหลอมของเราไม่ใช่กลุ่มคนขี้ขลาดตาขาว ในเมื่อเจ้าเข้ามาเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของทางสมาคมแล้ว มันก็หมายความว่าเจ้าเป็นสมาชิกของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมาคมช่างหลอมจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ในเมื่อศัตรูของเจ้าคือพวกขุมกำลังพญายม พวกเขาก็จะเป็นศัตรูของเราเช่นกัน จงวางใจเถอะ หากพวกขุมกำลังพญายมคิดจะทำอะไรเจ้าก็ต้องผ่านความยินยอมจากพวกเราก่อน”

ก่อนเขาเชิญฉินอวี้โม่เข้าร่วมสมาคม เขาได้คาดการณ์สำหรับสถานการณ์เหล่านี้ไว้แล้ว บัดนี้ที่นางกลายเป็นสมาชิกสมาคมช่างหลอม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ย่อมช่วยเหลือนาง

นอกจากนี้ ขุมกำลังพญายมก็ไม่ใช่ขุมกำลังที่ดีและน่าคบหาเท่าไหร่นัก แม้แต่พวกเขาสมาคมช่างหลอมเองก็คิดว่าคนเหล่านั้นขวางหูขวางตาพอสมควร

“ต้องการให้ข้าส่งคนไปกระจายข่าวทั่วทั้งดินแดนหรือไม่ว่าอวี๋โม่ก็คือฉินอวี้โม่? ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกพญายมจะกล้าทำอะไรอีกเมื่อได้รู้เช่นนี้!”

เยว่ชิงกล่าวอย่างแน่วแน่ ในฐานะประธานสมาคม เขาย่อมรู้ดีว่าสมาคมช่างหลอมไม่เกรงกลัวต่อคนเหล่านั้น

อีกอย่าง มันไม่ง่ายที่จะมีคนมากพรสวรรค์เช่นนี้เข้าร่วมกับทางสมาคม ต่อให้ขุมกำลังพญายมต้องการกำจัดนาง มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสมาคมช่างหลอมจะยินยอมหรือไม่

“ท่านประธานเยว่ชิง ข้าขอขอบคุณในความเมตตาของท่าน เพียงแต่ข้าจะแก้ปัญหากับขุมกำลังพญายมด้วยตัวข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าก็ไม่อยากให้คนอื่นๆเอาไปพูดกันว่าข้าเข้าร่วมสมาคมช่างหลอมเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของพวกพญายม”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและปฏิเสธน้ำใจของเยว่ชิง

“อีกอย่าง แค่ขุมกำลังพญายมไม่จำเป็นต้องให้สมาคมช่างหลอมออกโรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการกับพวกเขาด้วยตัวเอง”

เมื่อได้ยินวาจาที่เปี่ยมด้วยความจริงจังและมั่นใจของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงและคนอื่นๆก็อดหัวเราะไม่ได้

“ช่างเป็นคนที่มั่นอกมั่นใจดีจริงๆ พวกเรามองเจ้าไม่ผิดเลย ฮ่าๆๆ”

เย่าเหยียนกล่าวและหัวเราะเบาๆ “แม่นางอวี๋โม่ เจ้าลองคิดเรื่องเข้าร่วมกับสมาคมโอสถดูบ้างรึไม่? ถึงแม้เจ้าจะไม่เข้าใจศาสตร์การหลอมโอสถ เจ้าก็มีเพลิงจักรพรรดิอยู่กับตัว ตราบใดที่ข้าช่วยแนะนำและชี้แนะ เจ้าจะกลายเป็นยอดฝีมือด้านการหลอมโอสถในเวลาไม่นาน”

เขากล่าวทีเล่นทีจริง ว่ากันตามตรง เย่าเหยียนเชื่อเหลือเกินว่าหากฉินอวี้โม่มุ่งมั่นศึกษาศาสตร์การหลอมโอสถจริงๆ นางจะสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่

“ชายชราเย่า ท่านคิดจะขโมยคนของเราไปต่อหน้าต่อตาเลยรึ? ฮ่าๆๆ”

เมื่อได้ยินคำถามเชิงชักชวนของเย่าเหยียน เยว่ชิงก็ถลึงตาใส่เขาก่อนหัวเราะเบาๆอย่างยียวน

“ฮ่าๆๆ ชายชราเยว่ ข้าไม่ยอมพลาดหรอก มันยากเหลือเกินที่จะได้พบคนที่มีพรสวรรค์และความสามารถมากขนาดนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆที่นางเข้าไปเป็นสมาชิกของสมาคมท่านแล้ว หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าก็คงจัดงานชุมนุมโอสถให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

เย่าเหยียนหัวเราะและกล่าวต่อจนเยว่ชิงถึงกับจ้องเขาตาเขม็ง

“ขอบคุณสำหรับความเมตตาเจ้าค่ะท่านประธานเย่าเหยียน เพียงแต่การฝึกยุทธ์และการหลอมอุปกรณ์ก็ทำให้ข้ายุ่งมากแล้ว หากข้าจะศึกษาการหลอมโอสถเพิ่มอีก เกรงว่าข้าจะไม่มีพลังงานเหลือและจะไม่ถึงเกณฑ์ความคาดหวังของท่าน อีกทั้งข้าก็เกรงว่าจะฝึกได้ไม่เต็มที่หากเลือกทั้งสองทาง”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างสัตย์จริง

ตอนที่นางเดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ นางเคยคิดเรื่องการศึกษาศาสตร์การหลอมอุปกรณ์และการหลอมโอสถไปควบคู่กัน เพราะความเชี่ยวชาญในทั้งสองด้านถือว่ามีคุณประโยชน์อย่างมาก

ทว่าหลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน นางก็ล้มเลิกความคิด

ความคิดจิตใจเดียวไม่สามารถจดจ่อกับสองสิ่งพร้อมกันได้ นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ นางก็ยังต้องฝึกการหลอมอุปกรณ์และศึกษาข่ายอาคมอีก หากนางต้องการฝึกทั้งสามให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว นางก็ต้องหมั่นเพียรพยายามกว่าคนอื่นๆเป็นหลายเท่าอยู่แล้ว หากว่าเรียนการหลอมโอสถเพิ่มขึ้นอีก นางเกรงว่ามันจะล้มเหลวและทำให้การพัฒนาในด้านอื่นๆล่าช้าไปด้วย

“ฮ่าๆๆ มันยากจริงๆที่จะฝึกฝนไปควบคู่กัน”

เมื่อได้ยินวาจาจริงจังของฉินอวี้โม่ ประธานทั้งสองสมาคมก็หัวเราะร่าด้วยกัน

สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ แม้ว่าการหลอมอุปกรณ์และโอสถมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน พวกมันก็แตกต่างกันมากเช่นกัน การฝึกฝนโดยตั้งสมาธิจดจ่อกับสิ่งเดียวถือเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือที่ดีพึงกระทำ